Masukภายใน บึงดำ ที่ปั่นป่วนไปด้วยพลังมาร อวิ๋นเทียนหาน กอดร่างที่ไร้สติและอ่อนล้าของ หลิงซินเอ๋อร์ ไว้แน่นความทรงจำทั้งหมดที่หายไปได้ไหลกลับเข้ามาในจิตวิญญาณของเขาอย่างรุนแรง ทั้งความรักและความแค้นต่อสวรรค์ การเสียสละของ ไป๋หานอี้ และการตายของ เฮยหลง ทั้งหมดนี้ถูกประทับไว้ในใจของเขาอย่างไม่มีวันลืมอวิ๋นเทียนหาน ใช้ พลังมารที่ฟื้นคืน อย่างสมบูรณ์ของเขา สร้างร่างจริงของตนเองขึ้นมา พลังมารสีม่วงเข้มปกคลุมไปทั่วร่างวิญญาณ ก่อนจะควบรวมกลายเป็น ร่างปีศาจ ที่แข็งแกร่งและสมบูรณ์แบบที่สุดร่างของเขาสวมอาภรณ์สีดำที่ทอจากพลังมาร อวิ๋นเทียนหาน ในตอนนี้คือ โอรสปีศาจที่ฟื้นคืนชีพ อย่างแท้จริงทว่า การฟื้นคืนในครั้งนี้ต้องแลกด้วยการสละครั้งสำคัญ อวิ๋นเทียนหาน มองไปยังร่างที่หลับใหลของหลิงซินเอ๋อร์ เขาตระหนักว่าเขาไม่สามารถแสดงความอ่อนแอได้อีกต่อไป เขาต้องเข้มแข็งเพื่อปกป้องความเสียสละของนาง‘ข้าจะใช้ความแค้นนำทาง เพื่อไม่ให้ใครกล้าแตะต้องนางได้อีก!’เขายอม สละความอ่อนโยน และ ความรู้สึกที่เปราะบาง ของปีศาจในตัวตนของเข
หลิงซินเอ๋อร์ ยืนอยู่ต่อหน้า อวิ๋นเทียนหาน ในร่างวิญญาณที่ถูกตรึงด้วยโซ่ตรวนสีดำภายใน บึงดำ นางใช้พลังทั้งหมดที่เหลืออยู่ของตนเอง ซึ่งตอนนี้เป็นพลังที่สมดุลอย่างไม่สมบูรณ์ พยายามที่จะ ปลุกความทรงจำ ที่ถูกทำลายไปของเขา“อวิ๋นเทียนหาน! จำข้าได้ไหม? จำสัญญานใต้เงาจันทร์ได้ไหม? จำไป๋หานอี้และเม่ยหลานได้ไหม? จำทุกสิ่งที่พวกเขาสละให้เราได้ไหม!”นางรวบรวม พลังแห่งความรัก และ ความทรงจำ ที่เขาสละให้เธอ เพื่อย้อนกลับไปสู่จิตวิญญาณที่ว่างเปล่าของเขาแต่ทุกครั้งที่ ซินเอ๋อร์พยายามแตะต้องเขา เพื่อส่งพลังแห่งความทรงจำเข้าไป พลังมืดแห่งบึงดำ ก็จะ ผลักออก นางอย่างรุนแรงพลังมืดเหล่านั้นไม่ใช่แค่พลังมาร แต่เป็น การปฏิเสธความรู้สึก และ ความผูกพัน ที่มารานตี้ฮ่องเต้ได้ฝังไว้เพื่อสร้างโอรสปีศาจที่ไร้หัวใจร่างของ หลิงซินเอ๋อร์ ถูกพลังมืดกัดกินอย่างช้าๆ ผิวหนังที่เคยเปล่งปลั่งด้วยแสงจันทร์เริ่มซีดเซียวลง พลังเซียนที่เคยเป็นครึ่งหนึ่งของตัวตนกำลังถูกบดขยี้อย่างรุนแรงอวิ๋นเทียนหาน ในร่างวิญญาณมองนางด้วยสายตาที่ว่างเปล่าแ
