ในอีกด้านหนึ่ง เหวิ่นจือหยูยังคงรู้สึกกังวลกับพระบรมราชโองการที่ทรงมีคำสั่งให้จัดงานแต่งงานอย่างเร่งด่วน นางพยายามหาทางออกจากสถานการณ์ที่ตึงเครียดนี้ แต่ยิ่งพยายามมากเท่าไหร่ ทางเลือกของนางก็ยิ่งแคบลง
เหวิ่นจือหยูต้องเผชิญกับความกดดันจากองค์ชายหลี่หยวนเจ๋อ พระคู่หมั้นที่ประกาศออกมาชัดเจนว่าไม่ปรารถนาที่จะแต่งงานกับนาง แต่เขาก็ไม่สามารถปฏิเสธรับสั่งของฮ่องเต้ได้ ในขณะที่ทั้งคู่ต่างต้องทรมานจากการแต่งงานที่ไม่เต็มใจ และทุกข์ทรมานจากการแต่งงานกับคนที่ไม่ได้รัก ตัวเหวิ่นจือหยูไม่เท่าไหร่เพราะวาดรวีรู้ว่าจือหยูคนเดิมแอบชอบพอองค์ชายอยู่ แต่องค์ชายนี่ซินอกจากจะไม่ได้ชอบพอกับจือหยูคนเดิมเเล้วยังบอกว่าเกลียดคนนิสัยเช่นนางด้วยซ้ำ เหวิ่นจือหยูถอนหายใจยาว ก่อนจะนั่งลงที่โต๊ะ นางหยิบกระดาษและพู่กันขึ้นมา เขียนสิ่งที่อยู่ในใจออกมาเป็นตัวอักษรจีนที่สง่างาม ราวกับกำลังใช้การเขียนเป็นวิธีการระบายความเครียดและความกังวลที่ทับถมอยู่ในใจ “ข้าควรทำอย่างไรต่อไป” นางพูดกับตัวเองเบาๆ ขณะที่มองตัวอักษรที่เขียนเสร็จแล้ว ในขณะที่เหวิ่นจือหยูครุ่นคิด เสียงเคาะประตูเบาๆ ดังขึ้น สาวใช้ส่วนตัวของนางเข้ามาอย่างเงียบๆ “คุณหนูเจ้าคะ นายท่านต้องการพบคุณหนูที่ห้องทำงานเจ้าค่ะ ” สาวใช้รายงานด้วยท่าทางสุภาพ เหวิ่นจือหยูรีบลุกขึ้น นางไม่เคยปฏิเสธการเข้าพบของบิดา และในเวลานี้นางก็รู้สึกว่าต้องการคำแนะนำจากท่านพ่อมากที่สุด นางเดินออกจากห้องตรงไปยังห้องทำงานของบิดา ใจที่หนักอึ้งเริ่มรู้สึกเบาลงเมื่อคิดถึงความอบอุ่นจากคำปลอบโยนที่นางมักได้รับจากท่านพ่อเสมอมา ขณะที่เหวิ่นจือหยูเดินทางมาที่ห้องรับรอง นางรู้สึกได้ถึงสายตาของน้องสาวเหวิ่นลี่หยาที่มองนางอยู่จากที่ไกลๆ ราวกับจับจ้องนางด้วยความโกรธ นางรู้ดีว่าเหวิ่นลี่หยาไม่เคยพอใจกับการที่นางได้หมั้นหมายและได้แต่งงานกับองค์ชายหลี่หยวนเจ๋อ แต่กำหนดการรวมถึงพระบรมราชโองการออกมาแล้วไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้ ก็ยังไม่สามารถทำให้น้องสาวเลิกชิงชังได้ เหวิ่นลี่หยาเดินเข้ามาใกล้พี่สาวก่อนจะยิ้มบางๆ ที่ดูเหมือนจะซ่อนความหมายบางอย่างแฝงไว้ นางกล่าวด้วยน้ำเสียงที่ดูห่วงใยแต่แฝงด้วยความเยาะเย้ย “พี่จือหยู พี่จะไปไหน คงไม่ใช่ไปอ้อนให้ท่านพ่ออีกหรอกนะ” เหวิ่นจือหยูรู้ดีว่าน้องสาวพูดเช่นนี้เพียงเพื่อยั่วให้นางโกรธ แต่ในครั้งนี้ นางกลับเลือกที่จะยิ้มและตอบกลับด้วยน้ำเสียงสงบ “ไม่จำเป็น เจ้าก็รู้ว่าท่านพ่อรักข้ามากกว่าลูกอนุอย่างเจ้ามาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว” คำตอบที่นิ่งสงบของเหวิ่นจือหยูทำให้เหวิ่นลี่หยารู้สึกผิดหวังเล็กน้อย นางหวังว่าพี่สาวจะโต้กลับหรือตอบสนองด้วยอารมณ์ แต่กลับพบกับความเยือกเย็นที่ไม่คุ้นเคย พร้อมกับการย้ำให้รู้สึกเจ็บจากการพูดถึงตำแหน่งแม่ของนาง “เราจะได้เห็นกัน” เหวิ่นลี่หยาพูดก่อนจะเดินจากไปด้วยความไม่พอใจ เหวิ่นจือหยูมองตามน้องสาวไป นางรู้ว่าการต่อสู้ระหว่างนางกับเหวิ่นลี่หยานั้นยังไม่จบ นางจะต้องพยายามเอาชนะทั้งในสายตาขององค์ชายหลี่หยวนเจ๋อและเอาชนะความอิจฉาของเหวิ่นลี่หยาให้ได้ เมื่อเหวิ่นจือหยูเข้าไปในห้องของบิดา ขุนนางเหวิ่นจวิ้นอี้นั่งอยู่บนเก้าอี้รับรอง ใบหน้าที่เคยเคร่งขรึมและเต็มไปด้วยความเด็ดเดี่ยวกลับดูอ่อนโยนขึ้นเมื่อเห็นบุตรสาวคนโตเดินเข้ามา ขุนนางเหวิ่นเป็นคนที่เคร่งครัดกับเรื่องการทำงาน แต่กลับมีความเมตตาและความเข้าใจต่อบุตรสาวเป็นพิเศษ “ลูกหยูเอ๋อร์” ท่านพ่อเอ่ยเรียกนางด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “เข้ามานั่งก่อน” เหวิ่นจือหยูนั่งลงข้างๆ ท่านพ่อ สายตาของนางเต็มไปด้วยความกังวลจนเหวิ่นจวิ้นอี้มองออกได้ทันที “พ่อรู้ว่าการแต่งงานครั้งนี้อาจเป็นเรื่องที่ลูกรู้สึกลำบากใจ” ท่านพ่อพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “แต่บางครั้งในชีวิต เราไม่อาจหลีกเลี่ยงชะตากรรมที่ถูกลิขิตมาแล้วได้” เหวิ่นจือหยูพยักหน้าเบาๆ นางรู้ว่าบิดาของนางพูดถูก การแต่งงานกับองค์ชายหลี่หยวนเจ๋อเป็นรับสั่งจากฮ่องเต้ ไม่มีทางเลือกอื่นที่นางจะปฏิเสธได้ แต่นางยังคงไม่อาจสลัดความรู้สึกวิตกกังวลออกไปได้ “ท่านพ่อ” นางพูดเสียงแผ่ว “ลูกรู้ว่าลูกเคยทำตัวไม่ดี ลูกทำให้หลายคนไม่ชอบ แต่ลูกกลัวว่าลูกจะไม่สามารถเปลี่ยนแปลงตัวเองได้พอที่จะทำให้เขายอมรับลูกได้” ขุนนางเหวิ่นฟังคำพูดของลูกสาวอย่างเงียบๆ ก่อนจะยกมือลูบศีรษะนางเบาๆ อย่างอ่อนโยนด้วยความเอ็นดู “ลูกทำได้ดีแล้วนะ หยูเอ๋อร์ พ่อรู้ว่าลูกได้พยายามปรับปรุงตัวเองอย่างมากมาย หลังจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น พ่อสังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงในตัวลูก ลูกกำลังเดินไปในทางที่ถูกต้อง” เหวิ่นจือหยูรู้สึกถึงความอบอุ่นที่ท่านพ่อส่งผ่านมาถึง นางยิ้มออกเล็กน้อย อย่างมีกำลังใจถึงแม้ในใจก็ยังมีความกังวลอยู่ลึกๆ “แต่เขายังไม่เชื่อใจลูก” นางพูดเบาๆ “ลูกรู้สึกว่าเขายังคงไม่เห็นคุณค่าในตัวลูก” ขุนนางเหวิ่นมองหน้าบุตรสาวอย่างอ่อนโยน “ความไว้วางใจต้องใช้เวลาในการสร้าง อย่าเพิ่งยอมแพ้ ต่อให้ตอนนี้เขายังไม่เชื่อใจลูก แต่หากลูกแสดงให้เห็นถึงความจริงใจและความมุ่งมั่น เขาก็จะเห็นในที่สุด” “หยูเอ๋อร์ ฟังนะลูก เจ้าเป็นลูกสาวของพ่อ และพ่อคนนี้ก็เชื่อมั่นในตัวลูก พ่อรู้ว่าลูกฉลาด แข็งแกร่ง และกล้าหาญ พ่อเห็นศักยภาพในตัวลูกมาโดยตลอด สิ่งสำคัญคือลูกต้องเชื่อมั่นในตัวเอง ไม่ว่าสถานการณ์จะยากลำบากเพียงใด ลูกก็จะสามารถก้าวผ่านมันไปได้” เหวิ่นจือหยูฟังคำพูดของบิดา หัวใจของนางรู้สึกอบอุ่นขึ้น นางเริ่มเชื่อว่าบางทีนางอาจจะสามารถเปลี่ยนแปลงความคิดขององค์ชายหลี่หยวนเจ๋อได้ ถ้านางตั้งใจและมุ่งมั่นพอ “ท่านพ่อ ลูกจะพยายาม” เหวิ่นจือหยูเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่นขึ้น “ลูกจะไม่ยอมแพ้ จือหยูคนนี้จะทำให้เขาเห็นว่าลูกเป็นคนที่เขาสามารถไว้ใจได้” ขุนนางเหวิ่นยิ้มให้กับลูกสาวด้วยความภาคภูมิใจ “นั่นแหละคือคำตอบที่พ่ออยากได้ยิน พ่อรู้ว่าหยูเอ๋อร์ของพ่อทำได้ และพ่อจะอยู่เคียงข้างเจ้าเสมอลูกรัก” เหวิ่นจือหยูยิ้มอย่างมั่นใจมากขึ้น นางรู้ว่าการเดินทางในเส้นทางนี้จะไม่ง่าย แต่ด้วยความรักและการสนับสนุนจากบิดา นางก็พร้อมที่จะเผชิญกับทุกอุปสรรคที่เข้ามาในชีวิต“เกิดอะไรขึ้น” ทั้งสองหันไปมองทันที เมื่อเห็นร่างของผู้มาเยือนฮ่องเต้ยืนอยู่ที่หน้าห้อง สีพระพักตร์เต็มไปด้วยความกังวล