สาวไทยมาเกิดใหม่เป็นคุณหนูทองพันชั่งจวนเสนาบดีกรมพิธีการ โลกใหม่ที่ไช่เซียงฮวามาเกิดนั้นเป็นโลกแห่งเทพเซียน ปีศาจ พลังธาตุดิน น้ำ ลม ไฟ และธาตุหายากเช่นสายฟ้า มิติธาตุและมืด นางเชื่อว่าการที่ตนยังมีความทรงจำของชาติที่แล้วอยู่เพราะมีที่มาไม่ธรรมดา หลังจากรอมา 8 ปีก็ปรากฏ คืนของวันปลุกพลังธาตุ เทพแห่งดวงชะตาได้มอบตำราพิเศษให้นาง เล่มหนึ่งคือตำราสวรรค์หมื่นบุปผา อีกเล่มหนึ่งคือตำราชะตาคาด (การณ์) เพียงแค่ร่างกายมีพลังธาตุก็น่าตื่นตาตื่นใจคนจากยุค 2000 แล้ว นี่นางยังได้ครอบครองตำราสวรรค์อีก ...สกิลนางเอกยังโกงได้อีก!!!
Lihat lebih banyakบทที่ ๑
เหตุใดรู้สึกราวกับโดนตบหน้า
ณ แคว้นฝูหนึ่งในสี่แคว้นใหญ่อันได้แก่ ฝู เหลียง จิน จู กำลังอยู่ในช่วงที่คึกคักที่สุดแห่งปี
เนื่องจากในวันนี้ของทุกปีจะมีการประกอบพิธีที่สำคัญของเด็กชายหญิงในวัย 8 หนาว
นั่นคือการตรวจสอบพลังธาตุ อันเป็นตัวตัดสินชะตาชีวิตของเด็ก ๆ ทั้งหลายในอนาคต
ในเมืองหลวงแคว้นฝูยามนี้ ฝูงชนเนืองแน่น เพราะทุกคนมาร่วมส่งกำลังใจให้แก่บุตรหลานตน โรงเตี๊ยมมากมายต่างถูกจับจอง ลูกค้าตบเท้าเข้าออก มาใช้บริการมากมายจนเถ้าแก่ร้านยิ้มหน้าบาน
หากถามว่าเหตุใดปีนี้ถึงได้คึกคักกว่าทุกปี
คำตอบคือปีนี้ต่างจากทุกปีในด้านของ ‘โอกาส’
จากแต่เดิมถูกจำกัดสิทธิ์การเข้าตรวจพลังธาตุได้เฉพาะเชื้อพระวงศ์ ลูกหลานขุนนางและลูกหลานพ่อค้าอันมีจะกินเท่านั้น ชาวบ้านตาดำ ๆ แม้จะฝันก็ยังอาจเอื้อมเกิน
ด้วยเหตุนี้วีรบุรุษของลูกหลานชาวบ้านอย่างไท่จื่อฝูจินหลงในวัย 11 ชันษาที่ทรงเล็งเห็นถึงความต่างนี้จึงได้ยื่นฎีกาถวายแด่ฝูหวงตี้ให้ทรงพิจารณาถึงผลดีผลได้ของปวงประชา เนื้อความในฎีกาคือ…
“ควรแล้วหรือที่จะสนเพียงฐานันดรจนละเลยความสามารถอันแท้จริง ในหมู่มวลผกาที่เหาะเวหา อยู่ใต้ฟ้าบนดินนี้ อาจจะซ่อนหงษารอวันทยานโผลบินอยู่ก็เป็นได้”
เนื้อความในสารถูกเอ่ยถึงโดยเสียงใสของเด็กสาวคนหนึ่ง กล่าวขึ้นภายในรถม้าที่เงียบสนิท ขัดกับบรรยากาศข้างนอกรถม้าที่วุ่นวาย เสียงดังระเบ็งเซ็งแซ่
“เพราะฎีกาฉบับนั้นเลยแท้ ๆ ที่ทำให้ชนชั้นต่ำพวกนี้ มีสิทธิ์มาร่วมพื้นที่หายใจเดียวกันกับข้า”
กล่าวประโยคนี้จบไช่ฮั่วฮวาก็ปรายตาไปทางเด็กสาวที่มีใบหน้าน่ารักคนหนึ่งซึ่งนั่งตรงข้ามกับตน
“พี่หญิงใหญ่กล่าวเช่นนี้จะไม่เป็นการหลบหลู่ไท่จื่อผู้บุกเบิกโอกาสนี้ให้กับคนที่ด้อยหรือเจ้าคะ"
ไช่ปิงฮวาเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือเล็กน้อย แต่แววตาที่หลุบลงกลับแข็งกร้าวเกินกว่าที่เด็กวัย 8 หนาวพึงจะมี
พรู~มันเริ่มแล้วสินะ
เด็กสาวอีกหนึ่งคนนามว่าไช่เซียงฮวาซึ่งนั่งอยู่ตรงกลางระหว่างสงครามน้ำลายที่ได้เริ่มขึ้นแล้วสำหรับวันนี้ กำลังไว้อาลัยให้กับหูของตนเองอยู่
สี่ปีแรกของชีวิตนี้ ก็คิดว่าช่างสงบดีแท้ ๆ ชีวิตเด็กที่นอกจากกินแล้วนอนก็ไม่ต้องทำอะไรอีก ไม่มีเรื่องให้ปวดหัว รำคาญใจเหมือนภพก่อนที่ต้องตายตั้งแต่ยังสาวและยังสวย คิดไม่ถึงเลยว่าสี่ปีให้หลังต่อจากนี้ของนางจะไม่ต่างกันมากเท่าใดนัก
พี่สาวน้องสาวมหาภัยโดยแท้
สิ้นความคิดนี้ไช่เซียงฮวาก็แอบเหลือบตามองซ้ายทีขวาที ดูทิศทางลมเพื่อที่จะได้ตามสถานการณ์ให้ทัน
พูดถึงพี่สาวน้องสาวของไช่เซียงฮวาทั้งในภพที่แล้วและในภพปัจจุบัน…หาได้มีคำว่าพอดีไม่!