หลังจาก หลิงซินเอ๋อร์ ตัดสินใจที่จะสละความเป็นเซียนเพื่อไปช่วย อวิ๋นเทียนหาน ในแดนปีศาจ นางก็ออกเดินทางทันทีนางนำทางโดย เฮยหลง แม่ทัพมังกรดำผู้ภักดี และมี ซูเม่ยหลาน สหายที่บัดนี้กลายเป็นผู้ทรยศสวรรค์โดยสมบูรณ์ เดินทางเคียงข้าง ส่วน ดวงจิตสุดท้ายของไป๋หานอี้ ก็ติดตามนางไปอย่างเงียบๆ เป็นดวงวิญญาณผู้พิทักษ์ที่ไม่มีใครมองเห็น (ยกเว้นหลิงซินเอ๋อร์ในบางครั้งที่พลังมารปะทุ)การเดินทางสู่แดนปีศาจครั้งนี้แตกต่างจากครั้งก่อน หลิงซินเอ๋อร์ ไม่ได้ปกปิดพลังอีกต่อไป ร่างกายของนางแผ่พลังที่ผสมผสานระหว่าง แสงจันทร์ และ เงามืด ทุกย่างก้าวคือการยอมรับ สายเลือดมาร ที่ไหลเวียนอยู่ในกายในที่สุด พวกเขาก็มาถึง ดินแดนบึงดำ ซึ่งเป็นหุบเหวลึกที่รายล้อมด้วยพลังปีศาจอันบริสุทธิ์ของแดนปีศาจ เป็นสถานที่ที่ มารานตี้ฮ่องเต้ ใช้ผนึกพลังของ อวิ๋นเทียนหานไว้เฮยหลง ยืนอยู่ที่ ปากบึงดำ ร่างกายของเขายังคงมีบาดแผลจากการต่อสู้บนสะพานฟ้า แต่ดวงตาของเขามุ่งมั่น“องค์หญิง” เฮยหลงกล่าวด้วยความเคารพ “ภายในบึงดำคือ มิติปีศาจ ที่ปั่นป่วนด้ว
หลังจากที่ หลิงซินเอ๋อร์ ได้รับรู้ความจริงจาก ซูเม่ยหลาน ว่า อวิ๋นเทียนหาน กำลังคืนชีพผ่านร่างของนาง นางก็เริ่มรู้สึกถึงการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในตนเองพลังเซียนและพลังปีศาจในร่างของนางเข้าสู่ สมดุลที่สมบูรณ์ แต่ความสมดุลนี้มีความอ่อนไหวอย่างยิ่ง ทุกครั้งที่จันทร์เต็มดวง ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่พลังจันทราสูงสุด เงาแห่งพลังมืด ก็จะปรากฏขึ้นในร่างหลิงซินเอ๋อร์ในคืนจันทร์เต็มดวง นางจะกลายเป็น ร่างครึ่งเทพครึ่งปีศาจ อย่างแท้จริง: ดวงตาข้างหนึ่งส่องประกายด้วยแสงจันทร์สีเงินบริสุทธิ์ ขณะที่อีกข้างหนึ่งส่องประกายด้วยสีม่วงเข้มของพลังมารที่กำลังรวมตัวซูเม่ยหลาน พยายามใช้พิณหยกโบราณควบคุมพลังให้นาง แต่ก็ทำได้เพียงเล็กน้อย นางรู้ว่าพลังในร่างหลิงซินเอ๋อร์นั้นยิ่งใหญ่เกินกว่าที่เซียนใดจะควบคุมในคืนที่พลังมืดของหลิงซินเอ๋อร์รุนแรงที่สุด ดวงจิตสุดท้ายที่ยังไม่สลายไปของไป๋หานอี้ ก็ปรากฏขึ้นเบื้องหน้านาง ดวงจิตของเขายังคงผูกพันอยู่กับหุบเขานี้ด้วยความรักที่ยิ่งใหญ่หลิงซินเอ๋อร์เห็นภาพของเขา—ร่างที่ส่องแสงวิบวับและอ่อนแรง ไป๋ห
