เช้าวันเสาร์ที่เงียบสงบผิดปกติของมหาวิทยาลัย ปรายฟ้าลากสังขารมายังห้องทำงานโปรเจกต์ ใบหน้ายังคงงัวเงียเล็กน้อย แต่พอเห็นกองเอกสารและอุปกรณ์วางรออยู่บนโต๊ะก็ต้องถอนหายใจเฮือกใหญ่
“โอ๊ยวันหยุดทั้งทีทำไมไม่หยุดพักนะ” เธอพึมพำกับตัวเอง
ไม่นานนักประตูห้องก็เปิดออกภาคภูมิเดินเข้ามาพร้อมกองเอกสารอีกปึกใหญ่ ใบหน้าของเขายังคงเรียบเฉยตามปกติ แต่ในมือมีแก้วกาแฟร้อนๆ ส่งกลิ่นหอมกรุ่น
“มาเช้าเหมือนกันนะครับ” ภาคภูมิพูดขึ้นเบาๆ วางแก้วกาแฟลงบนโต๊ะ
“ก็งานมันเยอะนี่นา” ปรายฟ้าตอบ
“แถมยังต้องเตรียมงานสำหรับกิจกรรมใหญ่เดือนหน้าอีก”
บรรยากาศในห้องเงียบกว่าปกติ มีเพียงเสียงพลิกกระดาษและเสียงกดปากกาเบา ๆ ปรายฟ้า รู้สึกได้ว่ามันไม่เหมือนตอนที่เพื่อน ๆ อยู่กันพร้อมหน้า เธอเงยหน้าขึ้นมองภาคภูมิที่กำลังก้มหน้าก้มตาอ่านเอกสารอย่างตั้งใจ
“นี่ นายไม่เบื่อบ้างเหรอ” ปรายฟ้าเอ่ยขึ้น
“ทำแต่งานทำแต่ตัวเลข”
ภาคภูมิเงยหน้าขึ้นมอง “ไม่เบื่อ”
“โหชีวิต” ปรายฟ้าส่ายหน้า
“ฉันล่ะเบื่อแทน”
“แล้วปกตินายทำอะไรตอนวันหยุด” ภาคภูมิถามกลับอย่างไม่คิดอะไร
“ก็ดูหนัง ฟังเพลง ไปเที่ยวกับเพื่อน ช็อปปิ้ง เล่นโซเชียล ไปนู่นไปนี่ให้มันสนุก ๆ ไง” ปรายฟ้าตอบร่ายยาว
“ไม่เหมือนนายหรอก มุ่งมั่นกับตัวเลขอย่างเดียว”
ภาคภูมิไม่ได้ตอบอะไร เพียงแต่ยกยิ้มมุมปากเล็กน้อย แล้วก็กลับไปสนใจเอกสารต่อ ปรายฟ้ารู้สึกได้ว่าบทสนทนาแบบไม่เป็นทางการแบบนี้เริ่มเกิดขึ้นบ่อยขึ้นระหว่างพวกเขาและมันก็ทำให้บรรยากาศการทำงานดูผ่อนคลายขึ้นกว่าที่คิด
เวลาล่วงเลยไปจนเที่ยง เสียงท้องร้องของปรายฟ้าดังขึ้นเบา ๆ แต่ก็ดังพอให้ภาคภูมิที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามได้ยิน
“หิวแล้วเหรอ” ภาคภูมิถามปรายฟ้าขึ้นมาพร้อมกับอมยิ้มเล็กน้อย
ปรายฟ้าพยักหน้าหงึก ๆ “หิวมากแต่โรงอาหารปิดเพราะวันนี้เป็นวันหยุด”
“มีร้านอาหารข้างนอกที่เปิด” ภาคภูมิพูดพลางลุกขึ้นยืน
“ไปกันไหม”
ปรายฟ้าตาวาว “ไปสิฉันอยากกินอะไรอร่อย ๆ จะแย่แล้ว”