คนหนึ่งหยินคนหนึ่งหยาง คนหนึ่งชอบแสดงเป็นนางร้าย อีกคนชอบคงความเป็นนางเอก ภาษาจากภพที่นางจากมาเรียกว่า ‘คีพคาแร็คเตอร์’
ย้อนไปจุดผกผันของชีวิต ไช่เซียงฮวาสิ้นชีพจากยุคสองพัน ชีวิตเป็นเหมือนนิยายออนไลน์ที่เคยอ่าน มาเกิดใหม่ในโลกจีนโบราณเป็นคุณหนูจากตระกูลที่ร่ำรวย
แต่ความร่ำรวยไม่ได้ทำให้นางตื่นเต้นเท่ากับพลังธาตุ วันนี้นางตื่นเต้นมาก เพราะจะได้ทราบว่าตนมีพลังธาตุใด นางอยู่ในโลกของตัวเอง คาดเดาพลังธาตุของตัวเองโดยไม่สนใจการโต้เถียงระหว่างไช่ฮั่วฮวากับไช่ปิงฮวา
จนกระทั่งคนบังคนรถม้าเอ่ยว่า…
“หยุด~”
การโต้เถียงนี้ถึงได้หยุดลง!
“เอาล่ะพี่สาวน้องสาว ถึงที่หมายแล้วก็อย่าได้ชักช้าให้เสียเวลาเลย”
ไช่เซียงฮวากล่าวชวนอย่างร่าเริง เรียกสติของทั้งสองคนให้กลับเข้าที่เข้าทาง
นางร้ายไช่ฮั่วฮวาจะยอมจบการโต้เถียงโดยไม่ทิ้งสิ่งใดไว้ไม่ได้ นางกล่าวว่า “ฝากไว้ก่อนนางคนชั้นต่ำ” แล้วลงจากรถม้าไปอย่างกระฟัดกระเฟียด
ส่วนนางเอกอย่างไช่ปิงฮวาจะโต้ตอบสิ่งใดได้ นอกจากถอนหายใจเบา ๆ แล้วลงรถม้าเป็นคนสุดท้าย
เมื่อสาวน้อยทั้งสามลงจากรถม้าแล้วก็พากันเดินไปยังรถม้าอีกหนึ่งคันที่เป็นของหลินเหม่ยลี่ แม่ใหญ่ของทั้งสามที่นำทัพเด็กบ้านสกุลไช่มาร่วมพิธีในครั้งนี้
ส่วนนายท่านรองของบ้าน ไช่ฝูลี่ผู้เป็นรองเสนาบดีกรมพิธีการก็ไม่สะดวกจะพาลูก ๆ ของเขาเข้างานด้วยตนเอง เนื่องจากมีภาระหน้าที่ในการจัดงานนี้โดยตรงจึงทำได้เพียงส่งตัวแทนไปรับ
“...คนของบิดาพวกเจ้ามารับแล้ว แม่ใหญ่จะรอพวกเจ้าอยู่แถวนี้แหละ ไปเถิด”
หลินเหม่ยลี่เอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนมีเมตตา มาดแม่เลี้ยงใจร้ายถูกเก็บไว้ทันทีเมื่ออยู่ในที่สาธารณะ
“ท่านแม่ไม่ต้องเป็นห่วงนะเจ้าคะ ลูกจะไม่ทำให้ท่านแม่ผิดหวังอย่างแน่นอน” ไช่ฮั่วฮวาพูดกับมารดาด้วยน้ำเสียงมั่นใจ
“แม่เชื่อเจ้า ดูแลน้อง ๆ ให้ดี อย่าให้พวกนางกระทำการอันใดให้จวนตระกูลไช่ของเราต้องเสื่อมเสียชื่อเสียงเป็นอันขาด”
“เจ้าค่ะท่านแม่” รับคำมารดาแล้วไช่ฮั่วฮวาก็มองน้องสาวของตนเองอย่างเหนือกว่า
ใบหน้าเล็กที่แสดงความร้ายกาจออกมาตั้งแต่เยาว์วัยนั้นเรียกความเอ็นดูจากไช่เซียงฮวาได้ไม่น้อย
“ไปเถอะ”
“เจ้าค่ะ/เจ้าค่ะ/เจ้าค่ะ”
ทั้งสามคารวะหลินเหม่ยลี่แล้วเดินตามคนของบิดาเข้าไปนั่งตามอัฒจันทร์เพื่อรอเวลาเริ่มพิธี
เมื่อทั้งสามนั่งตามที่ของตนแล้วก็มองไปรอบ ๆ อย่างให้ความสนใจ
