 LOGIN
LOGINเจียลี่ประคองคุณหนูของตนกลับไปยังห้อง โดยที่เสี่ยวเสี่ยวไม่มีปฏิกิริยาใดๆ เอาแต่เดินเหม่อลอยอยู่เช่นนั้น เมื่อพานางนั่งบนเก้าอี้แล้วเจียลี่ก็จะออกไปตามหมอ แต่เสี่ยวเสี่ยวกลับรั้งเธอไว้
“ฉันชื่ออะไร”
เสี่ยวเสี่ยวคิดถึงคำสาปแช่งของชาวเน็ตขึ้นมา เธอได้แต่ภาวนาอย่าให้เป็นอย่างที่ตนเองคิด
“เว่ยหนิงอวี่เจ้าค่ะ” เจียลี่ย้ำแต่ละคำชัดเจน ด้วยนางคิดว่าหนิงอวี่หัวฟาดพื้นจนสมองเลอะเลือนเสียแล้ว
สิ้นคำพูดของเจียลี่ ความหวังของนางก็พังทลายลง นี่เธอมาอยู่ในนิยายของตัวเองจริง ๆ หรือ
“เป็นไปไม่ได้ ดินแดนนี้ไม่มีจริงนี่ ฉันแค่สมมติขึ้น”
เสี่ยวเสี่ยวในร่างเดิมแต่ชื่อที่ผู้คนรู้จักกลับเป็นเว่ยหนิงอวี่ พึมพำกับตนเอง
..................เจียลี่นำหมอมาตรวจ และจัดเทียบยาให้เรียบร้อยนานแล้ว แต่หนิงอวี่ยังคงนั่งเหม่อลอยอยู่อย่างนั้น หนิงอวี่ใช้ความคิด คิดหาทางออกจากเรื่องบ้าๆ นี้ หล่อนคิดเองเออเองว่าหากนิยายนี้จบลง เธอก็จะตื่นจากฝัน
‘ถ้าตอนนี้นางอยู่ในเทียนกั๋วดังนิยายจริง คือเว่ยหนิงอวี่จริง งั้นนางก็ต้องตายเพราะถูกสังหารน่ะสิ’ ความคิดของนางเริ่มฟุ้งซ่าน
“ไม่ได้ ๆ ฉันจะต้องไม่คิด คิดสิ คิดเสี่ยวเสี่ยว” หนิงอวี่พูดกับตัวเอง พลางเอามือสองข้างขยี้ผมตัวเองจนยุ่งเหยิงด้วยว่านางคิดแผนยังไม่ออก เจียลี่เห็นนางเป็นเช่นนั้นก็ตกใจรีบเข้ามาหยุดรั้งมือทั้งสองข้างของนาง
“คุณหนูหยุดนะเจ้าคะ อย่าทำเช่นนี้ คุณหนูมักจะแต่งกายให้สวยงามอยู่เสมอ ทำไมตอนนี้ทำเช่นนี้เล่า” เจียลี่พูดพลางอยากร้องไห้ นางกลัวว่าหนิงอวี่จะไม่กลับฟื้นคืนสติ
“ฉันไม่ใช่คุณหนูของเธอนะ ฉันชื่อฉู่ เสี่ยว เสี่ยว”
เสี่ยวเสี่ยวพยายามย้ำทีละคำ ให้เจียลี่ฟัง
“จะฉู่เสี่ยว ฉู่ไช่ อะไรกัน คุณหนูชื่อ เว่ย หนิง อวี่ เจ้าค่ะ จำชื่อตัวเองให้ได้สิเจ้าคะ” เจียลี่พูดพลางสะอื้นไห้
เสี่ยวเสี่ยวได้แต่ถอนหายใจ คร้านที่จะอธิบายให้เจียลี่ฟังแล้ว
“ได้! เว่ยหนิงอวี่ ก็เว่ยหนิงอวี่”
เหตุการณ์ภายในห้องยังไม่สงบดี คนรับใช้ในเรือนก็วิ่งมาแจ้งข่าว
“นายหญิงคุณชายจ้าวคุกเข่าจนหมดสติไปแล้วเจ้าค่ะ”
