แกร๊ก แกร๊ก
เสียงคีย์บอร์ด ที่เกิดจากการพิมพ์งานอย่างตั้งใจของฉู่เสี่ยวเสี่ยว นักเขียนนิยายอิสระ ที่พยายามจะจบนิยายเล่มนี้ก่อนสิ้นเดือน ไม่อย่างนั้นเธอต้องหอบของออกจากห้องนี้ เพราะไม่มีเงินจ่ายค่าเช่า ตอนนี้กลับโดนขัดจังหวะจากเสียงเตือนที่หน้าต่างคอมเมนต์ในนิยายเรื่องล่าสุดของเธอเอง เสี่ยวเสี่ยวที่มักสนใจในคอมเมนต์ของชาวเน็ต เปิดเข้าไปอ่านในทันที
“นักเขียนโรคจิต เป็นอะไรนักหนา ชอบทรมานพระเอกฉันซะจริง”
“ยัยแม่เล้านี่ก็โหดร้ายเกิ๊น ไม่มีความเป็นคนเลย นางเอกฉันบอบช้ำหมดแล้ว”
“เมื่อไหร่ พระเอกกับนางเอกจะหนีจากนางแม่เล้าบ้าอำนาจนี้ได้ซะที”
“นี่ทุกคน! สมน้ำหน้านางแม่เล้าถูกฆ่าตายแล้วในตอนล่าสุด”
“กว่าจะตายได้ นักเขียนก็ให้บทนางซะจริง สงสัยจะนิสัยเหมือนนางแม่เล้า”
“เกี่ยวกันตรงไหน ฉันก็แค่อยากให้พวกเขาผ่านบททดสอบพิสูจน์ความรักย่ะ” เสี่ยวเสี่ยวบ่นให้กับชาวเน็ตเพียงลำพัง
“ถ้าสวรรค์มีจริงนะ ฉันขอให้คุณนักเขียนมีชีวิตที่ยากลำบากแบบนางเอกของฉันบ้าง”
“ใช่ ๆ ให้หล่อนมีจุดจบแบบแม่เล้าก็ดี อิอิ”
ชาวเน็ตคอมเมนต์เข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ย มีเพียงแค่ฉู่เสี่ยวเสี่ยว ที่ไม่สนุกกับเรื่องนี้ แต่เธอก็เลือกที่จะปิดหน้าคอมเมนต์ และพิมพ์นิยายของเธอต่อไป
เปี้ยง!
เสียงฟ้าที่ผ่าลงมาทั้งที่ข้างนอกไม่มีพายุ ทำให้เสี่ยวเสี่ยวตกใจไม่น้อย ไฟในห้องของเธอเริ่มกะพริบและดับลงในที่สุด
“อะไรเนี่ย จู่ ๆ ทำไมไฟถึงดับ” เสี่ยวเสี่ยวบ่นพึมพำ พลางลุกเดินไปดูคัตเอาท์ไฟ
กลับมา กลับมา เสียงเบาลอยมาจากที่ไหนสักแห่ง ทำเอาเสี่ยวเสี่ยว ขนลุกด้วยความกลัว
“ใครน่ะ?” เสี่ยวเสี่ยวตะโกนออกไปอย่างกล้าๆกลัวๆ