เพราะฎีกาฉบับที่ไท่จื่อยื่นทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงหลายอย่าง ที่เห็นได้ชัดก็คือเด็กในวัยเดียวกันแทบจะล้นอัฒจันทร์ที่ทางกรมพิธีการได้จัดเตรียมไว้
ภายในลานพิธีนี้ถือได้ว่ากว้างขวางพอจะบรรจุเด็กวัยแปดหนาวทั้งแคว้นได้ อย่างวันนี้มีราวหมื่นคน ด้วยจำนวนคนที่มากเช่นนี้ ฝูหวงตี้จึงได้เสด็จไปอัญเชิญศิลาตรวจสอบพลังธาตุด้วยองค์เอง
ไช่เซียงฮวาจับจ้องไปยังศิลาตรวจสอบพลังธาตุ ศิลาก้อนนี้ไม่เพียงทำให้รู้พลังธาตุในกายเท่านั้น แต่ยังสามารถปลุกพลังธาตุในตัวให้เกิดขึ้นด้วย
พูดถึงเด็กสาวจวนตระกูลไช่อย่างละเอียด
แม้จะมีการแบ่งเรียกพี่ใหญ่ พี่รองและน้องสามก็จริง แต่ทั้งหมดล้วนเกิดในปีเดียวกันทั้งสิ้น จะต่างกันก็เพียงแค่คลอดก่อนคลอดทีหลัง
ไช่ฝูลี่ บิดาของพวกนางเป็นบุรุษที่ฉลาดและพราวเสน่ห์ สอบเข้ารับราชการได้ในอันดับที่ดี ใช้เวลาไม่กี่ปีก็สามารถขึ้นเป็นรองเสนาบดีตั้งแต่ยังหนุ่มยังแน่นได้
ท่านปู่ไช่ซิ๋งชานที่ได้ทาบทามบุตรสาวกับฝั่งเสนาบดีกรมกลาโหมเอาไว้แล้วจึงให้ไช่ฝูลี่แต่งหลินเหม่ยลี่ที่เป็นบุตรของฮูหยินใหญ่เจ้ากรมกลาโหมเข้าจวน
ทว่าแต่งฮูหยินใหญ่เข้าจวนได้ไม่กี่ปี ท่านย่าของพวกนางที่สิ้นไปแล้วเมื่อสามปีก่อนก็ได้ทักท้วงเรื่องทายาท เนื่องจากหลินเหม่ยลี่ไม่ตั้งครรภ์เสียทีจึงอยากให้บุตรชายรับฮูหยินเพิ่ม
เท่ากับว่าฮูหยินใหญ่เป็นสะใภ้คนโปรดของปู่ ฮูหยินรองจากจวนเจ้ากรมพระคลังเป็นสะใภ้คนโปรดของย่า
แต่แล้วอย่างไร หากคนโปรดของตนยังไม่มี!
ไม่กี่ปีต่อจากนั้นไช่ฝูลี่ก็ได้แต่งบุตรสาวพ่อค้าเกลือผู้ร่ำรวยเข้าจวน
เรื่องนี้เรียกว่าสวรรค์ลิขิตได้เต็มปาก ฮูหยินทั้งสามของเขาตั้งครรภ์ตอนที่ไช่ฝูลี่อายุ 28 หนาว
คุณหนูใหญ่ คุณหนูรอง คุณหนูสามจึงอายุเท่ากัน ต่างเพียงเดือนเกิดเท่านั้น!
ภายในลานกว้างเริ่มเข้าสู่ความเงียบสงบเมื่อเห็นองครักษ์ผ้าแพรเดินเข้ามาภายใน เป็นสัญญาณบอกว่าผู้สูงศักดิ์กำลังเสด็จมาเยือนที่นี่
เวลาไม่กี่ลำหายใจเข้าออก ขันทีที่สวมหมวกทรงสูงก็ขานการมาของผู้เป็นใหญ่ทั้งสาม
“หวงตี้/หวงโฮ่ว/ไท่จื่อเสด็จ~”
ทุกคนถวายพระพรทั้งสามโดยพร้อมเพรียงกัน เสียงเล็กใสของเด็ก ๆ เมื่อผสานรวมกันเป็นหนึ่งก็สามารถสร้างความอึกทึกให้กับที่นี่ เกิดเป็นความขลังที่แม้แต่ฝูหวงตี้ยังอดใจสั่นไม่ได้
มือหนาใต้แขนฉลองพระองค์มังกรปักดิ้นทองสะบัดหนึ่งครั้ง เอ่ยด้วยน้ำเสียงนุ่มทุ้มแต่ฟังดูน่าเกรงขาม
“ไม่ต้องมากพิธี…เริ่มงานได้!”