ทั้งคู่เดินออกมาจากห้องทำงาน มุ่งหน้าไปยังร้านอาหารเล็ก ๆ นอกมหาวิทยาลัยที่ ภาคภูมิแนะนำบรรยากาศในร้านดูอบอุ่นและเป็นกันเองต่างจากในโรงอาหารที่เคยไป
“นายรู้ร้านแบบนี้ด้วยเหรอเนี่ย” ปรายฟ้าถามอย่างแปลกใจ
“นึกว่าชีวิตมีแต่ตัวเลขกับสูตรคณิตศาสตร์”
“ผมก็กินข้าวนะครับคุณ ไม่ได้กินสมการ” ภาคภูมิตอบเรียบ ๆ
ปรายฟ้าหัวเราะร่วน “โอ๊ย ตอบอะไรกวน ๆ ตลอด” เธอหยิบเมนูขึ้นมาดู
“ว่าแต่นายชอบดูหนังแนวไหน”
ภาคภูมิคิดเล็กน้อย “แนวสารคดีครับ”
“สารคดี?” ปรายฟ้าตกใจ
“ทำไมชีวิตนายมันจืดชืดขนาดนี้ ไม่มีโรแมนติกคอมเมดี้ ไม่มีแอคชั่นมันส์ ๆ บ้างเหรอ”
“ก็ไม่ค่อยได้ดู”
“น่าสงสารจัง” ปรายฟ้าแกล้งทำหน้าเวทนา
“งั้นเดี๋ยวฉันแนะนำให้” เธอยิ้มกว้าง
“ว่าแต่วันหยุดของนายไม่เคยมีอะไรน่าสนใจเลยเหรอ”
“ก็นี่ไงได้มาทำงานกับคุณ” ภาคภูมิพูดขึ้นลอย ๆ สายตาของเขาเหลือบมองเธอเล็กน้อย ก่อนจะก้มลงอ่านเมนูต่อทำให้ปรายฟ้ารู้สึกร้อนวูบวาบที่ใบหน้าเล็กน้อย
หลังจากกินข้าวเสร็จทั้งคู่ก็กลับมาทำงานต่อปรายฟ้ารู้สึกง่วงหนักมากเพราะเธอทำงานหนักทุกคืน เธอพยายามจะฝืนตัวเองแต่ความง่วงก็เข้าครอบงำ ท้ายที่สุดเธอก็เผลอหลับไปบนโต๊ะทำงาน หัวทิ้งลงบนกองเอกสารอย่างหมดท่า
ภาคภูมิที่กำลังจดบันทึกตัวเลขอยู่เงียบ ๆ ได้ยินเสียงลมหายใจสม่ำเสมอ
เขาเงยหน้าขึ้นมามองปรายฟ้าที่กำลังหลับปุ๋ยไปแล้ว ใบหน้าของเธอดูสงบและน่ารักกว่าตอนที่ตื่นอยู่หลายเท่า ผมที่ปรกลงมาเล็กน้อยทำให้เธอดูอ่อนโยนลงอย่างประหลาด
ภาคภูมิมองเธออยู่นานกว่าที่ควรจะเป็นมุมปากของเขาแอบยกขึ้นเป็นรอยยิ้มบาง ๆ อย่างไม่รู้ตัวก่อนที่เขาจะค่อย ๆ ขยับตัวไปหยิบเสื้อคลุมของเขามาคลุมให้เธอเบา ๆ กันลมเครื่องปรับอากาศและกลับมาทำงานต่อ
เวลาผ่านไปอีกพักใหญ่ปรายฟ้าขยับตัวเธอค่อย ๆ ลืมตาขึ้นมาอย่างงัวเงีย เมื่อเห็นเสื้อคลุมของภาคภูมิคลุมอยู่เธอก็หันไปมองเขาที่กำลังก้มหน้าก้มตาทำงานอยู่
“อ้าวฉันหลับไปนานแค่ไหนเนี่ย” ปรายฟ้าถามเสียงเบา ๆ
ภาคภูมิ เงยหน้าขึ้นมามอง “ไม่นานครึ่งชั่วโมง”
“นายเอาเสื้อคลุมมาให้ฉันเหรอ” ปรายฟ้าถามเธอรู้สึกอบอุ่นขึ้นมาเล็กน้อย
“ลมแอร์แรง” ภาคภูมิตอบสั้น ๆ ก่อนจะกลับไปสนใจงานของตัวเอง
