หานฉงหรงได้แต่รับฟังอย่างสงบ ตลอดหลายเดือนที่ผ่านมานี้ผู้ปกครองฝ่ายในของวังหลวงแทนที่ฮองเฮาผู้ล่วงลับนางนี้ไม่รู้ว่าเก็บซ่อนความรู้สึกผิดไร้ที่พร่ำระบายไว้นานเพียงไหน มากน้อยเพียงใด จะให้ระบายกับบุตรหลาน ก็หามีคนที่จริงใจรับฟังไม่ จะเหลือก็แต่บอกกล่าวกับเหล่าข้ารับใช้ที่ไร้ปากไร้เสียง และไม่เก็บเอามาใส่ใจ ซึ่งนางเองก็เข้าข่ายข้ารับใช้ที่มีคุณสมบัติตรงทุกประการ“จนป่านนี้ข้าก็ยังนึกไม่ออกว่าเหตุใดเวินอี๋จึงทำเช่นนั้น ฉงหรง ในฐานะที่เจ้าเคยถูกเวินอี๋...” ไทโฮ่วมีสีหน้าหนักใจไม่น้อยที่จะเอ่ย “เจ้าคิดเช่นไรกับเรื่องนี้”ฉงหรงเพียงเบิกตาน้อยๆ เมื่ออีกฝ่ายกลับออกปากเอ่ยถามเช่นนั้น นางหลุบตาลงพลางเอ่ย “หม่อมฉันเป็นเพียงบุคคลต่ำต้อย ไม่เหมาะจะแสดงความคิดเห็นในเรื่องนี้เพคะ”ถึงแม้ไทโฮ่วจะเปิดโอกาสให้นางพร่ำระบาย แต่อย่างไรเสียสายสัมพันธ์ในครอบครัวก็ล้วนตัดไม่ขาดเสียทีเดียว พระกรรณของพระนางเผินๆ อาจเหมือนรับฟังดี แต่ใครจะรู้ว่าในพระทัยของพระนางทรงคิดเช่นไรอยู่ นางออกความเห็นไปมีแต่จะหาเรื่องใส่ตัวเสียเปล่าๆ เป็นข้ารับใช้ก็ทำตัวให้สมเป็นข้ารับใช้ นับว่าถูกต้องเหมาะสมที่สุดแล้ว“เจ้า...”“อากาศเ
ที่ประทับของเหล่าเชื้อพระวงศ์หญิงที่ไม่ได้เข้าร่วมการแข่งขันอยู่ไม่ไกลจากปากทางเข้าอุทยานล่าสัตว์มานัก ที่นั่งนั้นจัดเตรียมใต้ทิวต้นอู่ถงที่กำลังออกดอกสีเหลืองทองสะพรั่ง เรียงตามลำดับยศจากพระที่นั่งของฮ่องเต้ก็คือไทโฮ่วผู้เป็นพระราชมารดา จากนั้นจึงเป็นตำแหน่งพระมเหสีชั้นเฟยทั้งสี่ เหล่าสนมนางในตำแหน่งลดหลั่นกันลงมา ตบท้ายจึงเป็นเหล่าองค์หญิงองค์ชาย เชื้อพระวงศ์หญิงและภรรยาขุนนางตามลำดับ ทั้งหมดทั้งมวลกำลังสนทนาพาที ท่าทางสนิทสนมกลมเกลียวสมเป็นสมาชิกราชวงศ์ที่ต้องมีภาพลักษณ์อันดีต่อหน้าเหล่าขุนนางและประชาชน“ไทโฮ่ว คุณหนูหานมาถึงแล้วเพคะ” หลิวกูกูรายงานไทโฮ่วที่กำลังผ่อนคลายอิริยาบถ พระนางมองหานฉงหรงที่ย่อกายคารวะตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าก่อนยิ้มเอ่ย“ยังไม่มีสิ่งใดบุบสลาย นับว่าหลิวกูกูไม่ได้เชื่องช้าไปตามสังขารเสียทีเดียว”หลิวกูกูอมยิ้มเอ่ย “พระประสงค์ของไทโฮ่วและเป่ยหนานหวัง หม่อมฉันมิกล้าทำให้ทั้งสองพระองค์ต้องผิดหวังเพคะ”เมื่อฟังคำพูดของทั้งสองแล้วแม้จะคาดเดาได้สองสามส่วน แต่จะเป็นการดีมากกว่าถ้านางแกล้งทำเป็นไม่รู้เสียเลย “เอ่อ...หม่อมฉันขอบังอาจถาม นี่มันเรื่องอันใดกันเพคะ หม่อม