กฎของราชวงศ์คือห้ามมองพระพักตร์ ไช่เซียงฮวาวางสายตาไปที่ศิลาไม่ว่อกแว่ก ทำตามกฎอย่างเคร่งครัด
พิธีการในการตรวจสอบพลังธาตุมิมีอันใดยุ่งยากเนื่องจากมีคนค่อนข้างเยอะ ฝูหวงตี้จึงอยากให้รวบรัดที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ไม่ทำตามวิธีเดิมที่เรียกขานทีละชื่อแล้วหยดเลือดบนศิลา แต่ให้ทำการตรวจสอบเป็นรอบ หยดเลือดรอบละหนึ่งร้อยคน เว้นการขานชื่อ
เมื่อผลออกมาว่าเป็นพลังธาตุใด ก็จะปรากฏอยู่ตรงข้อมือเหนือชีพจรของคนนั้น ๆ
ในความคิดของไช่เซียงฮวา…
ต่อให้ประกาศว่าเด็ก 8 หนาวทุกคนของแคว้นฝูสามารถเข้าทดสอบพลังธาตุได้ทุกคน เพื่อเป็นการลดความเหลื่อมล้ำทางสังคมให้น้อยลง
แต่สุดท้ายก็ไม่อาจทำอย่างนั้นได้ทั้งหมด เพราะแต่ละรอบที่ต้องเข้ารับการตรวจสอบนั้นถูกจัดให้นั่งแยกไว้ตั้งแต่แรกเริ่ม
ไช่เซียงฮวาและพี่สาวน้องสาวที่อยู่ในรอบแรกล้วนแล้วแต่เป็นลูกหลานขุนนางคนสำคัญรวมไว้ในรอบเดียวกัน
“นั่น ๆ เจ้าเห็นฝั่งตรงข้ามพวกเราหรือไม่ ที่ทรงสวมฉลองพระองค์สีดำสนิท เขาคือองค์ชายรองฝูเฮยหลง”
ระหว่างที่กำลังจะเดินเข้ามาในลานพิธี ไช่เซียงฮวาที่สายตามองตรงไปข้างหน้า แต่หูทำงานอยู่ตลอดเวลาก็แอบได้ยินประโยคซุบซิบเมื่อครู่ พลันคิดขึ้นมาได้ว่า…
เราลืมไปได้อย่างไรว่าเจ้าคนหน้านิ่งก็ต้องเข้ารับการทดสอบพลังด้วย
องค์ชายรองฝูเฮยหลง สหายสูงศักดิ์เพียงคนเดียวของไช่เซียงฮวาที่ชอบทำตัวเป็นพี่ชายของผู้อื่นจนเซียงฮวาหลงคิดไปแล้วว่าตนเป็นน้องสาวของเขาจริง ๆ
ไช่เซียงฮวามองหาเจ้าของหัวข้อสนทนา เสียเวลาในการมองหาไม่นานก็พบเข้ากับใบหน้านิ่งเย็นชาเกินอายุของเด็กคนหนึ่งซึ่งกำลังมองมาที่นางพอดี
นางลอบยักคิ้วใส่เขา คิดเอาเองว่าไม่มีใครมองเห็น แต่ก็ไม่พ้นสายพระเนตรของเจ้าครองแคว้นซึ่งจดจ่อไปที่พระโอรสของตนพอดี
“กงกง คุณหนูน้อยคนนั้นจากจวนใดกัน” ฝูหวงตี้ตรัสกับกงกงเบา ๆ
ขันทีประจำพระองค์ที่สายตาจับจ้องไปยังจุดนั้นอยู่แล้วก็ตอบคำถามได้ทันที
“ทูลฝ่าบาท เป็นคุณหนูรองจวนรองเสนาบดีกรมพิธีการพ่ะย่ะค่ะ”
“อ้อ ที่แท้ก็หลานสาวของอาจารย์เจ้ารอง”
ฝูหวงตี้พยักหน้าเชิงเข้าใจ พระเนตรแพรวพราวอย่างคนนึกสนุก แต่เมื่อพิธีตรงหน้ากำลังจะเริ่มจึงหยุดความคิดที่กำลังโลดแล่น สนใจเพียงเหตุการณ์กลางตรงหน้า
ที่กลางลานพิธี เมื่อรอบแรกมีคนครบหนึ่งร้อยคนตามที่กำหนดไว้แล้ว นางกำนัลจำนวนสิบคนก็เดินเข้ามาจัดแถวให้สิบคนแรกยืนล้อมศิลาตรวจพลังธาตุไว้ โดยยืนล้อมอย่างนี้อีกจำนวนเก้าวงก็ครบหนึ่งร้อยคนของรอบแรกพอดี
แน่นอนว่าฝูเฮยหลงอยู่ในรอบแรก!