ดวงเนตรคมกริบกวาดมองไปทั่วห้องก่อนจะหยุดที่หลี่หยวนเจ๋อและเหวิ่นจือหยูเหวิ่นจือหยูรีบถอยออกจากอ้อมกอดของหลี่หยวนเจ๋อด้วยความอาย แต่องค์รัชทายาทยังคงจับมือของนางไว้แน่นราวกับจะบอกว่าเขาจะไม่ปล่อยให้ใครมาทำร้ายนางอีก“เสด็จพ่อ” หลี่หยวนเจ๋อเอ่ยขึ้นพร้อมกับโค้งคำนับ “ชายชุดดำผู้นี้บุกเข้ามาในตำหนักของพระชายา หม่อมฉันสงสัยว่าเขามีเจตนาไม่ดี จึงให้องครักษ์จับตัวไว้เพื่อสอบสวน”ฮองเฮาเข้ามาใกล้เหวิ่นจือหยูพร้อมกับปลอบโยนนาง “เจ้าสบายดีหรือไม่หยูเอ๋อร์ ข้าเห็นเมื่อครู่นี้ชายคนนั้นมีดาบด้วย”เหวิ่นจือหยูพยักหน้าพร้อมกัยยิ้มอ่อนหวานให้ “หม่อมฉันสบายดี ขอบพระทัยเพคะ”ฮ่องเต้ก้าวเข้าไปใกล้ชายชุดดำที่ถูกควบคุมตัวโดยองครักษ์ ใบหน้าของพระองค์เคร่งขรึม แววตาแสดงถึงความกังวลแต่ก็แฝงไปด้วยความสงสัย“เจ้าเป็นใคร และมาที่นี่เพื่ออะไร” ฮ่องเต้ถามด้วยน้ำเสียงทรงอำนาจชายชุดดำไม่ตอบ เพียงแต่ก้มหน้ามองพื้น ฮ่องเต้หันไปมององครักษ์ประจำพระองค์ “จับเขาไปที่คุกหลวงทันที สอบสวนให้ได้ว่าใครส่ง
ค่ำคืนอันเงียบสงัดปกคลุมตำหนักพระชายาด้วยความมืดมิด ลมยามดึกพัดผ่านม่านบางเบาให้พลิ้วไหว เงาไม้จากภายนอกทอดตัวบนผนัง สร้างภาพลางเลือนที่เหมือนจะขยับได้เองบนเตียงกว้าง เหวิ่นจือหยูนอนนิ่งพลางจ้องมองเพดาน ดวงตาหม่นเศร้าคิดถึงชีวิตในฐานะพระชายา นางพยายามปรับตัว พยายามทำความเข้าใจกับชะตากรรมของตนเอง แต่ค่ำคืนนี้กลับเงียบผิดปกติ เงียบเสียจนได้ยินเสียงลมหายใจของตนเองชัดเจนทันใดนั้นเสียงฝีเท้าแผ่วเบาดังขึ้นจากด้านนอก มันเบาจนแทบไม่ได้ยิน แต่ในความเงียบเช่นนี้กลับดังราวกับเสียงกลองที่เต้นรัวอยู่ในอกของนางแกรก…เสียงบานประตูถูกเลื่อนเปิดออกช้าๆ อย่างแผ่วเบา แต่ความเงียบทำให้เสียงนั้นกลับดังก้องขึ้นกว่าเดิม นางเบิกตากว้าง นอนนิ่งไม่กล้าขยับตัว พลางจ้องมองไปยังประตูด้วยหัวใจที่เต้นระรัวเงาดำเคลื่อนเข้ามาอย่างเงียบเชียบ ร่างสูงในชุดดำสนิทคลุมกายแนบชิด ผ้าคลุมปิดบังใบหน้าไว้เหลือเพียงดวงตาเย็นเยียบที่จ้องมองนางเหวิ่นจือหยูรู้สึกถึงลางสังหรณ์ร้าย หัวใจเต้นแรงจนแทบจะหลุดออกจากอก นางกลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก“ใครน่ะ” เสียงของนางสั่นเครือ นางรีบลุกขึ้นนั่ง ดวงตาจับจ้องร่างนั้นด้วยความตื่นตระหนก