ไม่มีเสียงตอบรับ จากคำถามของเธอ
ยังไม่ทันที่เธอจะได้เดินไปถึงคัตเอาท์ เสี่ยวเสี่ยว กลับรู้สึกดวงตาหนักอึ้ง และค่อยๆปิดลง ทุกอย่างดำมืดเหมือนเอกภพที่กว้างใหญ่ไม่มีสิ้นสุด………………
กลับมา กลับมา เสียงเดิมอีกแล้ว เสี่ยวเสี่ยวลืมตาขึ้นเพื่อตามหาเจ้าของเสียง
แต่ยังไม่ทันได้มองหาเจ้าของเสียงนั่น เสี่ยวเสี่ยวกลับมองเห็นใบหน้าหญิงสาวคนหนึ่ง ที่แต่งตัวประหลาดจ้องมองเธออยู่
“เธอเป็นใคร?” เสี่ยวเสี่ยวถามด้วยความตกใจ
“เจียลี่ไงเจ้าคะ คุณหนูจำข้าน้อยไม่ได้หรือเจ้าคะ” เจียลี่มีสีหน้างุนงง
เสี่ยวเสี่ยวรู้สึกว่าชื่อนี้คุ้นหูจัง แต่คิดไม่ออกว่าได้ยินมาจากไหน หล่อนสำรวจไปรอบๆ ห้อง ทุกอย่างแปลกตาไปหมด ห้องโดนกั้นด้วยไม้ และผ้าฉาก มีผ้าม่านที่ห้อยอยู่ตามเตียงนอนเต็มไปหมด เสี่ยวเสี่ยวพยายามหามือถือเพื่อโทรหาใครสักคน
“มือถือ! ฉันว่าฉันต้องโทรหาตำรวจแล้ว นี่มันโจรโรคจิตที่ชอบจับคนมาทำอะไรแปลกๆ แน่”
ยังไม่ทันที่เสี่ยวเสี่ยวจะค้นหามือถือ สายตาของเธอก็ไปสะดุดกับกระจกที่ตั้งไม่ห่างจากเตียงนอน กระจกสีเหลืองขุ่นที่มองไม่เห็นหน้าชัดเจนนั้น ยังพอมองออกว่าคนในกระจกคือเธอเอง
“ฉันนี่ แต่ชุด..ไม่ใช่ชุดฉัน ชุดอะไรของพวกเธอเนี่ย” เสี่ยวเสี่ยวเริ่มสติแตกกับสิ่งที่เกิดขึ้น ไม่ต่างจากเจียลี่ที่รู้สึกหวาดกลัวกับท่าทางประหลาดของคุณหนูตัวเอง
เสี่ยวเสี่ยวเริ่มสับสนว่าสิ่งที่เกิดขึ้น ตอนนี้เป็นเธอฝันไปหรือเปล่า
โอ๊ย!
เสี่ยวเสี่ยวหยิกแขนตัวเองจนเป็นรอยแดง หล่อนร้องเสียงหลงด้วยความเจ็บปวด
“ไม่ได้ฝันไป” เสี่ยวเสี่ยวยังคงเดินไปเดินมาและพูดกับตัวเอง ภายใต้การจ้องมองของเจียลี่ ที่ตอนนี้นางรู้สึกหวาดกลัวคนที่อยู่ตรงหน้าไม่น้อย
“ต้องมีคนแกล้งฉันแน่ ใครกันนะ?”
