ทว่าคำพูดเหล่านี้ นางย่อมไม่อาจเอ่ยต่อหน้าฮองเฮาเฝิงได้นางนั่งนิ่งอยู่ที่เดิมจ้องมองไปยังฮองเฮาเฝิง ครู่ใหญ่จึงค่อยเอ่ยออกมาเบา ๆ ว่า “หม่อมฉันเข้าใจแล้วเพคะ”ฮองเฮาเฝิงรั้งนางไว้ให้ร่วมโต๊ะเสวยด้วยกัน จากนั้นเอ่ยเสียงขรึม “ร่างกายของเรารู้สึกไม่ค่อยสบาย จะให้คนไปตามอวิ๋นถิงมา เจ้าช่วยเรานวดผ่อนคลายสักหน่อยเถิด”เฝิงไฉ่เวยพลันเข้าใจทุกอย่างทันที เบิกตากว้างมองฮองเฮาเฝิง ก่อนจะรีบรับคำโดยพลันนางไม่อาจรอได้อีกต่อไปแล้วโอกาสอันดีที่สุดถูกชีหยวนทำลายไปแล้ว บัดนี้ฮองเฮาเฝิงยื่นโอกาสให้นางโดยเฉพาะ นางจะต้องคว้าโอกาสนี้ไว้ให้เซียวอวิ๋นถิงมองเห็นตนให้จงได้!ไม่นานนัก เซียวอวิ๋นถิงซึ่งเพิ่งเสร็จสิ้นจากการอ่านฎีการ่วมกับฮ่องเต้หย่งชาง เตรียมจะออกจากวัง ก็ถูกขันทีจากตำหนักฮองเฮาเฝิงขวางไว้ โดยบอกว่าฮองเฮาเฝิงทรงประชวรเขารีบเร่งไปยังตำหนักของฮองเฮาเฝิงทันที พร้อมสั่งให้คนไปตามหมอหลวงหูและฝ่ายตรวจการสำนักสกุลซุนมาด้วยฮองเฮาเห็นเขาก็เพียงยิ้มบาง ๆ “จะหนักหนาอะไรกัน? ก็แค่โรคปวดศีรษะเก่าที่กลับมากำเริบเท่านั้น ไฉ่เวยอยู่ที่นี่พอดี จุดกำยานให้เรา แล้วก็ช่วยกดจุดให้อีก ตอนนี้ดีขึ้นมากแล้ว
เฝิงไฉ่เวยเม้มริมฝีปาก แต่หยาดน้ำตาบนใบหน้ากลับจางหายไปหมดแล้วฮองเฮาเฝิงโน้มกายลงเบา ๆ แขวนพู่กันกลับขึ้นสู่แท่นวาง แล้วกระตุกมุมปากอย่างเย็นชา “เจ้ารู้หรือไม่ ว่าเราอยู่ที่นี่โดยมิได้ก้าวออกไปเลยนานเท่าใดแล้ว?”เฝิงไฉ่เวยเบิกตากว้างจ้องมองฮองเฮา สีหน้าเหมือนกำลังครุ่นคิดบางอย่าง“หลายสิบปี! มิใช่หนึ่งปีสองปี และมิใช่สามปีสี่ปี หากแต่เป็นหลายสิบปีเต็ม ๆ!” ฮองเฮาเฝิงมองนางด้วยแววตาเรียบนิ่ง “ตลอดหลายปีนี้ เราเองก็เคยมีบางคราที่ทนไม่ไหวเหมือนกัน แต่เราย่อมตระหนักดีว่า หากแม้เพียงก้าวเดียวพลาดพลั้ง ก็ล้วนกลายเป็นเหตุผลอันชอบธรรมในการปลดฮองเฮาได้ เช่นนั้นเราจึงไม่อาจก้าวพลาดแม้แต่ก้าวเดียว”พระนางยกมือขึ้นนวดหว่างคิ้ว “ที่เจ้ามาเอ่ยคำเหล่านี้ในตอนนี้ มิใช่ก็เพื่ออยากให้เราเป็นผู้ลงมือกำจัดเด็กสาวจากตระกูลชีนั่น ใช่หรือไม่?”เฝิงไฉ่เวยรีบส่ายศีรษะอย่างร้อนรน “ฮองเฮา หม่อมฉันมิได้มีความหมายเช่นนั้นเพคะ……”“พอแล้ว!” ฮองเฮาตัดบทนางโดยไม่แสดงสีหน้าลังเลแม้แต่น้อย กล่าวเสียงเรียบเย็น “เราไม่มีทางช่วยเจ้าได้ อวิ๋นถิงเป็นเด็กที่มีสติปัญญาและความกล้าหาญ หากเราไปทำร้ายผู้ที่เขารัก เช่นนั้นเรา
