เมื่ออวิ๋นรุ่นและหานฉงหรงเดินออกมาที่หน้าประตูเรือนก็เห็นเพียงหลีรั่วกับเหวินซิ่วที่ยิ้มต้อนรับพวกเขาอยู่ หานฉงหรงลอบเห็นเหงื่อเม็ดเล็กๆ ผุดพรายที่บริเวณจอนผมและหน้าผากเกลี้ยงเกลาของชายหนุ่มคนสนิทอวิ๋นรุ่นคล้ายไปเผชิญสมรภูมิอันหนักหนา เมื่อหันไปมองบุรุษสูงศักดิ์ข้างๆ เป็นเชิงถามก็ไม่ได้รับคำตอบอันใด“ท่านอ๋อง พวกท่านจะออกไปข้างนอกหรือ ให้พวกกระหม่อมติดตามรับใช้หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ” เหวินซิ่วยิ้มเอ่ย“ไม่เป็นไร ร้านค้าในตลาดใกล้ๆ แค่นี้ พวกเราไปกันเองได้ พวกเจ้าเหนื่อยมามากแล้ว ไปพักผ่อนเถิด” ชายหนุ่มส่ายหน้าน้อยๆ จากนั้นจึงเดินนำหน้าก้าวออกจากประตูจวนด้วยอารมณ์ดีอย่างยิ่งทั้งสองตรงไปยังร้านขายแพรพรรณขนาดใหญ่ที่สุดในเมืองจี๋หลิน หานฉงหรงบอกว่าที่นั่นเถ้าแก่เนี้ยหัวคิดทันสมัยกว่าใคร จำหน่ายเสื้อผ้าสำเร็จรูปเอาไว้รับรองเผื่อมีกรณีที่มีลูกค้าที่ไม่คาดฝันเช่นนี้ ตอนที่นางอยู่ที่นี่เคยลองซื้อไปชุดหนึ่ง พบว่าเนื้อผ้าไม่เลว อีกทั้งยังบำรุงรักษาและอบร่ำให้หอมสะอาดพร้อมสวมใส่ทันทีอยู่เสมอ ซึ่งอวิ๋นรุ่นได้เห็นเองกับตาก็พบว่าเป็นเรื่องจริง พอนางเลือกได้ชุดสีเขียวไล่สีอ่อนเข้มอย่างพิถีพิถันมาชุดหนึ่ง
หานเซียงอวิ๋นรับการคารวะอย่างเต็มพิธีการจากหานฉงหรงผู้เป็นบุตรสาวก่อนตรงเข้าสวมกอดกันทั้งน้ำตา ผู้อาวุโสกว่าใช้นิ้วหัวแม่มือเช็ดน้ำตาให้บุตรสาวพลางเอ่ย “ลูกเอ๋ย ไม่ได้เจอกันเสียนาน เจ้าสบายดีหรือไม่”“สบายดีเจ้าค่ะ ท่านอ๋องดูแลลูกเป็นอย่างดี ไม่มีสิ่งใดที่ทำให้ลูกไม่สบายกายไม่สบายใจแม้แต่น้อย” นางคลี่ยิ้มทั้งที่น้ำตายังคลอที่หน่วยตาทั้งสองข้าง ทั้งที่นางตั้งใจแล้วว่าเมื่อพบหน้าบิดาจะมอบแต่รอยยิ้มและเสียงหัวเราะให้แก่บิดาให้สมกับที่ไม่ได้พบกันมานาน แต่เมื่อเห็นบิดาผู้ให้กำเนิดยังมีชีวิตอยู่ หาได้ประสบภัยจากโรคระบาดจนตายจากเหมือนดั่งโลกก่อนไม่ อีกทั้งอีกไม่นานก็จะกลายเป็นพระอาจารย์ของว่าที่รัชทายาทของแผ่นดินในอนาคตก็อดที่จะดีใจและโล่งใจจนน้ำตาไหลมิได้ชะตากรรมของนางและบิดาเปลี่ยนไปแล้ว...เปลี่ยนไปด้วยน้ำมือของนางเอง...อีกฝ่ายพินิจเครื่องแต่งกายอันหรูหราสมฐานะนางกำนัลระดับสูงที่รับใช้เชื้อพระวงศ์ของบุตรสาวก็ให้นึกยินดี “สบายดีก็ดีแล้ว แต่พ่อว่าเจ้าผอมลงไปอยู่โข คาดว่าที่เจ้ารับหน้าที่สอนสั่งองค์ชายน้อยคงลำบากไม่น้อยสินะ”“หามิได้หรอกเจ้าค่ะ องค์ชายน้อยเฉลียวฉลาด ลูกเพียงชี้แนะเพียงเล็กน