“คุณหนู ให้บ่าวตามหมอไหมเจ้าคะ” เจียลี่คิดว่าอาการคุณหนูของตนหนักกว่าที่นางคิด
เสี่ยวเสี่ยวหันไปมองเจียลี่ แต่ไม่พูดอะไร จากนั้นก็เริ่มวิ่งออกห้องไป ท่าทางเสี่ยวเสี่ยวตอนนี้เหมือนคนบ้าในสายตาเจียลี่ไปแล้ว
เสี่ยวเสี่ยววิ่งพล่านไปทั่ว หล่อนหาทางออกไม่เจอ ดวงตาของเธอตกตะลึงกับทุกอย่างที่พบเห็น การแต่งกายที่รุ่มร่ามของผู้หญิง ผู้ชายที่ต่างไว้ผมยาวเหมือนผู้หญิง การพูดคุยโหวกเหวกเสียงดังบนโต๊ะอาหารรูปร่างแปลกประหลาด กับร้านอาหารที่แปลกประหลาด
ไม่ต่างจากสายตาคนอื่นที่มองมายังเสี่ยวเสี่ยว วันนี้นางดูแปลกในสายตาแขกในร้าน เหมือนคนสติฟั่นเฟือนที่วิ่งไปทั่วด้วยดวงตาหวาดกลัว ที่มีเจียลี่วิ่งตามหลังมาด้วยความเป็นห่วง
“คุณหนู! รอเจียลี่ก่อนเจ้าค่ะ” เสียงตะโกนไล่หลังมาทำให้เสี่ยวเสี่ยวหันไปมอง เมื่อเห็นเป็นเจียลี่หล่อนก็ยิ่งใส่เกียร์หมาวิ่งหนีสุดชีวิต ด้วยคิดว่าเป็นเจียลี่ที่ลักพาตัวเธอมาให้อยู่ในสถานการณ์แบบนี้
เสี่ยวเสี่ยวสามารถพาตัวเองออกมาจากสิ่งปลูกสร้างที่เธอเรียกว่าร้านอาหารจนได้
แต่นั่นยิ่งทำให้สมองของเธอว่างเปล่ามากยิ่งขึ้น เพราะที่นี่ไม่มีรถแม้แต่คันเดียว มีแต่บ้านรูปทรงแปลก ๆ ร้านค้าที่วางแผงลอยข้างถนน รถม้าที่วิ่งไปมาอย่างเป็นธรรมชาติ ไม่เหมือนการจัดฉากแม้แต่น้อย
“ที่นี่คือที่ไหนกันเนี่ย”
ตอนนี้เสี่ยวเสี่ยวเริ่มรู้สึกหวาดกลัวขึ้นมาจริง ๆ ซะแล้ว
“นี่คือเมืองเจียงป่าย เมืองหลวงของแคว้นเทียนกั๋วเจ้าค่ะ” เจียลี่กล่าวด้วยน้ำเสียงหอบเหนื่อย
“เทียนกั๋วหรอ? ทำไมชื่อแคว้นคุ้นหูขนาดนี้” เสี่ยวเสี่ยวครุ่นคิดด้วยแววตาสับสน ทันใดนั้นดวงตาเธอก็เบิกกว้าง
“นี่คงไม่ใช่เมืองในนิยายที่ฉันแต่งหรอกนะ!” เสี่ยวเสี่ยวที่บัดนี้หน้าตาซีดเซียว พร้อมจะเป็นลมอีกครั้ง
“คุณหนู ๆ เป็นอะไรหรือไม่เจ้าคะ” เจียลี่รีบเข้าประคองผู้เป็นนาย
“ตอนนี้เราอยู่ไหน?” เสี่ยวเสี่ยวที่บัดนี้ไม่มีแม้แต่แรงขัดขืนปล่อยให้เจียลี่ประคองตามใจ ถามอย่างไร้จุดหมาย
“หอบุปผาไงเจ้าคะ เหตุใดการล้มหัวฟาดพื้นครั้งนี้ คุณหนูจึงลืมแม้กระทั่งกิจการที่สร้างมากับมือได้”
เมื่อได้ยินชื่อนี้เสี่ยวเสี่ยวก็เสียสติในทันที ทั้งร้องไห้ทั้งหัวเราะ จนผู้คนเริ่มจ้องมอง
