เข้าสู่ระบบลานหน้าเรือน
อ๋องจิ้งหยวน ยืนเผชิญหน้ากับชายหรุ่มรูปงามถึงหกคน ซึ่งแต่ละคนต่างมีบุคลิกที่แตกต่างกันพอสมควร ทว่าสิ่งที่พวกเขาทั้งหกมีคือสายตาเฉยชาต่อการพบเขา ที่มียศเป็นถึงอ๋อง
“ต่ำช้านัก! เห็นท่านอ๋องแล้วยังไม่รู้จักคำนับ”
องครักษ์ข้างกายของอ๋องจิ้งหยวน ตวาดใส่ชายทั้งหก ด้วยน้ำเสียงกร้าวกระด้าง บอกชัดถึงความไม่พอใจ และนั่นทำให้ลั่วอันผิงที่ออกมาตามสหายของพี่สาว ต้องหยุดยืนนิ่งด้วยใบหน้าตื่นตระหนก
ด้วยเกรงจะเกิดเรื่อง ทว่านางก็ไม่กล้าที่จะเข้าไปบอกพี่สาว เพราะอาจเกิดเรื่องมากกว่าที่เป็นอยู่ หญิงสาวจึงเลือกที่จะยืนรอดูสถานการณ์เสียก่อน
“เจ้าว่าให้ใครกัน”
หนึ่งในหกเอ่ยถามขึ้น ด้วยน้ำเสียงที่เย็นเยียบ และดูเหมือนชายหนุ่มทั้งหกจะไม่ได้รู้สึกตื่นกลัว ต่อคำพูดขององครักษ์ในอ๋องจิ้งหยวนเลยแม้แต่น้อย
แน่นอนว่านี่ทำให้อ๋องหนุ่ม ต้องหรี่ตามองคนทั้งหกให้ถี่ถ้วน คนที่ไม่ยำเกรงต่อฐานะของเขา ย่อมต้องมีสิ่งที่เหนือกว่า หากก้าวพลาดเพียงเล็กน้อย อาจตกที่นั่งลำบากในภายหน้าได้
ขนาดหญิงที่เขาหมายปองอย่างลั่วคังอัน นางยังสยายปีกได้กว้างกว่าเขาที่เป็นถึงอ๋อง ถึงจะไม่ใช่สายเลือดของเชื้อพระวงศ์ แต่ความดีของบรรพบุรุษทำให้เขาได้สืบบรรดาศักดิ์ ก็นับได้ว่ามิได้น้อยหน้าใครเลย แต่ชายหนุ่มทั้งหกนี้ กลับไม่แยแสต่อฐานะของเขา นี่ต้องมีเบื้องลึกที่ต้องพึงระวัง
“เฉินเหว่ย อย่าได้เสียมารยาท ข้าขออภัยแทนคนของข้าด้วย ที่ใช้วาจาจาบจ้วงพวกท่าน”
อ๋องหนุ่มเลือกที่จะเป็นคนอ่อนน้อม มากกว่าจะเป็นคนอวดเบ่งอำนาจ ด้วยตอนนี้มีสายตาของลั่วอันผิง กำลังจับจ้องดูพวกเขาอยู่ที่หน้าประตูเรือน
“บางครั้งการเดินที่เอาแต่เชิดหน้าสูง อาจสะดุดเข้ากับสิ่งที่ลืมมองได้ ท่านอ๋องจิ้งควรตักเตือน คนของท่านให้พึงระวังไว้บ้างก็ดีไม่น้อยเลยนะขอรับ”
เมื่ออีกฝ่ายอยากที่จะเล่นบทคนดี ทำไมพวกเขาทั้งหก จะต้องปฏิเสธที่จะรับบทผู้ร้ายเล่า คนผู้นี้แม้ไม่เคยได้เดินทางไปลำบากไกลๆ ถึงชายเยี่ยงพวกเขา แต่สมองนั้นย่อมต้องชาญฉลาดที่จะใช้เอาชนะผู้คน ไม่อย่างนั้นอ๋องตราตั้งผู้นี้ จะลำพองตนมาจนถึงทุกวันนี้ได้อย่างไร