อีกฟากฝั่งของประตูเรือน หลังจากแน่ใจว่าจะไม่มีผู้อื่นมาเห็น ปล่อยมือจากมือและเอวของหานฉงหรงแล้วกลับมาไว้ท่าทีอันสง่างามอันพึงมีอีกครั้ง สตรีตรงหน้ามองอีกฝ่ายพลางขมวดคิ้วใส่เขาพลางถามคาดคั้นไม่หยุด “เมื่อครู่เหตุใดพระองค์จึงทำเช่นนั้นเพคะ ชาวบ้านเหล่านั้นเห็นการกระทำเมื่อครู่กันหมดแล้ว จะให้หม่อมฉันเอาหน้าไปไว้ที่ไหนกัน”“เรื่องนั้นประเดี๋ยวเจ้าก็รู้เองนั่นล่ะ” เขาว่าพลางพยักพเยิดไปยังหลีรั่วที่ยืนรออยู่ที่หน้าโถงรับแขก “รีบไปเถิด หานปั๋วซื่อรอพบเจ้านานแล้ว ข้ามีเรื่องจะสอบถามหลีรั่วเสียหน่อยแล้วค่อยตามไปทีหลัง”หานฉงหรงพยักหน้ารับ ก่อนเดินไปยังโถงรับแขกเพื่อเยี่ยมคารวะบิดา อวิ๋นรุ่นจึงเดินไปหาหลีรั่วที่ย่อกายคารวะนายเหนือหัวอย่างนอบน้อม “ท่านอ๋อง”“ระหว่างที่เจ้าอยู่ที่นี่ มีเรื่องอันใดผิดปกติหรือไม่”“นอกจากเรื่องข่าวลือเกี่ยวกับคุณหนูหาน ก็ไม่มีสิ่งใดเป็นพิเศษเพคะ” หลีรั่วตอบเสียงเรียบ ก่อนจะทำหน้าเหมือนนึกอะไรได้ “ที่จริงก็มีเรื่องๆ หนึ่ง หม่อมฉันยังลังเลอยู่ว่าจะต้องทูลให้ท่านอ๋องทราบหรือไม่”“เจ้าลองว่ามา”“เมื่อไม่กี่วันก่อนมีเด็กรับใช้จากสกุลฉางมาขอพบหานปั๋วซื่อ แต่หม่อมฉันเห็น
เพิ่งจากไปไม่นาน จี๋หลินยังคงงดงามเหมือนครั้งสุดท้ายที่หานฉงหรงจำใจจำพรากจากถิ่นฐานบ้านเกิด ร้านขนมเจ้าอร่อยและร้านขายน้ำดอกสายน้ำผึ้งหวานหอมตรงปากทางเข้าตรอกชิงฮวายังคงอยู่ที่เดิม ทว่าร้านขายดอกไม้นั้นเหลือเพียงร้านดอกไม้ที่มีหญิงชราเป็นเจ้าของ ส่วนร้านขายดอกไม้ที่เป็นร้านของสตรีคนงามอย่างแม่นางฝูหรงกลับหายไปไม่เหลือแม้เงา คิดว่าเหตุการณ์ตบตีกันในตรอกชิงฮวาวันนั้นนอกจากทำให้นางเสียโฉม คงทำให้นางอับอายขายหน้าไม่น้อย ไม่ว่าใครเจอเรื่องเช่นนี้ก็มิอาจแบกหน้าทำมาหากินอยู่ที่นี่ได้ต่อแน่นอนพอคิดถึงตรงนี้นางก็อดนึกถึงคู่กรณีที่ทะเลาะตบตีฝูหรงอย่างบ้าคลั่งเช่นหลินหลางมิได้ ป่านนี้นางคงได้ใช้ชีวิตในฐานะภรรยาขุนนางระดับล่างอย่างฉางซื่อหลางอย่างมีความสุขตามอัตภาพแล้วกระมัง...แต่ช่างเถิด หลินหลางไม่ต่างอะไรกับน้ำที่ถูกสาดออกไปพ้นจากเรือนสกุลหานที่พ้นแล้วก็พ้นไป จะให้นางไปสืบข่าวคราวราวกับคนไม่รู้จักปล่อยวางก็มิใช่วิสัยของนางเสียด้วยสิคิดอย่างเหม่อลอยได้ครู่หนึ่งรถม้าคันงามก็หยุดที่หน้าเรือนสกุลหานในที่สุด หญิงสาวเลิกม่านตรงหน้าจับจ้องประตูที่มีอักษรมงคลปีใหม่ประดับอยู่ ทว่ากกระดาษสีแดงสดเริ่ม