ปรายฟ้าคลี่ยิ้มเล็ก ๆ เธอดึงเสื้อคลุมของเขาเข้ามากอดเบา ๆ ก่อนจะลุกขึ้นบิดขี้เกียจ
“โอ๊ย!!! เมื่อยไปหมดเลย” ปรายฟ้าบ่นพลางบิดตัวไปมา
ภาคภูมิแอบชำเลืองมองเธอแล้วอมยิ้มเล็กน้อย เขาหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาเปิดดูอะไรบางอย่างปรายฟ้าเห็นแผ่นหลังของเขาขยับเล็กน้อยคล้ายกำลังหัวเราะ เธอเลยแอบชะเง้อหน้าไปดู ภาพบนหน้าจอคือคลิปวิดีโอเจ้าแมวที่กำลังเต้นดุ๊กดิ๊กอย่างบ้าคลั่ง ภาคภูมิ ไม่รู้ตัวว่า ปรายฟ้า แอบมองอยู่ เขาหัวเราะหึๆ ในลำคออย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
“นายหัวเราะด้วย” ปรายฟ้า พูดขึ้นเสียงดังอย่างตื่นเต้น
“ฉันไม่เคยเห็นนายหัวเราะแบบนี้เลย ตลกขนาดนั้นเลยเหรอ”
ภาคภูมิสะดุ้งเล็กน้อย รีบเก็บโทรศัพท์ทันที ใบหน้ากลับมาเรียบเฉยเหมือนเดิม
“เปล่าแค่เห็นอะไรตลกนิดหน่อย”
แต่ปรายฟ้าก็ยิ้มกว้างเธอได้เห็นมุมที่แตกต่างของเขาอีกแล้วมุมที่ดูผ่อนคลายและมีอารมณ์ขันซ่อนอยู่ภายใต้ความนิ่งขรึม
เมื่อสิ้นสุดวันทำงานปรายฟ้าเดินกลับหอพักด้วยความรู้สึกที่สับสนในใจการได้อยู่ใกล้ภาคภูมิตลอดทั้งวันทำให้เธอเห็นมุมอื่น ๆ ของเขาที่ไม่เคยเห็นมาก่อน เขาไม่ใช่แค่คนเคร่งขรึมและจริงจังแต่เขาก็มีมุมที่ใจดีและใส่ใจอย่างไม่แสดงออก แถมบางครั้งยังมีความกวน ๆ ที่ทำให้เธออดหัวเราะไม่ได้ ปรายฟ้าเริ่มรู้สึกว่าการอยู่กับภาคภูมิไม่ได้แย่อย่างที่คิดและบางทีเธอก็เริ่มรู้สึกดี ๆ กับเขามากขึ้นเรื่อย ๆ
ขณะเดียวกัน ภาคภูมิ เดินกลับหอพักอย่างเงียบๆ เช่นกัน ภาพของ ปรายฟ้า ที่หัวเราะเสียงใสๆ ตอนที่เขาช่วยเธอลุกขึ้นจากโคลน ภาพที่เธอกำลังสอนเด็กๆ ปลูกต้นไม้ด้วยความอ่อนโยน และภาพที่เธอยิ้มกว้างตอนเห็นคลิปแมวเต้น มันวนเวียนอยู่ในความคิดของเขา ปรายฟ้า ไม่ได้วุ่นวายอย่างเดียว เธอกลับนำสีสันบางอย่างเข้ามาในชีวิตที่เคยมีแต่ความถูกต้องและแม่นยำของเขา การได้อยู่ใกล้เธอทำให้เขารู้สึกสบายใจอย่างประหลาด ภาคภูมิ เริ่มตั้งคำถามกับตัวเองว่าความรู้สึกสบายใจนี้มันคืออะไรกันแน่