“ได้...ข้าจะอบรมเขาให้ดี”
อ๋องหนุ่มรับคำอย่างสุภาพ แม้จะถูกอีกฝ่ายพูดคล้ายข่มขู่ แต่เขาอยากให้หญิงสาวที่หมายปอง มองเห็นว่าเขาเป็นคนใจกว้างเพียงใด
“คัง...ไม่ใช่คนที่จะเชื่อทุกสิ่งด้วยตาเปล่า”
หนึ่งในหกเอ่ยขึ้นบ้าง คำพูดของชายหนุ่มทำให้อ๋องจิ้งหยวนถึงกับหน้าม่านไปชั่วขณะ ก่อนที่มันจะถูกปกปิดเอาไว้ ด้วยใบหน้าอ่อนละมุนดังเดิม ทว่าในใจนั้นกลับสบถด้วยถ้อยคำนับล้าน ไยสวะพวกนี้ถึงมองออกว่าเขากำลังคิดสิ่งใดอยู่…
“พวกท่านกำลังมองเจตนาของข้าผิดไป” อ๋องหนุ่มไม่ได้แสร้งโง่ ในคำพูดนี้ของชายหนุ่มตรงหน้า ทว่าเขาก็มิได้แสดงท่าทีขุ่นเคืองแต่อย่างใด
“หึๆ นักรบที่หลบซ่อนเพียงในกำแพง มีหรือจะเทียบเท่ากองโจรที่ก้าวผ่านอันตรายในยามราตรี”
ชายหนุ่มอีกคนพูดขึ้นบ้าง คงมีเพียงคนโง่เท่านั้น ที่แปลความหมายของคำพูดเหล่านี้ไม่ออก อ๋องหนุ่มยังคงเหลือที่จะยิ้มอย่างคนมีเจตจำนงที่ดี คล้ายมิคิดถือสาผู้อื่นวัยกว่า พูดจาเหน็บแนมเขาอย่างไม่คิดอ้อมค้อม
“ท่านพี่ทุกท่าน ท่านพ่อท่านแม่ ให้ข้าเชิญพวกท่านเข้าด้านในเจ้าค่ะ”
ทว่ายังไม่ทันที่อ๋องจิ้งหยวน จะทันได้เอ่ยสิ่งใดตอบโต้ ลั่วอันผิงที่ยืนฟังทุกอย่างอยู่ตั้งแต่ต้น ได้เอ่ยแทรกขึ้นเพื่อให้การโต้เถียงยุติลงเสียที เพราะนางเองก็ไม่ได้ชื่นชอบ อ๋องจิ้งหยวนเท่าใดนัก
ชายหนุ่มทั้งหกมองไปยังหญิงสาว ที่ยืนอยู่หน้าประตูเรือน ด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้ม ใบหน้างามนั้นเหมือนกับสหายรัก เมื่อครั้งก้าวสู่กองทัพใหม่ๆ งดงามอ่อนหวานนัก
ทว่าตอนนี้ภาพนั้น คงหลงเหลือบนใบหน้าของหญิงสาว ผู้ยืนรอพวกเขาทั้งหกอยู่เท่านั้นกระมัง ด้วยคังอันบัดนี้กลายเป็นสตรีที่มีความงาม ในแบบนักรบ ที่ผ่านความเป็นความตายมานับครั้งไม่ถ้วน พวกเขาจึงแทบไม่เคยมองเห็น ความเป็นสตรีในตัวนางเลย
“ไปสิ”
เมิ่งหยู๋เฟิงเป็นคนแรกที่เอ่ยขึ้น แล้วก้าวตรงขึ้นบันไดไป โดยไม่สนใจต่ออ๋องหนุ่มที่ยังยืนมองพวกเขาอยู่ข้างหลัง ซึ่งคนมองทำได้เพียงกำหมัดแน่น ด้วยความเจ็บแค้นใจ แต่ก็มิอาจทำสิ่งใดได้ในตอนนี้ นอกจากยิ้มอย่างผู้ใหญ่ที่ไม่ถือสาเด็ก