เดิมทีการล่าสัตว์นั้นก็เป็นการละเล่นของบุรุษเสียส่วนใหญ่อยู่แล้ว ดังนั้นผู้ที่เข้าร่วมส่วนใหญ่จึงเป็นเชื้อพระวงศ์ชาย น้อยนักที่จะมีเชื้อพระวงศ์หญิงเข้าร่วม แต่เห็นว่าปีนี้รางวัลใหญ่ในปีนี้ล่อตาล่อใจยิ่ง ยกตัวอย่างเช่น เสื้อคลุมที่ถักทอจากไข่มุกบูรพา มณีรัตนชาติจากดินแดนซีอวี้ แม้กระทั่งรางวัลปลอบใจยังเป็นลูกกลมฉลุลายบรรจุเครื่องหอมหลงเซียงทำจากทองคำบริสุทธิ์ราคาหลายร้อยตำลึง ดังนั้นนอกจากสนมชายาที่เป็นมาจากชนเผ่าแดนทุ่งหญ้าที่ใช้ชีวิตบนหลังม้ามาครึ่งชีวิตแล้ว ยังมีเชื้อพระวงศ์หญิงใจกล้าที่เป็นชาวเมืองหลวงโดยตรงอีกหลายพระองค์ ทำให้งานล่าสัตว์ปีนี้ครึกครื้นอย่างยิ่งหานฉงหรงยืนมองอวิ๋นรุ่นและหย่งเยี่ยปะปนไปกับเหล่านางกำนัลขันทีในจวนเป่ยหนานหวัง เห็นว่าฮ่องเต้โอภาปราศรัยกับทั้งสองอย่างสนิทสนมก็ให้เบาใจ ทำท่าจะผละไปดูว่าห้องเครื่องเตรียมสิ่งใดเป็นเครื่องว่างจะนำมาเตรียมรอท่าหย่งเยี่ย ก็ได้ยินเสียงเรียกจากด้านหลัง “หานเหลียงเจีย โปรดรอก่อน”เมื่อหันกลับไปมองก็พบกับนางกำนัลหน้าตางดงามนางหนึ่ง หญิงสาวสังเกตถึงเครื่องประดับและการแต่งกายก็พอเดาได้ว่าเป็นนางกำนัลระดับสูงที่รับใช้ใกล้ชิดเจ้านายร
งานประเพณีล่าสัตว์ที่อุทยานล่าสัตว์อู่ถงเริ่มต้นในยามเหม่า [1] แสงเงินแสงทองแรกของตะวันยังไม่ทันจับขอบเมฆาดี เหล่าเชื้อพระวงศ์ก็ลุกขึ้นมาล้างหน้าสางผมเปลี่ยนอาภรณ์กันเรียบร้อยแล้ว จากนั้นแต่ละคนก็คอยกำกับบรรดามหาดเล็กและขันทีให้ตรวจสอบความเรียบร้อยของอาวุธและสิ่งจำเป็นอื่นๆ ที่ใช้ในการล่าสัตว์ให้เรียบร้อยก่อนสัญญาณการออกล่าจะเริ่มต้นส่วนอวิ๋นรุ่นมีนิสัยส่วนตัวที่ไม่ชอบให้ผู้อื่นมายุ่มย่ามกับอาวุธประจำกายของตน จึงมักนำออกมาบำรุงรักษาทำความสะอาดด้วยตนเองเสมอ เมื่อมีรอยบิ่นแตกหักก็จะนำไปให้โรงหลอมอาวุธในจวนอ๋องซ่อมแซมจนสมบูรณ์ ทำให้ยามนี้ดาบกระบี่แม้กระทั่งมีดสั้นที่นำมาวันนี้ล้วนคมกริบแวววาวล้อแสงเทียนขณะชักออกจากฝัก หัวและปลายศรทั้งลับและตัดแต่งเป็นอย่างดีเพื่อวิถีการยิงที่ไม่ผิดเพี้ยน หย่งเยี่ยเห็นเช่นนั้นก็ไม่อยากน้อยหน้า เอาเกาทัณฑ์ดอกเหมยของตนมาตรวจดูอย่างตั้งอกตั้งใจไม่ยอมแพ้กัน“ทั้งสองพระองค์สองอาหลานต่างเตรียมตัวได้ดียิ่ง หม่อมฉันเชื่อว่าต้องล่าสัตว์ได้เป็นจำนวนมากแน่นอน” หานฉงหรงยิ้มเอ่ยพลางกลับเข้ามาในกระโจมหลังใส่กระบอกน้ำและห่อเสบียงอาหารลงในกระเป๋าหนังข้างอานม้าของอวิ๋นรุ