“คุณชายจ้าว? ใครกันคือคุณชาย.......” นางยังถามเจียลี่ไม่ทันจบ สมองของนางก็ประมวลผลอย่างไวดวงตาของนางโตเท่าไข่ห่านอีกครั้ง
“อย่าบอกนะว่าคือ จ้าวหลี่หยาง น่ะ!” นางตะโกนเสียงดังถามเจียลี่
เจียลี่ได้แต่สงสัยว่าคุณหนูของนางจะตกใจทำไม แต่ก็ยังพยักหน้ารับ
เมื่อรู้คำตอบหัวใจของหนิงอวี่ก็ตกไปอยู่ตาตุ่ม นางรีบวิ่งออกจากห้องทันที แต่เมื่อคิดได้ว่าตัวเองไม่รู้ว่าเขาอยู่ที่ใด ก็ต้องหยุดชะงักฝีเท้าลง
“นำข้าไปสิ!” หนิงอวี่กวักมือเรียกสาวใช้ที่มารายงานอย่างรีบร้อน
เมื่อไปถึงลานหน้าเรือนคนใช้ ที่อยู่ด้านหลังของหอบุปผา นางก็พบร่างกายผอมแห้งของบุรุษผู้หนึ่งที่นอนกองอยู่กับพื้นที่เปียกชื้นของฝนที่เพิ่งหยุดตกไปได้ไม่นาน
“งานนี้ตายแน่! งานนี้ตายแน่! เร็วรีบช่วยคนสิ”
หนิงอวี่รีบวิ่งเข้าไปดูอาการจ้าวหลี่หยาง พลางเรียกบ่าวที่กวาดลานอยู่แถวนั้นให้มาช่วยพยุงเขาขึ้น
เมื่อใบหน้าของจ้าวหลี่หยางที่บัดนี้ยังคงไม่ได้สติปรากฏต่อสายตาของนางอย่างชัดเจน หนิงอวี่ก็ต้องตกตะลึงในความหล่อเหลาของเขา ใบหน้าขาว คิ้วหนา ขนตาที่งอนเป็นแพรเหมือนสตรี ไหนจะริมฝีปากได้รูปนั่นอีก ถึงแม้ตอนนี้เขาจะดูอ่อนแอ แต่ก็ยังรูปงามเหนือบุรุษใด ๆ ถึงนางจะเป็นคนเขียนเขาขึ้นมาแต่ก็ไม่คิดว่าเขาจะรูปงามได้ขนาดนี้
“คุณหนู จะให้ทำอย่างไรกับเขาขอรับ” คำถามของคนรับใช้ ทำให้นางได้สติกลับมาอีกครั้ง
“พาไปที่ห้องข้าก่อน” หนิงอวี่พูดพลางชี้นิ้วไปยังห้องนอนตน
“คุณหนู จะดีหรือเจ้าคะ” เจียลี่กล่าวทัดทาน ด้วยว่าจะดูไม่เหมาะสม
“ดีสิ มีอะไรไม่ดีกันเล่า เจ้าไปตามหมอ”
ตอนนี้นางไม่มีเวลามาคิดหรอกว่าอะไรเหมาะสมหรือไม่เหมาะสม สิ่งเดียวที่นางคิดคือต้องเอาชีวิตรอดจากการถูกชายผู้นี้สังหารให้ได้
บ่าวในเรือนช่วยกันวางหลี่หยางลงบนเตียงของนาง ตอนนี้เสื้อผ้าของเขายังคงเปียกโชกจากการตากฝนมาทั้งคืน
“คุณหนูท่านหมอมาแล้วเจ้าค่ะ” เจียลี่รายงาน
“ท่านหมอเร็วเถิด ช่วยดูให้ข้าหน่อยเขาตายหรือยัง”
หนิงอวี่ไม่พูดเปล่า แต่กลับเดินไปจูงมือหมอมายังเตียงที่
หลี่หยางนอนอยู่ ทำเอาท่านหมอตกใจกับการกระทำของนาง เขารู้ว่านายหญิงหอบุปผาชอบถึงเนื้อถึงตัวผู้ชาย แต่ชายชราอย่างเขานางก็ไม่เว้นหรือ