“คนพวกนี้ช่างกำแหงนัก กล้าที่จะเคารพต่อท่านอ๋อง”
เฉินเหว่ย ยังคงพูดด้วยความคับแค้นใจ ที่ผู้เป็นนายถูกหยามเหยียดต่อหน้า
“หุบปากเจ้าซะ! อย่าได้ทำให้ข้าต้องเดือดร้อนอีก”
เมื่อทุกคนหายลับไปภายในเรือนแล้ว อ๋องจิ้งหยวนก็ไม่จำเป็น ต้องแสร้งเป็นผู้โอบอ้อมอีกต่อไป
“แต่ท่านอ๋องขอรับ”
“ขนาดพวกมันรู้ว่าข้าเป็นใคร ยังไม่คิดจะแยแส นั่นหมายความว่าต้องมีดี หรือเบื้องหลังที่ข้าเอื้อมไม่ถึง”
“นอกจากเชื้อพระวงศ์สายตรง จะมีผู้ใดเหนือท่านอ๋องไปได้เล่าขอรับ”
“โง่งมนัก! อ๋องตราตั้งยังเทียบไม่ได้กับแม่ทัพคนหนึ่งเลย ในเรื่องความสำคัญ เจ้าอย่าได้พูดแบบนี้กับใครอีก หาไม่แล้วลมหายใจเจ้าจะไม่มีเหลืออยู่”
อ๋องหนุ่มก้าวจากไปด้วยอารมณ์อันขุ่นเคือง เขาไม่นึกมาก่อนเลยว่าองครักษ์ที่มารดาจัดหาให้ จะโง่งมได้ถึงเพียงนี้ หากไม่เพราะคนสนิทของเขาต้องไปทำงานสำคัญ เขาจะไม่มีทางพาตัวปัญหามาให้เสี่ยงภัยไปด้วยแบบนี้เลย
“พี่สะใภ้มานั่นแล้วเจ้าค่ะ ท่านป้าท่านแม่” เพียงก้าวพ้นเขตเรือน เข้าไปในส่วนของสวนดอกไม้ เสียงของหยางหลิวหลีก็ดังขึ้นให้ได้ยิน ลั่วคังอัน ปรับสีหน้าให้เป็นปกติ ก่อนจะเดินเข้าไปหาทุกคน “คังอันเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง” ลั่วฮูหยินรีบเดินเข้ามาถามบุตรสาว ด้วยเห็นว่าอยู่ๆ คนเป้นลูกก้หายไปนาน หากเพียงแค่ล้างหน้าล้างตา ก็ควรกลับมาตั้งนานแล้ว อีกทั้งยังเห็นคนของท่านหญิงหลิว วิ่งวุ่นราวกำลังตามหาใครอยู่ “ข้าเพียงออกไปเดินดูรอบๆ เรือนเพื่อผ่อนคลายเล็กน้อยเท่านั้นเจ้าค่ะ ข้าต้องขอโทษที่ทำให้ทุกคนเป็นห่วง” แม่ทัพสาวไม่ได้บอกถึงความจริงใดๆ เพราะมันมิใช่สิ่งจำเป็น และนางรู้ว่ามารดาเอง ก็คงจะพอรู้ถึงเหตุผลที่นางยกมาอ้างแล้ว “เจ้าไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว คงเพราะเมื่อคนนอนดึก ต้องตื่นแต่เช้าอีกในวันนี้ เจ้าคงเพลียสินะ เช่นนั้นเรากลับกันเลยดีไหม” หยางฮูหยินเอ่ยชักชวนสะใภ้กลับจวนเสีย นางเองก็ไม่ได้สนุกนัก ที่ต้องมานั่งฟังคนคอยเหน็บแนม เรื่องที่นางได้ไม้ใหญ่เช่นสกุลลั่ว มาเป็นที่ยึดเหนี่ยว “หากท่านแม่กับน้องหญิงอยากที่จะกลับ ข้าก็มิได้ขัดข้องเ