ตอนนี้ตระกูลเฝิงเพิ่งกลับมาเมืองหลวง ฮ่องเต้หย่งชางทรงเห็นแก่หน้าฮองเฮาเฝิง บวกกับนายท่านผู้เฒ่าเฝิง ผู้เคยกดดันจักรพรรดิถึงกับยากจะเงยหน้าในอดีตก็สิ้นไปแล้ว จึงทรงมีพระเมตตาต่อตระกูลเฝิงเป็นอย่างมากฮูหยินเฝิงแค่ยื่นป้ายก็สามารถเข้าเฝ้าฮองเฮาได้ทันทีครั้นได้ยินเฝิงไฉ่เวยเอ่ยเช่นนี้ ฮูหยินเฝิงก็อดประหลาดใจไม่ได้ “ไม่ใช่เจ้าบอกเองหรือว่าไม่อยากเข้าไปในวังบอย ๆ เกรงว่าจะทำให้ท่านอ๋องคิดมากหรอกหรือ?”ใบหน้าของเฝิงไฉ่เวยแลดูแย่ลง ก่อนหน้านี้นางเอ่ยเช่นนั้น เพราะมั่นใจว่า ตราบใดที่นางสร้างชื่อเสียงให้เลื่องลือ ยืนอยู่ในจุดที่สูงพอ เซียวอวิ๋นถิงก็จะต้องมองเห็นนางได้ในที่สุดแต่ในความเป็นจริง นางกลับสูญเสียความมั่นใจเช่นนั้นไปแล้วเรื่องราวต่าง ๆ ใช่ว่าจะบดขยี้ผู้คนได้ เหตุการณ์ในงานเลี้ยงวันเกิดครั้งก่อนนั้น สำหรับนางแล้วก็หาได้เป็นเรื่องใหญ่อันใดไม่แต่อารมณ์ความรู้สึกนั้นต่างหากที่ทำได้นางเพียงจับมือฮูหยินเฝิงแน่น ไม่เอื้อนเอ่ยถ้อยคำใดแต่ฮูหยินเฝิงกลับเข้าใจความหมายของนาง จึงปลอบโยนนางพลางสั่งให้คนส่งป้ายขอเข้าเฝ้าไปยังพระราชวังช่วงบ่ายวันนั้น คนในวังก็มารับพวกนางเข้าเฝ้าฮองเฮ
ชีหยวนรู้สึกว่า คำพูดเช่นนี้ไม่ควรเอ่ยออกมาจากปากสตรีอะไรคือคำว่าเบียดอยู่ในเรือนหลัง?ราวกับว่ายุคสมัยนี้ได้เปิดทางอื่นให้สตรีเดินได้แล้วกระนั้นหรือ?เหล่าหญิงที่มีความสามารถด้านการเย็บปักถักร้อยในแถบเจียงเจ้อก็เคยถูกขุนนางตรวจราชการเขียนฎีกาฟ้องร้อง กล่าวว่าหลังจากมีสำนักทอผ้าเจียงหนานในพื้นที่แล้ว ก็ค่อย ๆ เกิดโรงงานเล็ก ๆ ขึ้นตามมาอีกมากมาย สตรีในท้องถิ่นจึงกลายเป็นแรงงานในโรงทอผ้า หรือเป็นนางปักผ้า จนทำให้บุรุษในบ้านซึ่งไร้ผู้ดูแลบ้านเรือน ไม่อาจทำไร่ทำนาได้ตามปกติสตรีสามัญย่อมติดอยู่ในเรือนหลังของสตรีสามัญสตรีในตระกูลสูงศักดิ์ก็เพียงติดอยู่ในกรงขังที่กว้างขึ้นเท่านั้นสิ่งที่ต่างกันก็เพียงขนาดของกรงเท่านั้นเอง น่าขันยิ่งนักที่เฝิงไฉ่เวยกลับเลือกเดินบนเส้นทางนี้ด้วยตนเองข้อสงสัยในใจนาง แท้จริงก็มีคำตอบอยู่แล้วเฝิงไฉ่เวยนั้นมีความสามารถติดตัวจริง เรื่องนี้ไม่อาจปฏิเสธได้แต่การที่เฝิงไฉ่เวยสร้างชื่อเสียงขึ้นมา ท้ายที่สุดก็เพื่อให้ได้แต่งกับเซียวอวิ๋นถิง หรือจะกล่าวว่าเพื่อจะได้เป็นชายาของพระนัดดาก็ไม่ผิดเรื่องราวในชาติก่อน นางไม่เคยโทษเฝิงไฉ่เวยเลยเพราะนางเชื่อมาต