“องค์รัชทายาท”เสียงเรียกจากด้านนอกดังขึ้นพร้อมกับเสียงเคาะประตู “องค์รัชทายาทเพคะ”หลี่หยวนเจ๋อลืมตาขึ้นจากความคิดอันสับสน เขารู้ดีว่าใครบางคนอยู่ข้างนอก แต่ยังไม่ทันที่เขาจะได้ขยับตัว ประตูไม้หนักก็ถูกผลักเข้ามาโดยแรง เหวิ่นลี่หยาก้าวพรวดเข้ามาในห้อง สายตาของนางเต็มไปด้วยความโกรธแค้นจนปิดไม่มิด นางเบิกตากว้างทันทีที่เห็นภาพตรงหน้าหลี่หยวนเจ๋อและเหวิ่นจือหยูอยู่ด้วยกันในท่วงท่าที่เต็มไปด้วยความสนิทสนมองครักษ์ที่ตามมาจับตัวนางไว้แล้วนำออกไปรอข้างนอกห้อง รอไม่นานองค์รัชทายาทและพระชายาก็เดินออกมาข้างนอกห้องบรรทม“เจ้ามีธุระอันใด เหวิ่นลี่หยา”“องค์รัชทายาท” เสียงของเหวิ่นลี่หยาดังสูงอย่างไม่อาจปิดบังความตกใจ “เหตุใดพระชายาจึงมาอยู่ที่นี่เพคะ”หลี่หยวนเจ๋อรู้สึกกระอักกระอ่วน ที่โดนถามอย่างไม่ทันตั้งตัว “นางเพียงแค่…” คำพูดสะดุดไปเมื่อเขานึกไม่ออกว่าจะอธิบายอย่างไรเหวิ่นลี่หยาก้าวเข้ามาใกล้ ดวงตาสั่นไหวด้วยความเดือดดาล “หรือว่านางกำลังยั่วยวนท่านจริง ๆ” เสียงของนางดังไม่พอใจ“ข้าไม่ได้” เหวิ่นจือหยูเปิดปากอธิบาย แต่เสียงเย้ยหยันของเหวิ่นลี่หยากลับแทรกขึ้น“พี่จือหยู ท่านลืมแล้วหรือว
ค่อนคืนจนเกือบรุ่งสาง หลังผ่านค่ำคืนอันยาวนานที่เต็มไปด้วยความเร่าร้อนและความเหน็ดเหนื่อย หลี่หยวนเจ๋อและเหวิ่นจือหยูต่างนอนอยู่ในอ้อมกอดของกันและกัน ความเงียบสงัดภายในห้องเต็มไปด้วยบรรยากาศอบอุ่นอันละมุนละไม ราวกับว่าโลกทั้งใบหยุดหมุนเพื่อให้พวกเขาได้อยู่ใกล้ชิดกันในช่วงเวลานี้หลี่หยวนเจ๋อมองพระชายาที่หลับใหลอยู่ข้างกาย ความรู้สึกที่เขาพยายามกดเก็บไว้ภายในมาตลอดเริ่มก่อตัวขึ้นอีกครั้งในหัวใจของเขา นางช่างงดงามในยามที่แสงจันทร์และแสงอ่อนของโคมไฟในห้องสาดส่องใบหน้า เขาควรจะพึงพอใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นในคืนนี้ แต่ความสับสนกลับยังวนเวียนอยู่ในใจ ราวกับว่าความสัมพันธ์นี้ยังไม่อาจลงตัวรุ่งสางวันใหม่ แสงแดดแรกของวันลอดผ่านหน้าต่างเข้ามาในห้อง ความอบอุ่นของแสงทำให้เหวิ่นจือหยูเริ่มขยับตัว