“อื้อ...ข้าชอบเจ้าที่แข็งแกร่งเยี่ยงนี้ โอ้ย!”ทว่ายังไม่ทันได้ทำสิ่งใดต่อ ร่างอิ่มของท่านหญิงหลิวก็ลงไปกองอยู่กับพื้น เมื่อนางถูกผลักออกจากตักของลั่วคังอัน จนเสียหลักล้มลงกับพื้น นั่นทำให้ท่านหญิง ตวัดสายตาคาดโทษแม่ทัพสาว ที่บังอาจปฏิเสธนางอย่างไม่คิดใยดีลั่วคังอันรีบลุกพรวดขึ้นในทันที หลังจากที่ผลักคนบนตักออกไปได้แล้ว ลั่วคังอันก้าวตรงไปที่ประตู เพื่อจะออกไปจากห้องนี้ให้เร็วที่สุด กึก! กึก! มือหยาบพยายามดันประตูให้เปิดออก ทว่ามันกลับไม่เป็นอย่างที่ตั้งใจ นั่นแสดงว่ามันถูกลงดานจากด้านนอกนั่นเอง ลั่วคังอันขบกรามแน่น ก่อนจะขยับถอยห่างจากประตูออกมาเล็กน้อย แล้วยกเท้าขึ้นถีบประตูเต็มแรง ปัง! ประตูบานใหญ่เปิดออกกว้างและนั่นทำให้สาวใช้ของท่านหญิง ที่รออยู่ด้านนอกถึงกับตกใจสุดขีด ที่อยู่ๆ ประตูก็เปิดออก ทั้งที่พวกนางปิดเอาไว้เป็นอย่างดี ตามคำสั่งของผู้เป็นนาย ก่อนที่ทุกคนจะพากันก้มหน้านิ่ง เมื่อเห็นสายตาดุดันของผู้ที่ก้าวออกมายืนมองพวกนาง อยู่ที่หน้าประตูห้องแม่ทัพสาวกวาดสายตามองคนเหล่านั้น ด้วยความรู้สึกขยะแขยงสิ้นดี ก่อนที่นางจะเดินจากไป โดยไม่สนใจเสียงเรียกจากคนภายในห้อง บ้าบอเกินไปแล
“ขะ...ข้าไม่เป็นไรเจ้าค่ะ ถ้าอย่างไร ข้าขอตัวไปล้างหน้าล้างตาสักครู่ก่อนนะเจ้าคะ พอดีข้ารู้สึกว่าอากาศมันอบอ้าวไปสีกหน่อย”แม่ทัพสาวจำต้องเอ่ยปาก เมื่อร่างกายของนาง มันกำลังร่ำร้องให้ถูกสัมผัส ยิ่งมือนุ่มนิ่มของท่านหญิงหลิว วนเวียนกับใบหน้านางไม่ห่าง ความร้อนรุ่มในกาย ยิ่งปะทุรุนแรงขึ้นมากเท่านั้นต่อให้ใครจะไม่เชื่อว่าวันนี้ อากาศอบอ้าวจนไม่สบายตัว นั่นก็ปัญหาของคนเหล่านั้น แต่ปัญหาของนาง คือร่างกายที่ต้องได้รับการแก้ไขอย่างเร่งด่วน มิอาจรอช้าไปมากกว่านี้ได้แล้ว หาไม่คงเกิดเรื่องไม่เหมาะสมขึ้นได้“เช่นนั้นข้าพาเจ้าไปดีกว่า เพราะอย่างไรวันนี้ข้าก็คือผู้ดูแลงาน”ท่านหญิงหลิว