ไม่ต่างจากเจียลี่ที่ได้แต่อ้าปากค้างกับการกระทำของคุณหนูของตน
“เร็ว รีบตรวจเถอะ เขาเป็นอย่างไรบ้าง” หนิงอวี่ไม่ได้สนสายตาของหมอและเจียลี่ ตอนนี้นางร้อนใจเรื่องของจ้าวหลี่หยางมากกว่า
“ไข้สูง แล้วก็อ่อนเพลีย เพราะขาดอาหารน่ะ เดี๋ยวข้าจัดเทียบยาให้ สองสามวันก็จะดีขึ้น” พูดจบท่านหมอก็หันไปเขียนเทียบยามอบให้เจียลี่ ก่อนจะขอตัวกลับไป
“จะทำอย่างไรกับคุณชายจ้าวดีเจ้าคะ”
“ถอดชุดเขา” หนิงอวี่จ้องมองหลี่หยางไม่วางตา พูดด้วยน้ำเสียงที่มั่นคง
“หา! นี่ คุณหนูจะทำอะไรหรือเจ้าคะ” เจียลี่ไม่คิดว่าคุณหนูจะใจกล้าขนาดนี้
หนิงอวี่ที่เห็นท่าทางตกใจของนางก็รีบอธิบายในทันที
“ข้าหมายถึงให้บ่าวผู้ชายในเรือนมาเปลี่ยนเสื้อผ้าให้เขา ดูนั่นชุดเปียกแบบนี้จะหายไข้ได้อย่างไร”
หนิงอวี่ชี้ไปยังชุดที่ยังคงมีน้ำหยดลงบนพื้นให้เจียลี่ดู
...........เมื่อจ้าวหลี่หยางได้ดื่มยาไปหลายชั่วยาม ไข้ก็เริ่มลดลงเขากลับมาได้สติอีกครั้ง เขามองดูรอบ ๆ ห้องที่ดูไม่คุ้นเคย ไหนจะชุดที่สวมก็ไม่ใช่ชุดเดิมของตนอีก
“ฟื้นแล้วหรือ”
เสียงของหนิงอวี่ขัดจังหวะการคิดทบทวนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นของหลี่หยาง
“เจ้าสิ้นสติ เพราะมีไข้สูงน่ะ”
หนิงอวี่ที่พึ่งไปเอาน้ำเช็ดตัวมาเปลี่ยน ยังพูดเจื้อยแจ้วไม่ได้สนสายตาที่มองมา นางรู้แค่ว่าต้องทำดีกับเขาไว้ตนเองจึงจะมีชีวิตรอด
“ไหน ข้าขอดูหน่อย ไข้ลดลงหรือยัง”
หนิงอวี่เดินมายังข้างเตียงหวังจะใช้มืออังหน้าผากเพื่อวัดไข้ให้เขา แต่กลับโดนมือใหญ่ปัดมือนางอย่างแรง
“เจ้าคิดจะทำอะไร?” จ้าวหลี่หยางพูดพลางจะลงจากเตียง
“นี่เจ้าจะไปไหน” หนิงอวี่พยายามรั้งเขาไว้
“ข้าก็จะไปหาเงิน หนึ่งตำลึงมาให้เจ้าไง” หลี่หยางตอบด้วยน้ำเสียงเย็นชา แต่เดินได้ไม่กี่ก้าวเขาก็เริ่มหน้ามืดอีกครั้ง ด้วยร่างกายที่ไม่ได้รับอาหารมาหลายวัน หนิงอวี่รีบมาช่วยประคองทันที
“นั่นไง ข้าบอกแล้ว เจ้ามีไข้สูง ยังไม่หายดี นั่งที่เก้าอี้นี่ก่อน” หนิงอวี่พาหลี่หยางนั่งลงบนเก้าอี้ โดยมีเขาขัดขืนการช่วยเหลือของนางอยู่ตลอด
“เมื่อฟื้นแล้ว ก็กินข้าวก่อนเถอะ อย่างอื่นค่อยว่ากัน”
“ข้าไม่หิว!”