หลี่หยางกลับตำหนักเผิงซีด้วยความขุ่นเคือง แม้หนิงอวี่บอกว่านางต้องการอยู่ที่หออาลักษณ์เพื่อใช้ความสามารถของตน แต่เขามักรู้สึกว่านางจงใจหลบเลี่ยงเขาอยู่บ่อยครั้ง นั่นทำให้เขาไม่พอใจ “ยินดีกับองค์รัชทายาทเพคะ” ลู่เสียนกล่าวยินดีกับเขาทันที เมื่อเห็นหลี่หยางก้าวเข้ามาในห้องทรงอักษร “เจ้าเข้ามาในนี้ได้อย่างไร” หลี่หยางขมวดคิ้วถามด้วยความไม่พอใจ ลู่เสียนในใจเขานับวันยิ่งแตกต่างจากสตรีที่เขาคอยปกป้องเมื่อครั้งที่อยู่ที่หอบุปผา “หม่อมฉันเห็นว่าห้องนี้ไม่ค่อยได้ทำความสะอาด จึงเข้ามาเช็ดถูให้เพคะ” รอยยิ้มบนใบหน้านางจางหายในทันที เมื่อสิ่งที่หลี่หยางตอบกลับมาไม่ใช่รอยยิ้มอย่างที่นางคิด “ช่างเถิด เจ้าไปเก็บของเถอะ รุ่งเช้า มามา จะพาเจ้าไปตำหนักของตัวเอง เจ้าจะได้มีอิสระในการทำสิ่งใดไม่ต้องคอยเกรงใจข้าอีก”ลู่เสียนหน้าชาเมื่อได้ยินคำพูดนั้น ถึงแม้คำพูดของหลี่หยางจะดูเป็นห่วงนาง แต่แท้จริงแล้วกลับต้องการไล่ให้นางออกไปเสียมากกว่า “หม่อมฉันรับบัญชาเพคะ” ลู่เสียนเดินออกจากห้องไป นางกำมือแน่นจนเล็บจิกเข
หนิงอวี่ยกหนังสือที่อยู่ในมือขวางการจ้องมองของหลี่หยาง นางมิอาจจะทนต่อการจ้องมองอย่างลึกซึ้งนั้นของเขาได้ “องค์ชาย นี่หออาลักษณ์โปรดสำรวมด้วย” หนิงอวี่ตำหนิหลี่หยางกลาย ๆ “เช่นนั้นกลับตำหนักเผิงซีเถอะ ข้าจะได้ไม่ต้องสำรวม”หลี่หยางกล่าวพลางดึงหนังสือให้มือของนางออก หนิงอวี่จ้องมองคนที่อยู่เบื้องหน้าด้วยใบหน้าบึ้งตึง ทำให้หลี่หยางยอมปล่อยนางอย่างว่าง่าย เกรงว่านางจะเคืองจนไม่กลับไปตำหนักกับเขาแต่โดยง่าย “องค์ชายโปรดอภัย หม่อมฉันไม่คิดจะกลับไปตำหนักเผิงซี” หนิงอวี่กล่าวในสิ่งที่เขาไม่อยากจะฟัง “เหตุใดไม่กลับไป? ตอนนี้ข้าก็สามารถปกป้องเจ้าได้แล้ว เจ้าไม่ต้องกลัวสิ่งใดอีก” แววตาของหลี่หยางเต็มไปด้วยความดื้อรั้น “เหตุใดองค์ชายต้องปกป้องหม่อมฉันด้วย?” นางอยากรู้ว่าตนเองเป็นสิ่งใดในใจเขากัน “ข้า............” หลี่หยางนิ่งไปชั่วครู่ เขาไม่รู้จะให้คำตอบอย่างไรกับนางดี นางสำคัญอย่างไรในใจเขากันแน่ “ข้าเห็นเจ้าเป็นสหายของข้า” คำตอบของหลี่