ทั้งสองออกเดินทางด้วยรถม้าคันสำรองของจวนเป่ยหนานหวังที่แม้การประดับตกแต่งไม่หรูหราเท่ารถม้าที่อวิ๋นรุ่นใช้เป็นประจำ แต่ก็นับว่างดงามเทียบเท่ารถม้าของตระกูลผู้ดีเก่าแก่ ภายในบุด้วยผ้าไหมเนื้อดีทั้งหนานุ่มทั้งนั่งสบาย ยังไม่นับถึงตัวม่านที่ติดตรงประตูและหน้าต่างรถม้าก็ยังมิใช่ผ้าโปร่งทั่วไป เนื่องจากเป็นช่วงฤดูร้อนจึงเปลี่ยนเป็นผ้าไหมเงาจันทร์ประดับด้วยลูกไม้ผ้าโปร่งจากป๋อสื่อ [1] ทำให้ภายในรถม้าเย็นสบายไม่ร้อนอบอ้าวเหมือนรถม้าคันอื่นนอกจากรถม้าที่ใช้จะเปลี่ยนไปแล้ว การแต่งกายของอวิ๋นรุ่นก็นับว่าเปลี่ยนไปไม่น้อย หานฉงหรงประหลาดใจจนเผลอมองอีกฝ่ายตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า ชายหนุ่มสวมชุดยาวสีเขียวไข่กาปักลายเมฆาคล้อยด้วยด้ายเงินแท้ บนศีรษะเกล้าปักปิ่นหยกขาวครอบกวานเงินส่องประกายระยิบระยับรับกับใบหน้าคมคาย บนตักมีพัดจีบที่นานๆ จะนำมาโบกพัดให้เห็นลายพระหัตถ์แบบข่ายซูที่ดูหนักแน่นทรงพลังของฮ่องเต้ยิ่งทำให้บุคลิกของคนตรงหน้าประหนึ่งบัณฑิตทรงภูมิก็ไม่ปาน ลงทุนแต่งกายพิถีพิถันเช่นนี้หลังจากไปส่งนางแล้วคงแวะไปทำธุระที่ไหนต่อกระมัง แต่ก็ได้แต่เก็บเอาไว้ใจแล้วเปลี่ยนเรื่องพูดแทน “น่าแปลกยิ่ง ปกติองค
หานฉงหรงตื่นเช้าขึ้นมาด้วยท่าทีงัวเงียในทีแรก และแปรเปลี่ยนเป็นดวงตาที่เบิกกว้างตื่นเต็มตาจนแทบไม่ต้องหาน้ำมาล้างหน้าในภายหลังเมื่อพบว่าสองขาที่ทำท่าจะสวมรองเท้าอย่างที่เคยทำเป็นกิจวัตรกลับกลายเป็นเพียงอากาศธาตุรองเท้าล่ะ รองเท้าของนางหายไปที่ไหน!?หลังจากตั้งสติได้ นางก็เริ่มหาจากรอบๆ เตียงตั่งที่เคยนอนเผื่อว่าเมื่อคืนนางจะมือเท้าซุกซนเขี่ยรองเท้าคู่โปรดกระเด็นไปไกลจนตามองไม่เห็นมือเอื้อมไม่ถึง จากนั้นจึงหยิบรองเท้าสำรองที่ทำจากผ้าฝ้ายราคาถูกแต่เนื้อนิ่มสวมสบายเดินหาไปรอบๆ กระโจมที่พักอยู่ใกล้ๆ กับองค์ชายหย่งเยี่ย แม้กระทั่งเดินถามเหล่าองครักษ์และบรรดาข้ารับใช้ที่อยู่บริเวณนั้นก็ไม่มีใครพบ เช่นนั้นก็เหลือเหตุผลอยู่เพียงอย่างเดียว คือนางถูกคนกลั่นแกล้ง...หานฉงหรงคิดไม่ตกว่าตนจะไปสร้างศัตรูมากมายอันใดหนักหนา แต่เมื่อนึกถึงว่าก่อนของก่อนหน้านี้นางไปล่วงเกินองค์หญิงเวินอี๋ เมื่อวานนี้ก็ไปล่วงเกินนางกำนัลอาวุโสขององค์หญิงเวินอี๋เกือบเอาชีวิตไม่รอดเข้าอีก หรือว่าจะเป็นฝีมือพวกนาง?ไม่สิ...ไม่ถูก จากที่สัมผัสนิสัยของเวินอี๋ในโลกปัจจุบันนี้มาพอประมาณก็รู้ว่าเป็นสตรีเจ้าคิดเจ้าแค้น ถ้าได้โอ