หลี่หยางปฏิเสธเสียงแข็ง แต่ท้องกลับร้องขึ้นเสียงดัง จนหนิงอวี่หลุดขำออกมาก่อนจะถูกมองด้วยสายตาอาฆาตนางจึงได้เงียบปากไป
เมื่อเจียลี่นำอาหารเข้ามาวางเต็มโต๊ะแล้ว แต่เขายังไม่ยอมแตะต้อง หนิงอวี่จึงคิดว่าเขาน่าจะอายหากต้องกินของผู้อื่นต่อหน้านาง
“ข้าจะออกไปจัดการธุระ เจ้าก็กินไปก่อนเถอะ แล้วค่อยมาเจรจากัน” หนิงอวี่กล่าวเสร็จก็พาเจียลี่ออกจากห้องไป

หน้าตำหนักหนิงอันบัดนี้เต็มไปด้วยความวุ่นวาย เหล่านางกำนัลวิ่งวุ่นแทบจะชนกันล้ม หลี่หยางที่ถูกขวางไว้นอกตำหนัก ใบหน้าเต็มไปด้วยความวิตกกังวล “ฝางกงกงเหตุใดข้าจะเข้าไปในตำหนักไม่ได้” หลี่หยางที่จ้องมองเข้าไปในตำหนัก พลางกล่าวถามกับขันทีข้างกาย “ทูลฝ่าบาท ฮองเฮากำลังจะคลอดตามประเพณีห้ามบุรุษเข้าไปนะพ่ะย่ะค่ะ” “แต่ว่า.......” หลี่หยางยังอยากโต้แย้งต่อ “ไม่มีแต่ใด ๆ ทั้งนั้น ถึงเจ้าเข้าไปก็ช่วยสิ่งใดไม่ได้” ไทเฮาที่ไม่รู้เสด็จมาตั้งแต่เมื่อไหร่กล่าวห้ามฝ่าบาทด้วยท่าทีจริงจัง ทำให้หลี่หยางไม่กล้าเอ่ยโต้แย้งอีก “คลอดแล้ว! คลอดแล้วเพคะ เป็นองค์ชายเพคะ” เสียงของเจียลี่ดังออกมาจากตำหนัก ก่อนที่ร่างนางจะโผล่ออกมารายงานข้างนอกเสียอีก หลี่หยางตื่นเต้นดีใจจนมือไม้สั่น ใบหน้าบัดนี้ของเขาเปื้อนไปด้วยรอยยิ้ม รีบรับตัวโอรสของตนที่ถูกห่อด้วยผ้าคลุมลายมังกรจากเจียลี่ พลันทารกน้อยก็เปล่งเสียงร้องเป็นครั้งแรก เสียงร้องนั้นก้องกังวาน หนักแน่นและมีพลังอย่างน่าประหลาด
หนิงอวี่ที่หลับใหลกลับได้ยินเสียงที่คุ้นชินเรียกนางอีกครั้ง กลับมา กลับมา เสียงเบาของสตรีผู้นี้ทำให้นางต้องปรือตาขึ้นมาอีกครั้ง หากแต่ครั้งนี้สิ่งแวดล้อมรอบตัวของนางกลับเปลี่ยนไป แสงสว่างจากหลอดไฟบนห้องสีขาวสะอาด ผู้คนในชุดสีเขียวเข้มกำลังใช้เครื่อง มือแพทย์หลายชิ้นยื้อชีวิตของใครบางคนบนเตียงผ่าตัดอย่างเคร่งเครียด ทำให้หนิงอวี่ตกใจกับสถานที่แห่งนี้ เหตุใดนางถึงอยู่ในยุคปัจจุบันกัน แล้วเหตุใดถึงโผล่มาอยู่ในโรงพยาบาลเช่นนี้ “ฉู่เสี่ยวเสี่ยว” เสียงที่คุ้นชินเรียกชื่อนางจากด้านหลัง หนิงอวี่รีบหันไปหาเสียงนั้นในทันที เมื่อสายตาประสานกับดวงตาที่คุ้นเคยร่างบางก็แข็งทื่อในทันที “นี่ท่าน!” หนิงอวี่ไม่รู้จะกล่าวสิ่งใดก่อน สตรีเบื้องหน้าภายใต้อาภรณ์สีขาวทั้งตัวยืนยิ้มให้กับนาง ใบหน้าของสตรีผู้นั้นเหมือนกับใบหน้าของนางทุกประการ “ฉู่เสี่ยวเสี่ยวข้าคือเจ้า แลเจ้าคือข้า หากแต่เราสองอยู่กันคนละภพชาติเท่านั้น” “ท่านคือ..” หนิงอวี่ย้ำถามสิ่งที่ตนสงสัย “ข้าคือภูตสวร