หลังจาก อวิ๋นเทียนหาน สละชีวิตและพลังทั้งหมดเพื่อทำลายพันธะเลือด หลิงซินเอ๋อร์ ก็ยังคงอาศัยอยู่ในหมู่บ้านเล็กๆ ท่ามกลางหุบเขา นางไม่ได้พยายามกลับสวรรค์ หรือหนีไปยังแดนปีศาจ นางเพียงแค่รอคอยร่างกายของนางกลับมามีพลังที่ สมดุล ระหว่างเซียนและปีศาจอย่างสมบูรณ์ตามที่อวิ๋นเทียนหานต้องการ แต่หัวใจของนางเต็มไปด้วย รอยพรากแห่งคำสัตย์ ที่เขาได้ทิ้งไว้ทุกคืนที่ดวงจันทร์ยังคงส่องแสงจากฟากฟ้าที่แตกร้าว หลิงซินเอ๋อร์ยังคงรออวิ๋นเทียนหานที่จากไปนางจะนั่งอยู่ใต้ต้นเหมยสีขาวที่เคยเป็นที่ที่เขาหายตัวไป นางรู้สึกถึง ความว่างเปล่า ที่ไม่สามารถเติมเต็มได้ทว่า เสียงจากจันทรา ก็เริ่มปรากฏขึ้น หลิงซินเอ๋อร์เริ่มฝันถึงเสียงของเขาในทุกคืน เสียงที่เรียกชื่อเธอแผ่วเบาใต้แสงจันทร์ มันไม่ใช่เสียงที่อยู่ในความทรงจำ แต่มันเป็นเสียงที่คุ้นเคยอย่างลึกซึ้งที่มาจากส่วนลึกของจิตวิญญาณ“ซินเอ๋อร์… ซินเอ๋อร์…”เสียงนั้นทำให้ความหวังเล็กๆ ก่อตัวขึ้นในใจนาง นางเชื่ออย่างสนิทใจว่า อวิ๋นเทียนหาน ไม่ได้จากไปไหนไกล และเขากำลังรอคอยนางอยู่ ณ
หลังจากที่หลบหนีจากวังสวรรค์ด้วยความช่วยเหลือของ ไป๋หานอี้ (ในร่างดวงจิต) หลิงซินเอ๋อร์ และ อวิ๋นเทียนหาน ก็เดินทางมายังโลกมนุษย์ ร่างกายของทั้งคู่บาดเจ็บสาหัส แต่ความปลอดภัยบนโลกมนุษย์ทำให้พวกเขาได้พักรักษาตัว พวกเขาเลือกอาศัยอยู่ใน หมู่บ้านเล็กๆ ท่ามกลางหุบเขา ที่เงียบสงบและห่างไกลจากผู้คน หมู่บ้านแห่งนี้มีต้น เหมยสีขาว ที่เก่าแก่ยืนต้นอยู่กลางลานบ้าน เป็นสัญลักษณ์ของความบริสุทธิ์ที่ยังคงหลงเหลืออยู่ นี่คือช่วงเวลาเดียวที่ทั้งคู่ได้ใช้ชีวิตอย่างคนธรรมดา อวิ๋นเทียนหานไม่ได้สวมเกราะปีศาจ แต่สวมชุดผ้าฝ้ายสีดำเรียบง่าย หลิงซินเอ๋อร์ไม่ได้สวมชุดเซียน แต่สวมชุดเรียบง่ายของชาวบ้าน พวกเขาได้ใช้ชีวิตอย่างที่เคยฝันถึง: มีเพียงกันและกัน ไม่มีกฎสวรรค์ ไม่มีสงคราม แต่เบื้องหลังความสงบนั้น ความจริงที่โหดร้าย ยังคงกัดกินพวกเขาอยู่ พันธะเลือดแห่งหอจันทรา ได้ช่วยชีวิต หลิงซินเอ๋อร์ ไว้ แต่ก็เป็นคำสาปไปในตัว พันธะนี้ยังคงดูดพลังของทั้งคู่เรื่อยๆ เพื่อรักษาสมดุลของสายเลือดลูกครึ่ง






![เฟิ่งหวง [鳳凰]](https://acfs1.goodnovel.com/dist/src/assets/images/book/43949cad-default_cover.png)
