สัปดาห์ที่สองหลังคลอด เหิงจิ้งกั๋วปรึกษากับท่านปู่ของตนเองเรื่องการขอลาออกจากราชการเพื่อช่วยหยูฉิงอันดูแลบุตรและเรื่องงานของนางด้วย
“เจ้าคิดดีแล้วหรือ?”
“ข้าคิดดีแล้วขอรับท่านปู่ อย่างไรตำแหน่งของข้าตอนนี้ก็เป็นถึงกั๋วกงซื่อจื่อ การทำงานให้ราชสำนักอย่างไรข้าก็ยังต้องทำอยู่ เพียงแต่เปลี่ยนเป็นมาช่วยงานฉิงอันเท่านั้นเองนะขอรับ”
“ในเมื่อเจ้าตัดสินใจดีแล้ว เจ้าก็ถวายฎีกาลาออกส่งให้กับฝ่าบาทพิจารณาเถอะ ปู่เองก็เป็นห่วงงานของฉิงอันไม่น้อยเช่นเดียวกัน ในอนาคตนางคงต้องออกเดินทางไปทั่วทั้งแคว้นเพื่อพัฒนาบ้านเมืองเป็นแน่ หากมีเจ้าร่วมทาง ปู่ก็คงวางใจได้บ้าง”
“ขอบคุณท่านปู่ที่เข้าใจขอรับ เช่นนั้นข้าจะไปเขียนฎีกาแล้วนำไปถวายฝ่าบาทก่อนนะขอรับ”
“อืม… เจ้ารีบไปเถอะ ปู่จะไปเล่นกับเหลนสักหน่อย”
ทั้งสองต่างแยกย้ายกันไป ตอนนี้หยูจิ่นเซิง เฉียนหลาน หลิ
สามวันต่อมา ขบวนขุนนางจำนวนมากมารวมกันที่หน้าพระราชวังเพื่อรอให้ฝ่าบาทอวยพรสำหรับการเดินทางไกลไปทำงานให้เสร็จตามแผนงานในครั้งนี้หยูฉิงเฉิงที่มีหน้าที่ตรวจสอบการทำงานของทุกกลุ่มลงจากรถม้ามารอรับพระบัญชาจากฝ่าบาทตามธรรมเนียม เขามีองครักษ์จวนกั๋วกงติดตามมาเพียงสิบคนเท่านั้น เนื่องจากจะต้องเดินทางไปตรวจสอบหลายแห่ง หยูฉิงเฉิงจึงเลือกที่จะนำคนไปไม่มากนักเพื่อความรวดเร็วในการเดินทางเมื่อขุนนางทุกคนยืนเรียงแถวกันอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อยแล้ว หวางกงกงก็ประกาศให้ฮ่องเต้กล่าวให้โอวาสแก่ขุนนางที่กำลังจะไปทำหน้าที่เพื่อพัฒนาบ้านเมืองตามแผนการที่ได้จัดเตรียมเอาไว้ก่อนหน้าแล้ว“การเดินทางครั้งนี้คงต้องลำบากพวกเจ้าแล้ว หากขาดเหลือสิ่งใดก็ให้เจ้าเมืองต่างๆ ช่วยเหลือ ข้าให้ราชโองการกับพวกเจ้าเพื่อขอความร่วมมือจากเจ้าเมืองทุกเมืองไปแล้ว จงใช้มันให้เป็นประโยชน์ และอย่าลืมส่งรายงานมาให้ข้าทราบทุกเดือนว่าพวกเจ้าทำสิ่งใดกันไปบ้างแล้ว ถึงแม้การเดินทางครั้งนี้อาจจะยาวนานไปสักหน่อย
ห้าวันหลังจากฮ่องเต้ได้รับแผนการพัฒนาแคว้นจากหยูฉิงอัน พระองค์ทรงปรึกษากับมหาเสนาบดีว่าจะใช้ใครในการทำงานเหล่านี้ดี ในเมื่อตอนนี้บ้านเมืองก็สงบดีไม่มีปัญหาชายแดน“กระหม่อมคิดว่าให้แต่ละหน่วยงานจัดตั้งกลุ่มขึ้นมาดีหรือไม่พะย่ะค่ะ แล้วให้กลุ่มคนของพวกเขาแบ่งงานกันในแต่ละพื้นที่ แบบนี้เราจะสามารถตรวจสอบได้ง่ายกว่าการปล่อยให้หน่วยงานใดหน่วยงานหนึ่งรับผิดชอบไปแต่เพียงผู้เดียวนะพะย่ะค่ะ”“อืม… ความคิดของเจ้านับว่าไม่เลว แล้วเจ้าจะให้ใครเดินทางไปรับผิดชอบดูแลเรื่องเหล่านี้ทั่วทั้งแคว้นเล่า ข้าไม่อยากให้หยูฉิงอันที่ลูกยังเล็กออกเดินทางด้วยตัวนางเองหรอกนะ”“กระหม่อมคิดว่า ในเมื่อหยูฉิงเฉิงเป็นถึงพระคู่หมั้นขององค์หญิงหมิงจูแล้ว เขาน่าจะสามารถตรวจสอบงานต่าง ๆ ได้อย่างละเอียดกระมังพะย่ะค่ะ อีกทั้งเด็กคนนี้ยังมีหัวคิดก้าวหน้าไม่แพ้พี่สาวของเขาเลยนะพะย่ะค่ะ”“เอาล่ะ เจ้าเขียนรายชื่อขุนนางกลุ่มต่าง ๆ มาให้ข้า แล้วข้าจะ
“กระหม่อมน้อมรับราชโองการ พะย่ะค่ะ” หยูฉิงเฉิงรับราชโองการจากหวางกงกง“เอ่อ พระคู่หมั้นแน่ใจนะขอรับว่าจะไม่คัดค้านราชโองการนี้”“แน่นอนว่าข้าไม่คัดค้านขอรับ ขอท่านกงกงวางใจเถิด อีกทั้งตอนนี้ข้าและองค์หญิงยังเด็กอยู่ อีกหลายปีกว่าที่ข้ากับองค์หญิงจะได้เข้าพิธีแต่งงาน ระหว่างนี้ข้ากับนางจะได้เรียนรู้นิสัยใจคอกันบ้างอย่างไรเล่าขอรับ”“เฮ้อ ข้าน้อยได้ยินเช่นนี้ก็ค่อยวางใจหน่อย ข้าคิดว่าพระคู่หมั้นจะไม่ยอมรับหมั้นจากฝ่าบาทน่ะสิขอรับ”“ข้าจะกล้าขัดราชโองการได้อย่างไรเล่าท่านกงกง ในเมื่อฝ่าบาทเชื่อใจและอยากให้ข้าหมั้นกับองค์หญิง ข้าก็จะทำหน้าที่พระคู่หมั้นให้ดีที่สุดขอรับ เพื่อไม่ให้เสื่อมเสียชื่อเสียงขององค์หญิง”หลังจากสนทนากันไม่นาน หวางกงกงก็ขอตัวกลับไปรายงานฝ่าบาทที่วังว่าพระคู่หมั้นขององค์หญิงหมิงจูนั้นรับราชโองการอย่างไม่อิดออด แถมยังสัญญาว่าจะไม่ทำให้ราชวงศ์เสื่อมเส
หลังกล่าวจบ องค์หญิงหมิงจูก็ลุกจากที่นั่งแล้ววิ่งกลับตำหนักจนนางกำนัลแทบจะตามไม่ทันเลยทีเดียว ฮ่องเต้และฮองเฮาได้แต่ส่ายหัวกับความแก่นแก้วเอาแต่ใจขององค์หญิงน้อย“เสด็จพี่แน่ใจหรือเพคะว่าหยูฉิงเฉิงเหมาะสมกับหมิงจู”“อืม… พี่คิดว่าพี่ดูคนไม่ผิดนะ อีกอย่างหากหยูฉิงเฉิงได้กลายเป็นเขยของเราแล้ว ราชสำนักก็จะยิ่งมีคนช่วยพัฒนาบ้านเมืองโดยไม่หวังสิ่งตอบแทนเพิ่มอีกคนหนึ่ง”“เช่นนั้นหม่อมฉันก็ขอฝากเรื่องนี้ไว้กับพระองค์ด้วยนะเพคะ ส่วนหมิงจูนั้น หม่อมฉันจะสั่งสอนนางให้ดียิ่งขึ้นกว่านี้ ไม่เช่นนั้นหากนางแต่งออกไปแล้วทำตัวเอาแต่ใจไม่เปลี่ยน พวกเราคงเสียหน้าแย่นะเพคะ”งานเลี้ยงครั้งนี้กว่าจะเลิกก็เป็นช่วงยามซวีแล้ว เด็ก ๆ ที่เล่นซนในงานเลี้ยงจนหมดแรงหลับไปคาอกเหิงจิ้งกั๋วที่อุ้มลูกทั้งสองแทนท่านปู่ไปขึ้นรถม้าคันเดียวกับฮูหยินของเขา“ท่านพี่ ท่านสังเกตไหมว่าวันนี้ฝ่าบาทกับฮองเฮามักจะมองไปที่โ