รีบเสนอการช่วยเหลือในทันที ด้วยข้ออ้างเรื่องการเป็นผู้นำงานเลี้ยง ตัวแทนขององค์หญิงใหญ่ และนั่นทำให้ลั่วคังอันรู้สึกไม่ดีเอาเสียเลย เพราะนางไม่อาจคาดเดาได้ ว่าท่านหญิงหลิวคิดจะทำสิ่งใดกับนางต่อจากนี้“พี่หญิงเป็นอันใดไปเจ้าคะ”เป็นลั่วอันผิง ที่เดินเข้ามาถามพี่สาว โดยมีหยางหลิวหลีติดตามมาด้วย นางสักเกตมาสักพักแล้ว ว่าพี่สาวดูไม่ค่อยสบายเท่าใดนัก แต่เมื่อยังไม่ถูกเรียกนางก็มิอาจจะก้าวก่าย แต่เมื่อเห็นอยู่ๆ พี่สาวก็ล
“ขอบคุณท่านหญิง ที่ให้เกียรติข้าผู้น้อยเจ้าค่ะ”หลังจากวางจอกสุราลงในถาด คืนแก่สาวใช้ของท่านหญิง ลั่วคังอันจึงได้เอ่ยของคุณท่านหญิงหลิวอีกครั้ง นางจดจำไม่ได้เลยว่าชาติที่แล้ว นางมีเรื่องไม่ลงรอยใดกับท่านหญิงหรือไม่ ไยจึงได้ลงมือต่อนางเยี่ยงนี้ ทว่าลั่วคังอันยังคงไม่เผยสิ่งใดออกมา“มานั่งนี้เถอะ คุยกันสักหน่อย ตั้งแต่เจ้าออกจากเมืองหลวงไป น้อยนักที่จะได้พบกัน”มือนุ่มของท่านหญิงหลิว คว้าข้อมือของแม่ทัพสาว แล้วจูงพานางไปนั่งลงไม่ได้ห่างจากที่เดิมเท่าใดนัก ลั่วคังอันหันมองไปที่แม่สามี กับมารดาของตน ที่ตอนนี้ทั้งคู่ได้เพียงแค่ส่งยิ้มมาให้ ก่อนจะพากันเดินจากไป เพื่อพูดคุยกับบรรดาฮูหยินบ้านอื่นต่อ“งานเลี้ยงวันนี้ทำให้เจ้าลำบากใจหรือไม่ เมื่อคืนนี้เป็นคืนเข้าหอของเจ้า ทว่าเช้ากลับต้องมาที่นี่ ปล่อยสามีทิ้งร้างเฝ้าห้องหอเพียงลำพัง ทำให้ข้าที่เป็นเจ้าภาพรู้สึกผิดยิ่งนัก”เป็นคำถามที่ดูเหมือนจะทั่วไป ทว่าสายตาและน้ำเสียงนั้น คล้ายจะแสดงความตัดพ้อนางอย่างไรไม่รู้ หากจำไม่ผิดนางเคยพบท่านหญิงหลิวเมื่อปีกลาย ตอนที่ท่านหญิงติดตามบิดาไปชายแดน ถูกโจรป่าดักปล้น ก่อนจะถึงชายแดนเพียงเล็กน้อย เป็นนางที่ไ
“เจ้าบังอาจนัก! กล้าทำให้จวนอ๋องถูกมองไม่ดี เห็นทีข้าจะมองข้ามเจ้ามากเกินไป ใครอยู่ข้างนอก! นำนังบ่าวชั้นต่ำไปโบยให้ข้าที”ชูเฟยชี้นิ้วสั่นระริกไปที่สาวใช้ของอนุชิง นางไม่อยากจะเชื่อว่ายังมีคนโง่ขนาดนี้อยู่ในโลก ถึงขนาดกล้าไปดูหมิ่นขุนนางในราชสำนัก แม้ว่าลั่วคังอันจะเป็นสตรี แต่ก็คือหนึ่งในผู้เป็นกำลังสำคัญของแผ่นดิน