เมื่อเสนาบดีกรมพิธีการหรือท่านปู่ของตระกูลไช่ให้สัญญาณ เด็กทั้งหลายก็หยิบของมีคมตรงหน้าตนขึ้นมาแล้วกรีดไปที่ตำแหน่งชีพจรตรงข้อมือ ยื่นมือไปที่ศิลาให้เลือดและแผลแนบไปกับเนื้อสัมผัสนั้น
เวลาผ่านไปห้าลมหายใจแสงนานาสีก็เกิดกับศิลาที่ได้ดื่มกินเลือด
ไม่นานหลังจากนั้นก็ปรากฏปานสัญลักษณ์ประจำธาตุของผู้ที่เพิ่งเสียเลือดบนข้อมือ
รอยปานนี้จะหายไปก็ต่อเมื่อฝึกปรือพลังธาตุได้ในระดับสามขึ้นไปแล้วเท่านั้น
เมื่อปรากฏปานสัญลักษณ์ประจำธาตุขึ้นแล้ว ทั้งสิบคนก็เดินออกมาเพื่อให้สิบคนหลังก้าวไปที่เดิมของตน เด็กสาวตระกูลไช่ทั้งสามที่อยู่ในสิบคนนี้ก็เดินเข้ามาแทนที่
ความตื่นเต้นที่อีกนิดจะได้ใช้พลังธาตุทำให้ไช่เซียงฮวาตื่นเต้นจนควบคุมจังหวะหัวใจไม่ได้ ในใจนางคิด…
สาบานด้วยเกียรติของนักกีฬาเลยว่าตอนแข่งกีฑาชิงแชมป์โลกยังไม่เกร็งขนาดนี้
เสียงพ่นลมหายใจไม่หนักไม่เบาของไช่เซียงฮวาทำให้ไช่ฮั่วฮวาที่อยู่ข้าง ๆ ยิ้มเยาะ
“ไม่ต้องตื่นเต้นไปหรอกน้องรอง ถึงอย่างไรผลที่ออกมามันก็คงไม่เกินที่พี่ใหญ่คาดไว้นักหรอก”
ปากพูดเหน็บแนมไช่เซียงฮวา แต่สายตาเลื่อนไปจิกกัดไช่ปิงฮวา
คนที่โดนจิกกัดทางสายตาก็ได้แต่สะกดกลั้นอารมณ์อันคุกรุนของตัวเองไว้ มิได้โต้ตอบกลับไป
ไม่นานจากนั้นก็มีสัญญาณให้ลงมือทดสอบเลือด
ไช่เซียงฮวาลงมือหยิบกริชเงินที่อยู่ตรงหน้า กลั้นใจปาดตรงชีพจรแล้วแนบไปกับศิลา
ไม่เกินห้าลมหายใจเข้าออกนางก็รู้สึกร้อนตรงตำแหน่งแผล พอแสงจากศิลาในตำแหน่งที่นางแนบเลือดดับไปแล้วก็เอาแขนออกมาแล้วกลับไปนั่งยังตำแหน่งเดิมบนอัฒจันทร์เพื่อที่จะได้ให้คนอื่นทดสอบต่อ
เมื่อกลับมานั่งที่เดิมแล้วไช่เซียงฮวาก็พิศมองไปที่ข้อมือของตนที่มีสีน้ำตาลไหม้ปรากฏอยู่พร้อมกับดอกไม้สีฟ้าที่ค่อย ๆ ชัดขึ้นเรื่อย ๆ
ในใจนางคิด…ดอกไม้นี่คืออันใดกัน หรือจะเป็นพลังธาตุพิเศษ
“ไม่ต้องเสียใจไปหรอกน้องรอง ถึงจะเป็นเพียงธาตุดินธรรมดา ๆ แต่หากตั้งใจฝึกสักหน่อยก็สามารถเป็นผู้ที่แข็งแกร่งได้”
ไช่ฮั่วฮวากล่าวปลอบใจน้องสาวแต่กลับยกข้อมือให้ทุกคนเห็นสัญลักษณ์บนข้อมือตนที่มีสายฟ้าและสีแดงชัดเจน สองพลังธาตุในคนเดียวกันเช่นนี้นับว่าเป็นผู้มีพรสวรรค์
ทว่าสิ่งนี้ไม่ได้ทำให้เซียงฮวาแปลกใจเท่ากับ…
ธาตุดินธรรมดา ๆ เช่นนั้นหรือ อย่าบอกว่าพี่หญิงใหญ่ไม่เห็นดอกไม้บนข้อมือข้า
คนที่ไช่ฮั่วฮวาอยากเยาะเย้ยที่สุดไม่ใช่ใครที่ไหน
นางหันไปมองน้องสามปิงฮวาก็เห็นอีกฝ่ายก้มหน้าพร้อมกับลูบที่ข้อมือของตนซึ่งแผลสมานแล้วหลังจากพลังธาตุได้ถูกปลุกขึ้นมา
“หึ! สีฟ้าธาตุน้ำ!!”