หลี่หยางรู้สึกตัวขึ้นในยามเหม่า หนิงอวี่ยังคงหลับอยู่นางนั่งพิงอยู่กับเสาแท่นบรรทม โดยมีเขาหนุนตักของนางอยู่อย่างนั้น หลี่หยางจ้องมองใบหน้าขาวนวลนั้นอยู่นาน เขาอยากให้นางอยู่ข้าง ๆ เขาเช่นนี้ในทุกวันหลี่หยางช้อนร่างบางไว้ในอ้อมแขน ก่อนจะวางให้นางนอนบนแท่นบรรทมอย่างสบายตัว มือของเขาลูบไล้ใบหน้านางอยู่นาน สายตาที่จดจ่ออยู่กับริมฝีปากอิ่มสีทับทิมสุกนั้น ทำให้ความกระหายในกายของเขาเริ่มพลุ่งพล่าน จนหลี่หยางต้องรีบลุกออกจากเตียงในทันที “ถงอู่ให้องครักษ์เฝ้าห้องบรรทมไว้ ห้ามผู้ใดเข้าไปหากนางตื่นแล้ว ค่อยส่งนางกลับหออาลักษณ์” หลี่หยางไม่ต้องการให้ใครรบกวนการนอนของนาง หากเพียงผ่านวันนี้ไป หากเขาไม่สามารถรับกระบี่เทพได้ ตำแหน่งรัชทายาทก็ยังคงเป็นของเจี้ยนหยาง นั่นทำให้เขาไม่ใช่คู่แข่งอีกต่อไป หนิงอวี่ก็สามารถกลับมาอยู่ข้างกายเขาได้ หรือหากวันนี้เขารับกระบี่เทพได้ ก็จะไม่มีผู้ใดกล้าทำร้ายเขาอีก นั่นก็ทำให้นางอยู่ข้างกายเขาได้เช่นกัน เช่นนั้นแล้วขอเพียงผ่านวันนี้ไป เขาจะไม่ยอมปล่อยมือนางอีก................................พิธีบูชากระบี่เทพ เริ่มขึ้นตั้งแต่ยามเหม่าเหล่าขุนนาง
หนิงอวี่ยังคงทำหน้าที่เน่ยเหรินผู้ต่ำต้อยได้ดีเช่นทุกวัน พอนานวันเข้านางกำนัลคนอื่น ๆ ต่างเบื่อหน่ายที่จะกลั่นแกล้งนาง ด้วยนางไม่คิดตอบโต้ เป็นเหมือนแม่น้ำที่โยนสิ่งใดลงไปก็ได้แต่จมหาย การใช้ชีวิตในหอซักของหนิงอวี่จึงง่ายขึ้น “เน่ยเหรินหนิงอวี่ ฝ่าบาทเรียกพบที่ห้องทรงอักษร”ฝางกงกง ขันทีข้างกายฮ่องเต้ตามหานางด้วยท่าทีรีบร้อน หนิงอวี่ที่กำลังง่วนอยู่กับการซักอาภรณ์ของเหล่าราชวงศ์ เริ่มมีสีหน้ากังวล ‘เหตุใดจู่ ๆ ฮ่องเต้ถึงเรียกพบนางได้’ ถึงจะหวาดกลัว แต่หนิงอวี่ก็ยอมเดินตามฝางกงกงอย่างว่าง่าย “หม่อมฉันเว่ยหนิงอวี่ถวายพระพรฝ่าบาท” หนิงอวี่ ยอบกายถวายพระพรตามธรรมเนียม พลางสายตานางกลับมองเห็นองค์ชายเฟยหยางที่ยืนอยู่ข้างโต๊ะอักษร นางรู้ได้ทันทีว่าต้องเกี่ยวข้องกับบทความที่นางเขียนแน่ “เจ้าเป็นคนเขียนบทพรรณนาความงามให้องค์ชายเฟยหยางใช่หรือไม่” ฮ่องเต้ตรัสถามโดยไม่แสดงอาการใด ๆ “เพคะ” หนิงอวี่ไม่คิดปิดบัง ด้วยฮ่องเต้ต้องซักถามองค์ชายเฟยหยางอย่างแน่ชัดแล้ว “เจ้าไปเรียนรู้การกล่าวพรรณนาเ