ขนาดสามีของนาง ยังต้องไว้หน้าอีกฝ่ายอยู่หลายส่วน แล้วสาวใช้จากสกุลขุนนางเล็กๆ กล้าดีอย่างไรถึงพูดจาไม่คิดได้ขนาดนี้หากจะบอกว่าลั่วคังอันใส่ความ คงยากที่จะพูดแบบนั้นได้ เพราะดูจากสายตาของผู้อื่น ที่ยืนอยู่รายรอบ ทุกคนล้วนซุบซิบกันให้นางได้ยิน ว่าคนที่เริ่มเรื่องนี้ก่อน เป็นคนของจวนอ๋อง ชิงอวี่ถง สตรีน่าตายผู้นี้ ไยจึงต้องมาอยู่ร่วมบ้านกับนางด้วยนะ!“ท่านแม่ เรื่องนี้เป็นความผิดของข้าเอง ที่อบรมนางไม่ดี หากจะลงโทษ ให้ลงโทษที่ข้าเถอะเจ้าค่ะ อีกอย่างข้าไม่คิดว่าการหยอกเย้าของข้า จะทำให้ท่านทัพลั่วไม่พอใจ หรือเพราะนางมองข้าเป็นศัตรู ที่แย่งชิงความรักของท่านอ๋องมาก็มิรู้”ชิงอวี่ถง แสร้งแสดงตัวเป็นคนที่รู้ผิด แต่ยังมิวายโยนความคิดไม่ดีไปที่ลั่วคังอัน มีใครในเมืองหลวงไม่รู้ว่าล
“ท่านแม่ทัพล้อข้าเล่นแล้ว มีหรือข้าจะอาจหาญกล่าวหาท่านแม่ทัพเช่นนั้นได้”ชิงอวี่ถง เอ่ยด้วยรอยยิ้มไม่เต็มหน้านัก เพราะคำพูดของลั่วคังอัน มิได้เบาหรือดังไป แต่คนที่ร่วมงาน ก็วนเวียนอยู่ใกล้ๆ เพื่อจะฟังเรื่องราวการสนทนาระหว่างนางสองคน“ข้ามางานเลี้ยงตามคำเชิญ และข้าก็ไม่ได้คลั่งไคล้กับเรื่องในห้องนอน จนละเลยต่อหน้าที่ของตนเอง ดังนั้นการจะออกมาจากบ้าน หลังแต่งงานเพียงวันเดียว หาใช่เรื่องผิดต่อธรรมเนียมใดๆ ไม่”แม่ทัพสาวหันไปสบสายตา กับสตรีที่เคยทำให้ครอบครัวของนาง ต้องตายอย่างอนาถ คนที่ตั้งใจให้บุรุษมากมาย ข่มเหงน้องสาวคนเดียวของนาง หากนางจะแก้แค้นก็ย่อมไม่ถือว่าใจดำแต่วันนี้นางยังไม่อยากลงมือ เพราะมันจะทำให้อีกฝ่ายสบายเกินไป ต้องรอให้ถึงโอกาสที่เหมาะสม นางจะตอบแทนชายชั่วหญิงเลวไปพร้อมๆ กัน เช่นที่ทั้งคู่เคยร่วมมือกันสังหารนาง“ข้าก็มิได้หมายความเช่นนั้นสักหน่อยนี่เจ้าคะ ก็แค่แปลกใจว่าทำไมจึงไม่อยู่จวนอีกสักหน่อย ค่อยออกมาเริงร่านอกบ้าน”ชิงอวี่ถง ยังคงไม่ลดละที่จะทำให้อีกฝ่าย รู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจ ที่ได้คู่ครองบกพร่อง ไม่เหมือนนางที่ได้สามี เป็นชนชั้นสูงและหล่อเหลา ร่างกายสมบูรณ์พร้อม เ