รอยยิ้มบนใบหน้าของเฝิงไฉ่เวยจางหายไปแม้นางจะมีความสุขุมลุ่มลึกเพียงใด ท้ายที่สุดก็ยังเป็นเพียงหญิงสาวที่ยังมิได้ออกเรือนโดยเฉพาะอย่างยิ่ง เดิมทีนางมั่นอกมั่นใจเป็นอย่างยิ่ง ทว่าผู้ที่นางต้องเผชิญหน้ากลับเป็นชีหยวนเช่นนี้นางเคยคิดว่าตนเองเข้าใจชีหยวนดีอยู่บ้าง อย่างน้อยก็จากจดหมายของอ๋องฉีที่เคยได้รับทว่าชีหยวนตัวจริงกลับมีหลายส่วนที่แตกต่างไปจากชีหยวนในจดหมายนั้นเฝิงไฉ่เวยมองชีหยวนด้วยแววตาเคลือบแคลง “คุณหนูใหญ่ชีหมายความว่าอย่างไรหรือ?”ชีหยวนหาได้มีความอดทนพอจะอ้อมค้อมกับเฝิงไฉ่เวยไม่ “ข้าหมายความว่า อันที่จริงคุณหนูเฝิงเองก็น่าจะเชี่ยวชาญในเรื่องวิชาแพทย์ด้วย อย่างน้อยก็คงไม่ถึงกับทำให้ใครล้มตาย มิใช่หรือ?”คำพูดนี้แทบจะได้เปิดเผยแผนการของเฝิงไฉ่เวยอย่างชัดเจนเฝิงไฉ่เวยเม้มริมฝีปากแน่น ดวงตาจับจ้องชีหยวนไม่วางตา “ข้าจะไปเทียบคุณหนูใหญ่ชีได้อย่างไรเล่า? ตอนนั้นคุณหนูใหญ่ชีลงมือทั้งเฉียบขาดและแน่วแน่ ข้าไม่กล้าพูดว่าตนเชี่ยวชาญ แต่คุณหนูใหญ่ชีนั้น แน่นอนว่าเชี่ยวชาญอย่างหาที่เปรียบมิได้ จริงไหมเจ้าคะ?”“ก็ใช่น่ะสิ” ชีหยวนยิ้มพลางจ้องมองเฝิงไฉ่เวย “คุณหนูเฝิงรู้จักข้าดีน
เพียงแต่น่าเสียดาย ที่การลงมือของชีหยวนกลับเร็วยิ่งกว่านักคาดว่าเฝิงไฉ่เวยก็คงตกใจไม่น้อยที่นางกลับรู้จักทั้งอาหารบำรุงและวิชาแพทย์ จึงได้มีสีหน้าไม่ค่อยดีในตอนนั้นฮูหยินผู้เฒ่าชีอ้าปากจะพูดก่อนหน้านี้นางไม่เคยชอบเฝิงไฉ่เวยเลย มักจะรู้สึกว่าหญิงผู้นี้เจ้าอุบายเกินไปแต่พอนึกดู รู้สึกว่ากลับเจ้าอุบายยิ่งกว่าที่ตนเคยคิดเสียอีก!ในเมื่อชีหยวนออกปากเสียเองแล้ว ฮูหยินผู้เฒ่าชีจึงไม่คิดปิดบังอีกต่อไป “ดังนั้น อันที่จริงต่อให้ฮูหยินเฉิงกั๋วกงจะมิได้เป็นอะไร ก็คงจะมีสตรีท่านอื่นที่เกิดเรื่องแทนอยู่ดีกระมัง? จากนั้นนางก็ฉวยโอกาสออกมาพูด กล่าวว่าอาหารสองชนิดนั้นมีสรรพคุณซ้ำกัน ผู้ที่มีลำไส้อ่อนแอก็จะทนไม่ไหว……”จากนั้นก็กล่าวขอโทษเสียหน่อย เพียงเท่านี้ ทุกคนก็จะรู้แล้วว่าคุณหนูเฝิงผู้นี้ ถึงกับมีความรู้ด้านวิชาการแพทย์และอาหารบำรุงอีกด้วย!ต้องรู้ว่า ใครบ้างไม่รู้ว่าองค์รัชทายาทนั้นร่างกายอ่อนแอ?และว่าที่ชายาขององค์รัชทายาท นางลู่ ก็ได้ยินมาว่าต้องกินยาอยู่ตลอดนี่มันช่างจงใจนัก!หวังจะมุ่งตรงไปยังตำแหน่งชายาพระนัดดาอย่างนั้นสินะ?ฮูหยินผู้เฒ่าชีอดไม่ได้ที่จะเหลือบมองชีหยวน เห็นนา