แม้การรอดพ้นจากความตายของหนิงอวี่จะเป็นความปรารถนาเดียวของหลี่หยาง แต่การสูญเสียกระบี่เทพก็ทำให้ราชสำนักเกิดข้อพิพาทอีกครั้ง ขุนนางฝ่ายเสนาบดีสุ่ยไม่พอใจกับการสูญเสียนี้ “บัดนี้สูญเสียกระบี่เทพแล้ว หากแคว้นอื่นมารุกรานจะทำเช่นไรพ่ะย่ะค่ะ” เสนาบดีสุ่ยทูลถามอย่างไม่เกรงกลัว “ก็นำทหารออกสู้รบอย่างไรเล่า” แม่ทัพหู่โต้แย้งแทนฮ่องเต้ “กระหม่อมมิเห็นด้วยที่ฝ่าบาทนำกระบี่เทพแลกกับการคืนชีพฮองเฮา ถึงอย่างไรพระองค์ควรเห็นราษฎรมาก่อน” รองเจ้ากรมโยธาเสี่ยงตายทูลทัดทาน “เช่นนั้นรองเจ้ากรมโยธาเห็นผู้ใดเหมาะสมที่จะเป็นฮ่องเต้กว่าเราก็เสนอมาเถิด ข้าไม่มีวันนำชายาของตนแลกกับสิ่งใดทั้งสิ้น”หลี่หยางกล่าวอย่างไม่ถือโทษ แต่น้ำเสียงนั้นกลับหนักแน่นจนใต้เท้าฉีไม่กล้ากล่าวต่อ “ข้าจะปกป้องแคว้นด้วยกำลังที่ข้ามี หาใช่อาวุธเทพที่ต้องแลกด้วยชีวิตฮองเฮาหรือผู้ใด หากใต้เท้าฉีคิดว่าข้าไม่เหมาะสมโปรดเสนอฮ่องเต้พระองค์อื่น” สายตาเยือกเย็นมองไปยังรองเจ้ากรมโยธา ฉีเหิงรองเจ้ากรมโยธาเมื่อเห็นฝ่าบาททรงกริ้วก็หัน
หลี่หยางมุ่งตรงไปที่หอกระบี่ หากไม่มีผู้ใดให้คำตอบกับเขาได้ก็มีเพียงหอกระบี่นี้เท่านั้นที่จะให้คำตอบได้ ชั้นบนสุดของหอกระบี่ยังคงเหมือนเช่นเดิมทุกครั้ง กระบี่เทพที่ล่องลอยบนบัลลังก์น้ำแข็ง โดยมีลูกแก้วดวงจิตสถิตอยู่กลางห้องหลี่หยางเรียกกระบี่มาหาตนพลางชี้ไปยังดวงจิตเทพที่ล่องลอยอยู่ “จงให้คำตอบข้า เหตุให้ฮองเฮาของข้าจึงเป็นเช่นนั้น” สายตาเยือกเย็นหมายจะทำลายดวงจิตนั้นให้สิ้น หากไม่ให้คำตอบที่เขาต้องการ “จ้าวหลี่หยางคำตอบนั้นข้าย่อมให้เจ้าได้ การปลอบประโลมดวงจิตเทพต้องใช้ไอเซียนของภูตสวรรค์ เว่ยหนิงอวี่เป็นเพียงมนุษย์ที่มีไอเซียนของภูตสวรรค์เท่านั้น เมื่อร่างดูดซับพลังฝั่งมารมากเกินไปจะต้องขจัดพลังนั้นออก แต่เว่ยหนิงอวี่เป็นเพียงมนุษย์ธรรมดา ย่อมไม่สามารถมีพลังเช่นนั้นได้ ร่างกายและจิตวิญญาณนางจึงค่อย ๆ ดับสลาย” กลางอกของหลี่หยางเบาโหวงเมื่อได้ยินสิ่งที่ดวงจิตเทพบอก เขาเจ็บปวดจนแทบทนไม่ได้ มือที่กำกระบี่แน่นเริ่มสั่นไหว “แล้วเหตุใดก่อนหน้าเจ้าจึงไม่บอกข้า” ความเคียดแค้นเข้าเกาะกุมหัวใจที่แตกสลายนั้น