นางตื่นขึ้นมาพร้อมกับความรู้สึกที่เต็มไปด้วยคำถาม เมื่อเห็นหลี่หยวนเจ๋อยืนอยู่ที่หน้าต่าง ดวงตาของเขาเหม่อลอยออกไปยังสวนหย่อมด้านนอก ราวกับกำลังคิดถึงเรื่องราวบางอย่างที่ซับซ้อน“ท่าน” เสียงแผ่วเบาของเหวิ่นจือหยูทำให้หลี่หยวนเจ๋อสะดุ้งเล็กน้อย เขาหันมามองนาง ดวงตาสวยของนางเต็มไปด้วยความไม่แน่ใจ“ท่านไม่พอใจห
ค่ำคืนในพระตำหนักที่เงียบงัน ความมืดมิดปกคลุมไปทั่วบริเวณ ขณะที่หลี่หยวนเจ๋อเดินมาหยุดอยู่หน้าประตูห้องบรรทมของเหวิ่นจือหยู เขายืนนิ่งอยู่นาน สับสนในใจว่าจะเคาะประตูหรือกลับไปยังห้องของตัวเองดี ความรู้สึกตีกันระหว่างหน้าที่และหัวใจทำให้เขาลังเล“ทำไมข้าถึงต้องมาอยู่ตรงนี้” เขาพึมพำกับตัวเองเบาๆ แม้ในใจจะรู้คำตอบอยู่แล้วหลังคิดหาเหตุผล เขาผลักประตูเข้าไป ภายในห้องเงียบสงบ เหวิ่นจือหยูนอนหันหลังให้เขา ทันทีที่เขาก้าวเข้าไป เสียงฝีเท้าของเขาทำให้นางหันกลับมา สายตาของทั้งสองประสานกันในความเงียบ“มีอะไรหรือเพคะ” นางถามเสียงเรียบ ดวงตามองเขาด้วยความสงสัยหลี่หยวนเจ๋อก้าวเข้ามาใกล้พลางสูดลมหายใจลึก บอกความตั้งใจในการมาของตน“ข้า ต้องมาอยู่ที่นี่” น้ำเสียงของเขาเย็นชา แต่ในใจกลับตื่นเต้นจนยากจะอธิบายเหวิ่นจือหยูเลิกคิ้ว “เหตุใดท่านต้องมาที่นี่”เขานิ่งงันไปครู่หนึ่ง “เจ้าจำไม่ได้หรือ ฮ่องเต้รับสั่งให้เรามีทายาท ข้ามาเพื่อทำตามประสงค์ของพระองค์” หลี่หยวนเจ๋อตอบอย่างช้าๆชัดๆ เพื่อให้นางเข้าใจถึงความคับข้องในใจของเขา แต่คำพูดของเขาเต็มไปด้วยความรู้สึกขัดแย้ง แท้จริงแล้วเขามาหานางเพื่
“ข้าขอโทษ ข้าจะพยายามทำให้ดีขึ้น” เขาพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่น“ข้าจะให้พยายามความรักที่สมควรแก่เจ้า” แต่ฟังดูเหมือนคำสัญญาที่เขาเองก็ยังไม่แน่ใจว่าจะรักษาได้เหวิ่นจือหยูมองเขา ใบหน้าของนางเรียบนิ่ง แต่แววตานั้นเปี่ยมด้วยความเจ็บปวด“หม่อมฉันขอพระทัยเพคะ ท่านไม่ต้องฝืนใจตัวเองเพื่อหม่อมฉันหรอก หม่อมฉันไม่ได้ต้องการความรักแบบนี้” น้ำเสียงของนางเย็นชา ก่อนจะหมุนตัวเดินจากไปหลี่หยวนเจ๋อขยับตัวเล็กน้อยโดยไม่รู้ตัว เขาอยากจะรั้งนางไว้ แต่ก็ชะงักไว้ ในใจของเขามีบางอย่างพลุ่งพล่านขึ้นมา ความร้อนรนแปลกๆ เกิดขึ้นในใจเขา ทั้งที่เขาไม่ควรจะรู้สึกอะไรกับเรื่องนี้เลย แต่ทว่า เขากลับรู้สึกไม่สบายใจอย่างประหลาด เขายังคงสับสนกับความรู้สึกที่เขามีต่อนาง เขาไม่แน่ใจว่าจะเรียกว่าอะไรดีกับความรู้สึกนี้ ตอนนี้เขารู้สึกว่าต้องใช้เวลาในการทำความเข้าใจกับใจของตัวเอง แต่เขาก็ยังไม่พร้อมจะเผชิญกับมันสายลมเย็นพัดผ่าน สร้างความร่มรื่นให้กับสวนหลวง ดอกไม้ผลิบานไหวเอนไปตามแรงลม กลีบสีอ่อนลอยละล่องตามอากาศราวกับสายหิมะโปรยปรายหลี่หยวนเจ๋อยืนอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ สายตาจับจ้องไปที่ดอกไม้ตรงหน้า แต่แท้จริงแล้วใจ
ช่วงสายในห้องบรรทมที่เงียบสงบ สายลมเย็นๆ พัดเข้ามาทางหน้าต่างที่เปิดแง้มไว้ ไอแดดอ่อนๆ ทาบลงบนเตียงกว้างที่ยังมีร่องรอยของค่ำคืนแห่งความสัมพันธ์ หลี่หยวนเจ๋อค่อยๆ ลืมตาขึ้นช้าๆ ดวงตาคมกริบทอดมองไปยังร่างของเหวิ่นจือหยูที่ยังคงนอนหลับอยู่ในอ้อมกอดของเขาดวงหน้าที่หลับใหลของนางดูสงบนิ่ง ผิวพรรณเนียนละเอียดอาบด้วยแสงแดดยามเช้าทำให้นางดูงดงามราวกับเทพธิดา เส้นผมยาวสีดำกระจายอยู่บนหมอน ไหล่เปลือยเปล่าและเนินอกของนางที่โผล่พ้นผ้าห่มเผยให้เห็นร่องรอยสีกุหลาบที่เกิดจากฝีปากเขา สายตาคมจ้องมองอยู่อย่างเงียบงัน แต่ในใจกลับเต็มไปด้วยความรู้สึกหลากหลาย ความกระอักกระอ่วนพุ่งขึ้นในใจ “เมื่อคืน” เขาพึมพำในใจ ภาพเหตุการณ์เมื่อคืนย้อนกลับมาในหัว ความใกล้ชิด ความเร่าร้อน และความอ่อนหวานที่เขามอบให้นาง แม้จะไม่ได้ตั้งใจ แต่ทุกสิ่งทุกอย่างนั้นล้วนเกิดจากแรงผลักดันบางอย่างที่เขาไม่สามารถควบคุมได้หลี่หยวนเจ๋อรู้สึกกระอักกระอ่วนในใจ เขาไม่ได้ตั้งใจให้ความสัมพันธ์ของพวกเขาก้าวไปไกลถึงเพียงนี้ เขาไม่ได้มีความคิดนั้นอยู่เลย มันเป็นไปไม่ได้แน่นอน หรือว่าชาที่พระมารดาเอาให้ดื่มมาวานนั้นมีปัญหา แต่ในขณะเ