“ธาตุน้ำแล้วอย่างไรเจ้าคะ” ไช่ปิงฮวาถามเสียงเบา
“ก็ไม่แล้วอย่างไร แต่เห็นชัดแล้วใช่หรือไม่ บุตรสาวฮูหยินใหญ่อย่างไรก็เหนือกว่าบุตรสาวอนุ”
ไช่ฮั่วฮวาเชิดหน้าพร้อมใช้สายตามองด้วยความเหนือกว่า เมื่ออยู่ในที่สาธารณะ ปิงฮวาก็ทำได้เพียงแค่…
“เป็นข้าที่ไร้ความสามารถ มิอาจหาญตีตนเสมอพี่หญิงใหญ่ได้” น้ำตาคลอเบ้า ตีหน้าเศร้าแล้วก้มหน้าลงต่ำ
ไช่เซียงฮวาดึงตัวเองมาจากโลกส่วนตัว นางไม่อยากให้สถานการณ์แย่ไปกว่านี้จึงรีบแก้ไขสถานการณ์
“พี่หญิงใหญ่มีพรสวรรค์เช่นนี้ เป็นเกียรติให้แก่ตระกูลเรายิ่งนัก”
ไช่เซียงฮวาหันไปทางซ้ายมองด้วยความเคารพเทิดทูน จากนั้นก็หันไปมองทางขวา ชูกำปั้นให้กำลังใจและปลุกอารมณ์ไปในคราวเดียวกัน
“น้องสามอย่าเศร้าไป เรามาตั้งใจฝึกซ้อมด้วยกัน”
เหตุใดจึงรู้สึกราวกับโดนตบหน้า ด่าปิงฮวาแต่กระทบถึงข้าเต็ม ๆ ฮั่วฮวายายเด็กแสบ
บทที่ ๒๐ต้องทำถึงเพียงนี้เชียวหรือณ โรงเตี๊ยมซงชู่หนึ่งในสถานที่ยอดนิยมของเมืองหลวงแคว้นเหลียง“เจ้าว่าสองแสบจะทำสำเร็จหรือไม่”จื่อหลีเฮยที่ตอนนี้นั่งอยู่ชั้นบนสุดของโรงเตี๊ยมเอ่ยถามคนสนิท สายตาสอดส่องลงไปยังชั้นล่างสุดเพื่อมองหาคนที่ตนกำลังรออยู่“ไม่เกินความสามารถของคุณหนูกับท่านประมุขน้อยแน่นอนขอรับ”คนสนิทจื่อหลีเฮยตอบกลับด้วยความหวังที่คิดว่าต้องใช่ สืบเนื่องจากว่าก่อนหน้านี้มีคำสั่งจากท่านประมุขให้ออกตามหาคน เบาะแสมีอยู่แค่ว่าใช้พลังที่เกี่ยวกับบุปผาได้ เป็นเด็กสาวชุดขาว มีหมวกปิดบังใบหน้าไว้และอายุไม่เกิน 12 หนาวประทานโทษเถิด! เบาะแสเพียงเท่านี้ต่อให้พวกเขาจะมีความสามารถมากกว่านี้อีกกี่เท่า ก็ต้องขอกล่าวว่าแทบไม่มีทางเป็นไปได้เลยเพราะสิ่งเดียวที่ยังพอใช้การได้อย่างพลังบุปผา ซึ่งหากว่าเป็นพลังที่แปลกกว่าผู้อื่นจริง ๆ แล้วผู้ใดจะใช้ออกมาให้เห็นกันพร่ำเพรื่อดังนั้นแม้ก่อนหน้านี้เขาและท่านประมุขจะไม่เชื่อคำกล่าวที่ออกมาจากปากของคุณหนูตัวแสบนัก แต่ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าพวกเขาก็ขอให้เป็นนางจริง ๆ ทางด้านเซียงฮวา…“โรงเตี๊ยมซงชู่มีทั้งหมดสี่ชั้น แอบกระซิบบอกเจ้าก็ได้ว่าที่นี่เป็นขอ
บทที่ ๑๙มันถ่ายทอดผ่านดีเอ็นเอได้ณ พรรคมารจื่อถาน“หนีผู้อารักขาไปเล่นซนที่ใดกันมาเจ้าตัวแสบ!”เสียงกัมปนาททำแฝดชายหญิงที่กำลังเดินย่องเข้าเขตรั้วพรรคมารจื่อถานชะงักกึก ประมุขพรรคยังไม่ได้ไต่สวน โจรย่องเบาทั้งสองก็รับสารภาพเสียแล้ว“เสี่ยวเฉิงสำนึกผิดแล้วขอรับท่านพ่อ/เสี่ยวเหมยสำนึกผิดแล้วเจ้าค่ะท่านพ่อ” จื่อเจี่ยนเฉิงและจื่อเหมยฮวาเป็นความผิดพลาดของจื่อหลีเฮยเมื่อสิบปีก่อนโดยความตั้งใจของจื่อหลีป๋าย มารดาของทั้งคู่ลาลับโลกนี้ไปแล้ว เด็กแฝดถูกเลี้ยงดูสั่งสอนโดยแม่นม