ขบวนเสด็จมาถึงอุทยานล่าสัตว์อู่ถงในช่วงบ่ายแก่ๆ หลังจากที่เหล่ามหาดเล็กและนางกำนัลขันทีจัดเตรียมกระโจมที่พักของบรรดาเจ้านายเสร็จเรียบร้อยแล้ว ฮ่องเต้จึงมีรับสั่งว่าหลังจากรับประทานอาหารเย็นร่วมกันแล้วก็ให้แยกย้ายกันไปพักผ่อนเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการแข่งขันประชันกันในวันพรุ่งเนื่องจากรับประทานอาหารที่เป็นเนื้อสัตว์ย่อยยากกว่าอาหารประเภทข้าวและแป้งไปปริมาณมาก กอปรกับนอนกลางวันเสียจนเต็มอิ่มทำให้จนถึงช่วงเวลาเข้านอนแล้วหย่งเยี่ยก็ยังคึกคักไม่มีทีท่าว่าจะนอนหลับ สองมือยังคงจับเกาทัณฑ์ในมือพลางพูดคุยอย่างกระตือรือร้น โดยมีหานฉงหรงนั่งฟังอยู่ข้างๆ “พี่สาว ท่านอยากได้ขนสัตว์แบบใด ข้าจะใช้เกาทัณฑ์นี้ไปล่ามาให้”หานฉงหรงที่กำลังจัดเตรียมอาภรณ์ของหย่งเยี่ยในวันรุ่งขึ้นส่ายหน้าช้าๆ “ไม่มีเพคะ”“ไม่มีจริงๆ หรือ ข้าอยากล่าสัตว์ขนสวยๆ เอามาให้พี่สาวทำถุงมือไว้ใช้ตอนฤดูหนาวก็ยังดี”เนื่องจากวันนี้อากาศร้อนอบอ้าว ฮ่องเต้จึงพระราชทานอ่างสำริดบรรจุน้ำแข็งตั้งไว้กลางกระโจมของเหล่าเชื้อพระวงศ์เพื่อคลายร้อน แต่หญิงสาวคิดว่ายังเย็นไม่พอจึงหยิบพัดกลมปักลายพุ่มดอกสุ่ยเซียนมาโบกพัดให้หย่งเยี่ยด้วยจังหวะไม่ช้
อาจจะไม่ได้ตั้งใจ อาจเป็นเรื่องราวโดยอ้อมดุจจิ้งจอกแอบอ้างบารมีเสือ แต่ก็อดคิดไม่ได้ว่านางและครอบครัวได้รับการคุ้มครองจากคนใหญ่คนโตถึงสามคนด้วยกัน แม้แต่เสนาบดีที่มีอำนาจสูงสุดเป็นรองเพียงฮ่องเต้ก็ยังเทียบวาสนากันมิได้หลังจากสนทนาเพียงเล็กน้อยแค่นั้น ทั้งสองคนก็ไม่ได้กล่าวอะไรกันต่อ กระทั่งขบวนเสด็จหยุดพักในช่วงสายหย่งเยี่ยก็ตื่นจากฝันหวานอันยาวนานเสียที พอเปลือกตาเปิดปากเล็กร่อนร้องขออาหารเป็นอันดับแรก หานฉงหรงจึงเป็นฝ่ายอาสาไปดูว่าทางฝ่ายห้องเครื่องที่ตามเสด็จมีสิ่งใดพอกินรองท้องได้บ้าง ไม่นานนักเด็กสาวก็กลับมาพร้อมกล่องอาหารกล่องหนึ่ง “ทางห้องเครื่องเตรียมขนมน้ำตาลทรายขาว ขนมหยวนเป่า กับขนมเปี๊ยะไส้เนื้อกับต้นหอมเอาไว้ เสวยรองท้องก่อนนะเพคะ”อวิ๋นรุ่นกับหย่งเยี่ยเปิดกล่องอาหารหยิบขนมไปคนละชิ้นสองชิ้น ก่อนที่จะหันไปเห็นหญิงสาวผละไปนั่งตรงปากประตูรถม้า แล้วแกะห่อผ้าออกอย่างระมัดระวัง ข้างในมีขนมลักษณะกลมแบนสีเหลืองทองน่ารับประทานอยู่หลายชิ้นจึงเอ่ยถาม “นั่นคืออะไร”“ขนมข้าวโพดเพคะ หม่อมฉันเห็นชาวบ้านนำข้าวโพดที่เพิ่งหักมาใหม่ๆ มาขายจึงขอซื้อมาทำแล้วแจกจ่ายให้กับเหล่านางกำนัลขันทีเพค