“อยู่นิ่งๆก่อน จือหยู ให้ถ้ำทองของเจ้าปรับขยายตัวให้กับมังกรข้าก่อน อีกประเดี๋ยวเจ้าจะไม่อยากให้ข้าเอามังกรออกเลยล่ะ ตอนนี้เจ้าช่วยอดทนเหมือนที่ข้าอดทนหน่อย โพรงถ้ำของเจ้ามันตอดรัดมังกรของข้าจนจะหายใจไม่ออกอยู่แล้ว ถ้ามันขาดเดี๋ยวเจ้าจะเสียใจที่มันใช้งานไม่ได้นะ อูยยย เจ้าตอดข้าเหลือเกิน เจ้าดีขึ้นหรือยัง ข้าอยากขยับแล้ว อูยยย ตอดถี่ยิบเลย ข้าจะขยับแล้วนะ จือหยูพระชายาของข้า ข้าทนไม่ไหวแล้ว”“ดีขึ้นอย่างที่ท่านว่าแล้วเพคะ ยังเจ็บอยู่แต่ไม่มากนัก ท่านลองขยับดูเพราะตอนนี้ข้าทั้งจุกทั้งแน่นทั้งอึดอัด ไม่ไหวเหมือนกัน อ๊ะ อ๊ะ อ๊ะ มันดีมาก พอท่านขยับแบบนี้มันดี อ๊ะ ดีมาก ท่านขยับแรงๆ เร็วๆ กว่านี้ได้ไหม ซี๊ดดดด”น้ำในอ่างไม้กระฉอกออกจากอ่างเพราะความเเรงและความเร็วของการกระแทกเอวขององค์รัชทายาทเข้าหากลางกายของเหวิ่นจือหยู “อ๊าาา ซี๊ดดด ดีเหลือเกิน แน่นเกินไปแล้วจือหยู ไหนเจ้าคุกเข่าหันหลังให้ข้าหน่อย ทีนี้เอามือเกาะขอบอ่างไว้แน่นๆนะ ข้าจะเอามังกรของข้าเข้าไปในถ้ำของเจ้าเร็วๆ แล้วนะ อ๊าา”“อายยย องค์ชาย มันจุก ท่านแรงเกินไปแล้ว อ๊ะ แรงอีก หยวนเจ๋อ แรงอีก อ๊ะ จุก ทำไมมังกรท่านใหญ่นักนะ ทั้ง
“องค์รัชทายาท” เหวิ่นจือหยูสะดุ้งสุดตัวเมื่อได้ยินเสียงน้ำกระเพื่อมจากด้านหลัง นางรีบลืมตาและหันไปมองด้วยความตกใจ ใบหน้าของนางแดงก่ำเมื่อพบว่าผู้บุกรุกไม่ใช่ใครอื่น แต่เป็นพระสวามีผู้ซึ่งก้าวลงมาในอ่างอาบน้ำร่วมกับนางอย่างถือวิสาสะ“องค์รัชทายาท ท่านทำอะไรเพคะ” นางร้องเสียงสั่น ขณะที่มือทั้งสองข้างรีบยกขึ้นปิดหน้าอกอย่างตื่นตระหนก ดวงตากลมโตของนางจ้องมองเขาด้วยความตกใจปนความเขินอายหลี่หยวนเจ๋อมองมาที่นาง ด้วยสีหน้าปรารถนาที่นางไม่เคยเห็นมาก่อน เขาก้าวเข้ามาใกล้ในน้ำอุ่น ร่างกายที่เปลือยเปล่าของเขาดูเด่นชัดท่ามกลางแสงเทียนที่ส่องประกาย“ขอโทษ ข้าไม่ตั้งใจทำให้เจ้าตกใจ เจ้ากำลังหลบหน้าข้าอยู่หรือไม่ เหวิ่นจือหยู” เสียงทุ้มต่ำของเขาดังขึ้นสั่นไหวเต็มไปด้วยความปรารถนาที่ไม่สามารถต้านทานได้ “หม่อมฉันไม่ได้หลบหน้าเพคะ” นางตอบกลับด้วยเสียงที่เบาและขาดความมั่นใจ “แต่ แต่นี่มันไม่เหมาะสม ท่านเข้ามาทำไม ควรออกไปเดี๋ยวนี้เพคะ”หลี่หยวนเจ๋อไม่ตอบในทันที เขายังคงมองนางอย่างแน่วแน่ ก่อนจะยื่นมือออกมาสัมผัสไหล่บางของนาง “ข้ารู้สึกร้อน ข้าอยากอาบน้ำเผื่อผ่อนคลายกับเจ้า พระชายา” หลี่หยวนเจ๋อพูดอ