จื่อหลีเฮยไม่มีเวลาดูแลทั้งสองมากนักจึงประเคนทุกสิ่งที่เด็กแฝดต้องการ หวังว่าการตามใจเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ จะเติมเต็มสิ่งที่เขาบกพร่องไป และเพราะการตามใจที่ไร้ขีดจำกัดนี้ ทั้งสองจึงมักก่อเรื่องเป็นประจำ อย่างเช่นเรื่องในวันนี้ในระหว่างที่เขาเพิ่งกลับมาจากการทำธุระก็ได้รับรายงานมาจากผู้อารักขาประจำตัวของเด็กแฝดว่าออกไปเล่นซุกซนกันที่อื่นแต่ไปเล่นที่ใดไม่เล่น กลับไปเล่นในพื้นที่ใกล้เขตของพรรคหยิ๋นมี่ จากบิดาที่ไม่ดุด่าว่าบุตร วันนี้กลับทำเสียงแข็งใส่ทั้งสองถึงขั้นเป็นตวาด“เข้าไปคุยกันในเรือน”“ขอรับ/เจ้าค่ะท่านพ่อ”ใน
บทที่ ๑๘เอามากำไว้ดั่งเป็นลูกไก่“I love the way you make me feel, I love it, l love it, I love the way you make me feel, I love it , l love it”เซียงฮวาร้องเพลงบนหลังม้า มือข้างซ้ายยกขึ้นทำมินิฮาร์ทตรงคำว่า ‘love’ ให้เฮยหลงแม้เฮยหลงจะไม่เข้าใจท่าทางนี้ แต่บรรยากาศรอบกายนางทำให้เขาหน้าเห่อร้อนขึ้นจนเผลอยกมือแตะใบหน้า ไม่ไหวจริง ๆ ก็เบือนหน้าไปทางอื่นเพราะไม่อยากให้นางเห็นว่าตนเสียอาการ‘เซียงฮวา…’เจ้าของนามหยุดร้องเพลงเมื่อได้ยินเสียงเฮยหลิง‘พบเป้าหมายอยู่ไม่ไกลจากที่นี่ ทางทิศตะวันตก’เซียงฮวาลอบถอนหายใจเบา ๆ ดีว่ากล่อมตัวเองเก่งถึงได้เข้าโหมดทำงานได้อย่างรวดเร็ว‘ทางทิศตะวันตกคือนอกเขตแดนของพรรคหยิ๋นมี่มิใช่หรือ’‘ใช่ เจ้ารีบไปช่วยเถิด!’‘แล้วเฮยหลงเล่า ข้าไม่มีทางทิ้งบุรุษของข้าให้ต้องอยู่คนเดียวเปล่าเปลี่ยวกายาแน่…เอาแบบนี้แล้วกัน!’“เฮยหลง ทางทิศตะวันตกคือจุดสิ้นสุดของเขตแดนใช่หรือไม่” เซียงฮวาแสร้งถามเหมือนไม่รู้“ใช่ เมื่อออกจากเขตแดนทางทิศตะวันตกแล้ว มีเส้นทางหนึ่งที่ผู้คนไม่ค่อยใช้กันนัก แต่สามารถเข้าตลาดได้”เซียงฮวาได้ยินเช่นนั้นก็ตาลุกวาว…เข้าทางแล้ว!“อยู่ ๆ ข้าก็อย
บทที่ ๑๗เอาไว้สร้างรังรักของเราพรรคหยิ๋นมี่ขึ้นชื่อเรื่องการฝึกหนัก สมาชิกส่วนมากเข้าพรรคตั้งแต่อายุยังน้อย อย่างเฮยหลงก็ฝากตัวเป็นศิษย์กับไช่เฟิงหยูตั้งแต่อายุ 4 หนาวการเป็นศิษย์ของผู้ที่มีพรสวรรค์อย่างไช่เฟิงหยูไม่ใช่เรื่องง่าย นอกจากจะต้องตั้งใจฝึกซ้อมเพื่อไม่ให้เสียหน้าอาจารย์แล้วยังต้องรักษาหน้าองค์ชายรองแคว้นฝู การฝึกของคนในพรรคที่ว่าหนักแล้ว ยังเทียบไม่ได้กับเขาตั้งแต่เช้ายันบ่าย เขาจะฝึกยุทธ์ร่วมกับสมาชิกพรรครุ่นเยาว์ทั้งหลาย หรือบางทีหากท่านอาจารย์อยากจะถ่ายทอดเคล็ดวิชาใหม่ ๆ ให้เขาก็ต้องแยกไปเรียนเดี่ยวตกดึกก็จะเรียนการใช้พลังธาตุกับท่านประมุขพรรค สลับกับเรียนคาถาลับของพรรคที่ท่านอาจารย์เป็นผู้ที่ถ่ายทอดให้โดยตรงพอจะเข้านอนแล้วก็ควรเป็นเวลาพักผ่อนร่างกาย แต่เขาก็ยังอ่านตำรา ฝึกคัดอักษร เวลานอนในแต่ละวันไม่ถึงสองชั่วยาม แต่เจ้าตัวก็คงคิดว่ายังยุ่งไม่พอ เพราะยังหาเวลาว่างเข้าครัวทำอาหารพิชิตใจสาวน้อยวัยเดียวกันพูดถึงเรื่องเข้าครัวก็ต้องพูดถึงอาหารมื้อเย็น เขาทำอาหารให้เซียงฮวาแล้วให้สาวใช้ในพรรคนำมาส่งให้ถึงเรือน แอบกังวลไม่น้อยว่าจะไม่ถูกปากนางตับ!ฝูเฮยหลงพับตำราเก็