หลี่หยางยังคงเฝ้ามองการบำเพ็ญของหนิงอวี่เพื่อปลอบประโลมกระบี่เทพ ครั้งนี้นางใช้เวลาหลายชั่วยามกว่าจะทำให้ดวงจิตกระบี่เทพสงบลงได้ เหงื่อที่ผุดขึ้นตามไรผมบ่งบอกว่าเจ้าตัวเหน็ดเหนื่อยไม่น้อย “หนิงอวี่ เป็นอย่างไรบ้างเหนื่อยมากใช่หรือไม่” เมื่อหนิงอวี่ลืมตาขึ้น หลี่หยางก็รีบเข้าไปประคองในทันที “หม่อมฉันทนไหวเพคะ” นางยังคงยิ้มกว้างให้เขา แม้ใบหน้าตอนนี้ดูซีดเซียวเพียงใดก็ตาม “เช่นนั้นพักผ่อนก่อนเถิด พรุ่งนี้ค่อยเดินทางกลับวัง” “อือ” นางพยักหน้าเชื่อฟังร่างบางถูกช้อนขึ้นวางไว้บนเตียงนอน เพียงไม่นานหนิงอวี่ก็เข้าสู่นิทราอย่างรวดเร็ว จนทำให้หลี่หยางประหลาดใจว่าเหตุใดถึงหลับได้ง่ายดายเช่นนี้ ตลอดเส้นทางในการเดินทัพกลับเมืองหลวง หนิงอวี่เอาแต่หลับเป็นส่วนใหญ่ ทำให้หลี่หยางที่นั่งอยู่ด้านข้างหวาดกลัวภายในใจโดยที่เจ้าตัวไม่สามารถหาเหตุผลได้ ทำได้เพียงเป็นหมอนให้นางหนุนตลอดทาง “หนิงอวี่ถึงวังแล้ว เจ้าตื่นเถิด” เสียงทุ้มต่ำเจือไปด้วยความห่วงใยปลุกนางให้ตื่นจากนิทรา หนิงอวี่ปรือตา
ภายในห้องลับหนิงอวี่ยังคงนั่งบำเพ็ญโดยมีกระบี่เทพลอยอยู่เบื้องหน้าของนาง ด้านหลังมีหลี่หยางคอยเฝ้ามองอยู่ไม่ห่าง ไม่รู้ด้วยเหตุใดทุกครั้งที่นางต้องปลอบประโลมดวงจิตกระบี่เทพ ตัวเขาเองกลับรู้สึกไม่สบายใจทุกครั้งภายในใจกลับหวาดกลัวอย่างน่าประหลาด ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ บัดนี้หนิงอวี่รู้สึกว่ากระบี่ไม่ได้ร้อนดั่งไฟเผาเช่นก่อนหน้า หากแต่นางกลับรู้สึกเหนื่อยกว่าครั้งแรกที่ปลอบประโลมดวงจิตกระบี่มาก อาจเป็นเพราะการเร่งเดินทางมายังเทียนเถาทำให้ร่างกายเหนื่อยล้า “หนิงอวี่ เป็นอย่างไรบ้าง” หลี่หยางที่สัมผัสได้ถึงดวงจิตที่สงบของกระบี่รีบเข้ามาประคองชายาของตน “ไม่เป็นไรเพคะ เพียงแค่ครั้งนี้หม่อมฉันรู้สึกว่าใช้เวลานานขึ้นกว่าจะทำให้ดวงจิตกระบี่สงบลงได้” “ครั้งต่อไปข้าไม่ใช้กระบี่เทพแล้วดีหรือไม่” สายตาเป็นห่วงส่งมายังนาง “ได้อย่างไรกัน ศึกครั้งนี้หากไม่อัญเชิญกระบี่เทพด้วยกำลังพลที่น้อยกว่าถึงสามเท่า ทหารจะต้องล้มตายนับไม่ถ้วนแน่” หนิงอวี่มองไปยังหลี่หยางด้วยสายตาไม่เห็นด้วย “แต่ข้








