เทศกาลชมบุปผา ณ วังต้าเฉิน เสียงขลุ่ยอู่อวลดั่งลมวสันต์พัดผ่านยอดไม้ ขับกล่อมควบคู่กับพิณเจ็ดสายที่บรรเลงอยู่เหนือศาลากลางสวน กลีบดอกเหมยปรายปลิวตามสายลมบางเบาราวหิมะโปรย ล้อแสงตะวันอ่อนยามสาย ดอกบ๊วย และดอกท้อก็ไม่น้อยหน้าเบ่งบานราวแข่งกันอวดโฉมทั่ววังต้าเฉิน ลานชมบุปผาในสวนหลวง ถูกประดับประดาด้วยม่านแพรบางสีมรกตประดับอัญมณี ราวถูกเนรมิตให้เป็นแดนสวรรค์บนพื้นพิภพที่งดงามตระการตา เหล่าขุนนางชั้นผู้ใหญ่และเชื้อพระวงศ์ทยอยเข้าสู่ลานงานพร้อมภริยาและบุตรหลาน สตรีจากตระกูลใหญ่ต่างแต่งองค์ด้วยผ้าแพรไหมพริ้วพราย เครื่องประดับหยก หยกขาวหยกเขียวส่องประกายระยิบ ภายใต้รอยยิ้มแย้มล้วนแฝงสายตาวัดใจประเมินกันอย่างไม่เปิดเผย เสียงฮือฮาเบา ๆ ดังขึ้น เมื่อครอบครัวเสนาบดีหลี่ปรากฏกายด้วยอาภรณ์หรูหรา เสนาบดีหลี่ในชุดขุนนางครามเข้มขลิบทอง ยืนตระหง่านดั่งผู้ควบโชควาสนาแห่งราชสำนัก ฮูหยินหลี่เคียงข้างในผ้าไหมสีชมพูปักลายเมฆมงคล ขับใบหน้าเยือกเย็นให้ดูเฉียบขาด แต่ผู้ที่สะกดทุกสายตาในยามนั้นกลับเป็นหลี่ซุนเหม่ย บุตรีที่ทุกคนกล่าวขานถึงความเพียบพร้อมของกุลสตรี นางสวมอาภรณ์ผ้าไหมสีชมพูกุหลาบยกดิ้นทอง ผ
จวนเสนาบดีหลี่ “โผล๊ะ” เสียงสะท้อนดังของกล่องหยกขนาดย่อมตกกระแทกพื้นอย่างแรง ภายในห้องนอนหรูประจำเรือนในของคุณหนูประจำตระกูล จนข้ารับใช้ที่เฝ้าอยู่ถึงกับตัวสะดุ้ง“เขากล้าดีอย่างไร…” เสียงหวานแฝงพิษเอ่ยลอดไรฟัน ร่างบอบบางในชุดนอนแพรเนื้อละเอียดนั่งตัวตรงหน้ากระจกทองเหลือง เส้นผมยาวดำขลับหลุดมวยและปล่อยสยายราวม่านไหม ใบหน้างามล้ำที่ครั้งหนึ่งเคยหยิ่งผยองยามนี้บิดเบี้ยวด้วยเพลิงโทสะนางหันไปหาพี่เลี้ยง“ข้าอุตส่าห์วางหมากด้วยความอ่อนโยน อ่อนน้อม… แม้ต้องโผเข้าหา ก็ยังทำให้ดูเหมือนบังเอิญ แล้วเขากลับไม่แม้แต่จะแลข้าอีก”หลี่ซุนเหม่ยจิกเล็บลงบนโต๊ะไม้หอม เสี้ยวหน้าในกระจกฉายเพียงความเคียดแค้นอันลึกล้ำ กลิ่นเครื่องหอมอวลอบอาบไปทั่วห้อง ร่มเงาของม่านแพรบางพลิ้วไหวตามแรงลมยามค่ำ ไม่ได้ทำให้จิตใจนางสงบได้เลย“คิดว่าข้าไม่รู้หรือ ว่าไป๋ลี่เยว่กำลังหึงหวงเขา” นางแค่นเสียงหัวเราะในลำคอ“ก็ดี… เช่นนั้นข้าจะไม่ให้พวกเขาคืนดีกันอีกเป็นอันขาด” แววตาของนางเย็นชา แข็งกร้าวขึ้นทีละน้อยราวกับคมมีดชุบพิษ“ต่อให้ต้องใช้ชื่อของบิดาข้าเดิมพัน… ข้าก็จะไม่ยอมให้หญิงต่ำศักดิ์ผู้นั้นแย่งชิงบุรุษที่ข้าหมายปอง”