บทที่ ๑๖อาอยากจะบอกว่า…หลังได้รับการช่วยเหลือจากเซียงฮวา เมื่อกลับถึงพรรค จื่อหลีเฮยก็สั่งลูกน้องให้ออกตามหาเด็กสาวชุดขาวอายุไม่เกินสิบสองหนาว ตามหาเอิกเกริกจนรู้ถึงหูไช่เฟิงหยูและพรรคข้างเคียงไช่เฟิงหยูเดินเข้ามาในห้องทำงานชิวเฉินยี่โดยไม่ต้องให้ใครรายงานก่อน ซึ่งเจ้าของห้องเองก็ชินแล้วเช่นกัน“เจ้าได้ยินข่าวที่หลีเฮยให้คนออกตามหาเด็กสาวคนหนึ่งแล้วหรือไม่ ตามหาคนก็ยากอยู่แล้ว ข้อมูลที่ให้มายังมีเพียงสองข้อ ชุดขาวกับอายุ ต่อให้เป็นข้าก็หาไม่เจอ”ไช่เฟิงหยูขบขัน ชิวเฉินยี่เองก็ไม่แพ้กัน แต่เขาเพียงเหยียดยิ้มเท่านั้นไม่ได้กล่าวเสียดสีเช่นทุกที“รายงานผลรายได้จากหอขายข่าว หอสุราและร้านค้าปลีกย่อยในเดือนนี้”ชิวเฉินยี่ยื่นมือมารับสมุดแต่ไม่ได้เปิดอ่านในตอนนั้น ไช่เฟิงหยูจึงกล่าวถามสิ่งที่สงสัย“ว่าแต่เจ้ายังให้คนออกตามหาผู้มีปานดอกไม้อยู่ที่ข้อมืออยู่อีกไม่”ชิวเฉินยี่พยักหน้ารับ ไม่ได้เก็บงำเป็นความลับ แต่ก็ไม่ได้เปิดเผยเบื้องลึกให้ใครทราบเช่นกัน “เจ้าตามหาทำไม บอกจุดประสงค์ได้หรือไม่”ชิวเฉินยี่ยังคงเงียบ ในหัวเริ่มคิดถึงภาพความจำอันเลือนรางในหลาย ๆ สถานที่หลาย ๆ อิริยาบถระหว่างเขาก
บทที่ ๑๕เขาบอกข้าว่าควรกลับบ้านไปนอนกอดแม่เช้าวันต่อมา…“ขอบตาดำเชียว ตื่นเต้นที่จะได้ออกเดินทางจนนอนไม่หลับเลยหรือ!”จางซิ่วลี่เอ่ยกับบุตรสาวด้วยน้ำเสียงเข้มงวด ทว่าไม่อาจปิดความห่วงใยในแววตาได้“ไม่ดึกมากเจ้าค่ะท่านแม่ แต่ร่างกายของคนเราตื่นรู้นัก เมื่อจะเจอเรื่องที่ต่างจากทุกวันจะหลั่งสารอะดรีนาลีนจนตื่นตัว อยากนอนเร็วเหมือนกันเจ้าค่ะ แต่จนใจที่ทำเช่นนั้นมิได้”เซียงฮวาโกหกคำโต ทั้งยังเอาชื่อสารที่หลั่งมาจากต่อมหมวกไตเบี่ยงเบนความสนใจของมารดา “มีสารที่ชื่อนี้ด้วยหรือ ไยฟังดูไม่ใช่ภาษาบ้านเรา” แล้วก็ได้ผล! จางซิ่วลี่ไม่รู้ตัวเลยว่าถูกบุตรสาวเบี่ยงเบนความสนใจ อาจารย์หวางที่จะเดินทางกลับพร้อมกันก็มีความสงสัยเช่นกัน แต่ไม่แสดงออกมากนัก “ได้เวลาต้องออกเดินทางแล้ว”อาจารย์หวางให้โอกาสแม่ลูกได้ร่ำลากันครู่หนึ่ง เมื่อสมควรแก่เวลาแล้วก็เอ่ยชวนเซียงฮวาออกเดินทางไปพรรคหยิ๋นมี่ ทุกสามเดือนไช่เฟิงหยูจะมารับนางไปเที่ยวเล่น แต่หากครั้งใดไม่ได้มารับด้วยตนเองจะส่งองครักษ์ชุดใหญ่ทั้งที่ลับและที่แจ้งมาคุ้มครองระหว่างการเดินทาง ครั้งนี้อาจารย์หวางเดินทางมาด้วย มียอดฝีมืออยู่ในขบวนเช่นนี้ไช่เฟิ
Komen