ถงอู่ที่มองเห็นแววตาเจ็บปวดของหลี่หยาง เขาเองไม่เข้าใจความคิดของผู้เป็นนาย “องค์ชายจะไม่บอกความจริงกับนางหรือพ่ะย่ะค่ะ” “นางอยู่ห่างจากข้า จึงจะปลอดภัย” หลี่หยางยังคงมองไปยังจุดที่นางจากไป แม้บัดนี้จะมองไม่เห็นนางแล้วก็ตาม “เหตุใดองค์ชายถึงทำเช่นนั้น” ถงอู่ยังคงไม่เข้าใจหากห่วงใยทำไมไม่เก็บไว้ข้างกาย “การชิงตำแหน่งรัชทายาท ต้องมีผู้ไม่หวังดีก่อความวุ่นวายแน่ หากนางยังอยู่ข้างข้าคนเหล่านั้นต้องใช้นางเป็นเครื่องต่อรอง เช่นนั้นนางจะตกอยู่ในอันตราย โดยข้าเองไม่รู้ว่าคนเหล่านั้นมีกำลังมากเพียงใดจึงไม่กล้าดึงนางเข้ามาเสี่ยง” หลี่หยางที่แม้ไม่พอใจที่นางอยู่ใกล้ชิดกับไป๋มู่เฉิน แต่นั่นก็ใช่ว่าเขาจะโกรธจนขาดสติไม่รับฟังเหตุผลใด ๆ “เจ้าไปสืบมา เหตุการณ์ที่อุทยานเป็นฝีมือใคร” หลี่หยางเชื่อคำพูดของหนิงอวี่ตั้งแต่แรก หากแต่นั่นคือข้ออ้างที่ดีที่จะทำให้ผู้คนคิดว่าเขาทอดทิ้งนางแล้วจริง ๆ………………….หนิงอวี่กลับมายังหอซัก ภายใต้ความประหลาดใจของเน่ยเหรินที่อยู่ตรงนั้น หากแต่นางไม่สนสายตาของผู้ใด
ราชสำนักซู่หนานบัดนี้เกิดความโกลาหลไม่น้อย ด้วยเรื่องน่าอัศจรรย์ที่เกิดขึ้นในวันที่องค์ชายหลี่หยางดื่มยาถอนพิษหนิงเซี่ย ทำให้ฝนที่ไม่เคยตกลงผืนแผ่นดินแคว้นซู่หนานมานานถึงห้าปี กลับมาตกหนักอย่างไม่มีเค้าลางมาก่อน ขุนนางจึงแตกออกเป็นสองฝ่ายคือฝ่ายองค์รัชทายาท และฝ่ายที่ต้องการให้แต่งตั้งองค์ชายหลี่หยางขึ้นเป็นรัชทายาทแทน ด้วยเป็นองค์ชายองค์โตและเป็นผู้นำสายฝนคืนสู่แคว้นอีกครั้ง “เช่นนั้นในอีกหนึ่งเดือนข้างหน้า พิธีบูชากระบี่เทพหากองค์ชายหลี่หยางสามารถครองกระบี่เทพได้ ข้าจะยกตำแหน่งรัชทายาทให้กับเขา” ฮ่องเต้ฉินหนานประกาศกลางท้องพระโรง ทำให้เหล่าขุนนางหยุดโต้แย้งกันลงได้..........................ข่าวแต่งตั้งรัชทายาทใหม่แพร่ไปยังหมู่นางกำนัลอย่างรวดเร็ว หลายคนต่างคาดหวังว่าหลี่หยางจะสามารถครองกระบี่เทพได้ ราษฎรจะได้หลุดพ้นจากความทุกข์ยาก ด้วยบัดนี้แคว้นซู่หนานแห้งแล้ง ราษฎรอดอยาก หากไม่มีกระบี่เทพคอยปกป้องเกรงว่าแคว้นซู่หนานจะล่มสลายไปนานแล้ว ความกดดันนี้ส่งผลต่อสภาพจิตใจของหลี่หยางไม่น้อย ด้วยเขาเองไม่ได้คิดอยากจะเป็นรัชทายาท ไม่ได้อยากครองกระบี่เทพเขาเพียงอ