ไป๋ลี่เยว่ยืนอยู่ใต้เงาไม้หน้าแผงสมุนไพร ใบหน้านิ่งสงบใต้ชุดขาวสะอาดที่ปลิวไหวดุจกลีบบุปผาต้องลม ดวงตาคู่งามทอดมองภาพตรงหน้าอย่างนิ่งงัน ราวหยั่งลึกไปถึงก้นบึ้งแห่งจิตใจ ภาพเบื้องหน้านั้น…คือบุรุษผู้เป็นพระสวามี กำลังโอบประคองสตรีอีกนางไว้แนบอก ดวงตาเงียบงันของนางสั่นไหวอย่างปิดไม่มิด… ก่อนจะดับวูบ เบื้องหลังมีบ่าวรับใช้และคนของร้านสมุนไพรที่เดินตามมาเงียบ ๆ พวกเขาต่างชะงักเมื่อเห็นภาพเดียวกัน หลี่ซุนเหม่ย เหลือบตาเห็นไป๋ลี่เยว่เช่นกัน นางก้มหน้าลงอย่างแนบเนียน ราวกับสตรีบอบบางที่เพิ่งเผลอพลาดล้ม ทว่าภายในใจกลับยิ้มเย็นอย่างผู้ที่ลอบแทงสำเร็จ นางเคลื่อนตัวแนบชิดองค์ชายสามอย่างเหมาะเจาะ ไม่มากเกินให้ถูกตำหนิ…แต่ก็ไม่น้อยพอให้หลบสายตาผู้คน หลงเจิ้งหยางเมื่อสบตาสตรีที่ยืนอยู่อีกฟากก็ชะงักอย่างตกใจ ดวงตาสะท้อนวูบ หัวใจเหมือนถูกบีบแน่น รีบปล่อยร่างหลี่ซุนเหม่ยจากอ้อมแขนในทันควัน ก่อนเร่งสาวเท้าเข้าไปหา “เยว่เอ๋อร์… เจ้ามาได้อย่างไร” ไป๋ลี่เยว่ยืนนิ่งครู่หนึ่ง ก่อนยิ้มบาง ทว่ารอยยิ้มนั้นมิอาจกลบแววตาที่หม่นมัวได้มิด นางเอ่ยเพียงเสียงราบเรียบออกมา “หม่อมฉันมาเมื่อครู่เพคะ เดินตามกลิ่น
แสงแดดยามเช้าอ่อนโยนสาดลอดผ่านพุ่มไม้ข้างทาง เสียงใบไม้ไหวเบา ๆ ประกอบกับเสียงฝีเท้าเล็ก ๆ ทำให้เช้านั้นดูสดใสกว่าทุกวันไป๋ลี่เยว่จับมือโอรสน้อยแน่น ขณะพากันเดินไปที่รถม้าริมประตูตำหนัก นางตั้งใจจะพาเด็กน้อยไปตรวจร้านสมุนไพรของตัวเองที่เพิ่งจะขยายร้านอีก“ท่านแม่ขอรับ วันนี้ข้าจะให้ท่านดูสูตรยาบำรุงสายตาที่ข้าคิดไว้ด้วยนะ” เสียงใสเจื้อยแจ้วของเด็กน้อยทำให้ริมฝีปากของนางคลี่ยิ้ม“เสี่ยวเป่าของแม่ช่างเก่งนัก… วันหน้าหากเจ้าดูร้านเองได้ เถ้าแก่ใหญ่กับหมอหลวงทั้งเมืองอาจต้องกลัวเจ้าแล้วล่ะ” ดวงตาของไป๋ลี่เยว่เต็มไปด้วยความเอ็นดู“จะแอบไปไหนกันหรือ…ถึงกับไม่คิดจะเอ่ยปากชวนบิดาของเจ้าไปด้วยสักคำรึ เจ้าเด็กน้อย” ยังไม่ทันถึงรถม้า ทว่าทันใดนั้นเสียงหนึ่งก็ดังขึ้นจากด้านหลังนางชะงัก หันกลับไปพบร่างสูงสง่าของหลงเจิ้งหยาง ในชุดสีกรมเข้ม เขายืนกอดอกยิ้มมุมปากเล็กน้อย ดวงตาคมกริบทอดมองไปยังพระโอรสกับพระชายาอย่างไม่วางตา“องค์ชายสาม” ไป๋ลี่เยว่เผลออุทานองค์ชายน้อยชะงักกึก ก่อนจะหันมาทางพระมารดา “ท่านแม่ หวงไหน่ไหน่บอกว่าพวกโจรชุม เป็นอันตรายสำหรับคนงามอย่างท่านนะขอรับ งั้นข้าจะให้เขาไปด้วย ท่านแ