เหล่าขุนนางทั้งหลายพร้อมครอบครัวต่างอยากเข้าไปทักทายเหิงกั๋วกง เพียงแต่ตอนนี้ท่านกำลังอุ้มหลานชายและหลานสาวเอาไว้ในอ้อมแขนอยู่ พวกเขาจึงไม่กล้าเข้าไปรบกวนครอบครัวกั๋วกง แต่ละคนต่างทำได้เพียงยืนมองอยู่ห่าง ๆบรรดาฮูหยินและบุตรสาวที่เข้าร่วมงานครั้งนี้ต่างมองหยูฉิงเฉิงกับหยูฉิงหยางกันตาเป็นมัน หากบุตรีของพวกนางได้เข้าร่วมตระกูลหยูคงนับว่าพวกนางจะได้ขึ้นไปบนสรวงสวรรค์แล้ว ใครไม่รู้กันว่าจวนกั๋วกงกับตระกูลหยูผู้พันธ์กันมากเพียงใด น่าเสียดายที่ระหว่างเดินไปยังโต๊ะด้านหน้า เด็กหนุ่มทั้งสองไม่แม้แต่จะชายตาแลหญิงใดที่ยืนยิ้มส่งให้พวกเขาอย่างเขินอายเลยแม้แต่น้อย ยิ่งกับหยูฉิงเฉิงด้วยแล้ว เขายิ่งรู้สึกขนลุกแปลก ๆ จนถึงขั้นหวาดกลัวว่าพวกนางจะกระโจนเข้ามาหาพวกเขาแล้วให้รับผิดชอบอย่างหน้าด้าน ๆกระทั่งพวกเขาเดินไปถึงโต๊ะตระกูลหยูที่มีท่านปู่ ท่านย่า ท่านพ่อและท่านแม่นั่งรออยู่ พวกเขาก็นั่งพูดคุยกันเสียงเบาอย่างมีมารยาท ส่วนโต๊ะของจวนกั๋วกงนั้นมีเพียงเสียงหัวเราะคิกคักของเด็กชายหญิงทั้งสองที่ถุกท่านปู่ทวดหยอกล้ออยู่เท่านั
ค่ำคืนนั้นที่จวนกั๋วกงต่างมีแต่เสียงหัวเราะ โดยเฉพาะเด็กน้อยทั้งสองคนที่ฟันน้ำนมเริ่มขึ้นมาเล็กน้อยแล้วแต่ยังเคี้ยวอะไรไม่ได้มากนัก พวกเขาเล่นเอามืออ้วน ๆ จับอาหารมาเคี้ยวเล่นจนเสื้อผ้าเลอะเทอะไปหมดบ่าวที่คอยดูแลคุณหนูกับคุณชายน้อยทั้งสองรีบเข้ามาดูแลทันที ก่อนพวกเขาจะพาคุณหนูและคุณชายไปเปลี่ยนชุดในเวลาไม่นาน เด็กทั้งสองที่เหิงกั๋วกงตั้งชื่อให้ว่าเหิงหยางอันและเหิงหยางเหมย นับวันพวกเขาก็ยิ่งโตวันโตคืน ทำเอาเหล่าผู้อาวุโสในจวนกั๋วกงต่างหลงรักเจ้าอ้วนตัวน้อยทั้งสองคนเป็นอย่างมากคนเป็นพ่ออย่างเหิงจิ้งกั๋วได้แต่ต้องปล่อยลูก ๆ ให้พวกท่านดูแล เขายังคิดว่าหากภรรยาท้องอีกสักคนก็คงดี เขากับนางจะได้ดูแลลูกเองบ้าง เหิงจิ้งกั๋ววางแผนการในหัวแล้วก็คิดว่าจะเริ่มทำภารกิจพิชิตเมียรักเมื่อไหร่ดี จนกระทั่งคิดได้ว่าอีกสองวันข้างหน้าจะมีงานเลี้ยงในวัง เขาจะให้นางดื่มสักเล็กน้อยก่อนเผด็จศึก ส่วนเจ้าตัวป่วนทั้งสองน่ะหรือ เขาจะส่งไปนอนกับท่านตาท่านยายของพวกเขาเองหยูฉิงอันเห็นสายตากรุ้มกริ่มของสามีก็ไ