ณ จวนเสนาบดีหานหลังจากเหตุการณ์ที่ถูกโจรดักฉุดในระหว่างทางกลับจากวัด และได้รับการช่วยเหลือจากหลงเหวินหยางองค์ชายสองผู้สง่างาม หานลี่เยี่ยนก็กลับมาถึงจวนพร้อมหัวใจที่ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไปแม้เหตุการณ์จะผ่านไปเพียงคืนเดียว แต่ความรู้สึกในใจนางกลับแน่นหนาราวร้อยด้วยด้ายแดงแห่งชะตานางนั่งอยู่หน้าโต๊ะเขียนหนังสือ มือเรียวปัดพู่กันไปมาบนกระดาษ แต่แทนที่จะเขียนบทกวีหรือลงสีภาพดอกเหมยดังเช่นเคย กลับเผลอวาดเสี้ยวพระพักตร์ของบุรุษผู้หนึ่งที่นางไม่เคยลืมได้เลยตั้งแต่คืนวาน“พระเนตรคู่นั้น…แฝงความลึกลับนัก… พระหัตถ์ที่โอบปลอบก็นุ่มอุ่นจน…”คุณหนูของตระกูลกัดริมฝีปากแน่น ใบหน้าแดงระเรื่อก่อนซุกหน้าลงกับแขนพับบนโต๊ะ“คุณหนูเจ้าขา…” เสียงสาวใช้เซี่ยจูดังขึ้นอย่างแผ่วเบา “ดึกมากแล้วเจ้าค่ะ บ่าวเตรียมชาอุ่นไว้ให้แล้ว คุณหนูกำลังคิดอะไรอยู่คะ”หานลี่เยี่ยนผงกหน้าเล็กน้อย ไม่ได้ตอบอะไร เพียงหลุบตาลงอย่างอาย ๆยามสายวันรุ่งขึ้นเสนาบดีหานนั่งจิบชา แต่สายตากลับจับจ้องไปยังเรือนของหานลี่เยี่ยนอย่างเป็นห่วง ดวงหน้าเคร่งขรึมยิ่งขึ้นเมื่อสังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงของบุตรตรีเพียงหนึ่งเดียว ที่ตั้งแต่หลังกลับจา
หลงเหวินหยางพาหานลี่เยี่ยนเดินออกจาก วิหารเทียนหรง หลังขอพรเสร็จ ทั้งคู่ตกอยู่ในความเงียบ ฝีเท้าเบาราวมิอยากรบกวนแม้แต่เสียงสายลมที่พัดผ่านดอกเหมยสีชมพูอ่อนโปรยปรายจากกิ่งใหญ่เหนือศาลาบูชาด้านข้าง กลีบบางเบาร่วงหล่นอย่างอ้อยอิ่ง ก่อนปลิวตามลม ม้วนตัวกลางอากาศ แล้วค่อย ๆ ลอยลงแตะบนเส้นผมดำขลับ“เดี๋ยว…”เสียงของเขาดังขึ้นเบา ๆ แต่ชัดเจนพอจะหยุดฝีเท้านางร่างบางหันกลับมา เพียงชั่วพริบตานั้น มือเรียวยาวของหลงเหวินหยางก็เอื้อมขึ้นมา หยิบกลีบดอกไม้ออกจากเรือนผมนางอย่างแผ่วเบา ปลายนิ้วไล้ผ่านเส้นผมคล้ายกลัวจะทำให้เสียทรง แต่กลับคล้ายดั่งลูบไล้หัวใจนางไปพร้อมกันริมฝีปากที่เคยเฉยชาของเขา บัดนี้กลับยกยิ้มละมุนที่มุมหนึ่ง สายตาที่ทอดมอง...อ่อนโยนยิ่งกว่าสายลมฤดูใบไม้ผลิหานลี่เยี่ยนรู้สึกว่าใจนางสั่นไหวโดยไร้สาเหตุ แม้พยายามจะข่มให้สงบ แต่ก็ไม่อาจควบคุมจังหวะเต้นในอกได้อีก“บางครั้ง...สวรรค์อาจใช้กลีบดอกไม้แทนคำตอบ” เสียงทุ้มของเขาเอ่ยขึ้นหานลี่เยี่ยนเม้มริมฝีปากน้อย ๆ ก่อนเบือนหน้าหนีอย่างเก้อเขิน“หรือบางที...อาจอยากสร้างความใกล้ชิด ให้สองใจได้มาใกล้กัน”หลงเหวินหยางหัวเราะในลำคอเบา ๆ เสีย