ทั้งสองคนต่างก็ก้าวเดินไปข้างหน้าพร้อมกับความรู้สึกใหม่ๆ ที่ก่อตัวขึ้นในใจอย่างช้าๆ โดยที่ต่างฝ่ายต่างก็ยังไม่รู้ว่าความรู้สึกเหล่านั้นจะนำพาพวกเขาไปในทิศทางใด
ตอนที่ 57 บททดสอบครั้งใหม่ “พี่ภูมิคะ ลลินลลินแค่เป็นห่วงพี่ภูมิค่ะ เห็นพี่ภูมิกลับดึกก็เลย” “เป็นห่วงบ้าอะไร” ภาคภูมิขึ้นเสียงแข็ง ดวงตาของเขาแดงก่ำด้วยความโกรธ “เธอเข้ามาในห้องฉันได้ยังไง นี่มันห้องนอนส่วนตัวของฉันนะ” เสียงโวยวายของภาคภูมิปลุกคุณหญิงวลัยลักษณ์ที่กำลังหลับอยู่ในห้องข้าง ๆ ให้ตื่นขึ้นมา เธอรีบวิ่งมาที่ห้องนอนของลูกชายทันทีด้วยท่าทางร้อนรน “ตาภูมิมีอะไรกันลูกทำไมเสียงดังขนาดนี้” คุณหญิงวลัยลักษณ์ถามด้วยความตกใจ เมื่อเห็นลลินอยู่ในห้องลูกชายในสภาพนั้น “แม่นั่นแหละครับทำอะไรของแม่” ภาคภูมิหันไปมองแม่ด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความโกรธและความผิดหวัง “นี่มันมากเกินไปแล้วนะครับถ้าแม่ยังไม่หยุดทำเรื่องบ้า ๆ แบบนี้อีก ผมจะย้ายออกไปอยู่คอนโดผมจะไม่อยู่ที่บ้านหลังนี้อีกแล้ว” คำประกาศกร้าวของภาคภูมิทำให้คุณหญิงวลัยลักษณ์ถึงกับอึ้งไป เธอไม่คิดว่าลูกชายจะกล้าพูดและทำแบบนี้จริงจังถึงขั้นจะย้ายออกไป ใบหน้าของเธอซีดเผือดด้วยความตกใจระคนโกรธ “ตาภูมิลูกพูดอะไรของลูก” คุณหญิงวลัยลักษณ์พยายามเข้าไปจับแขนลูกชายด้วยความโมโห แต่ภาคภูมิสะบัดแขนออกอย่างรุนแรง “ผมพูดจริงผมทนไม่ไหวแล้ว”
ตอนที่ 57 บททดสอบครั้งใหม่ในห้องปฏิบัติการของมหาวิทยาลัย แสงไฟนีออนสว่างจ้ากระทบกับกองอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์และชิ้นส่วนหุ่นยนต์ที่กระจัดกระจายอยู่เต็มโต๊ะภาคภูมิ ณัฐพลและชัยวัฒน์กำลังง่วนอยู่กับการประกอบและปรับแต่งหุ่นยนต์เก็บขยะอย่างขะมักเขม้น เวลากระชั้นชิดเข้ามาทุกที เหลืออีกเพียงสองวันเท่านั้นที่พวกเขาจะต้องเตรียมตัวเดินทางไปแข่งขัน“โอเคพลลองรันโปรแกรมนี้ดูอีกที”ภาคภูมิบอกเพื่อนขณะที่เขาก้มหน้าตรวจสอบแผงวงจรซับซ้อน เหงื่อผุดพรายบนหน้าผาก แต่แววตาของเขากลับเต็มไปด้วยความมุ่งมั่นที่กลับมาอีกครั้งณัฐพลพยักหน้าก่อนจะกดปุ่มบนแป้นพิมพ์หุ่นยนต์ตัวจิ๋วส่งเสียงอู้อี้และเริ่มเคลื่อนที่อย่างกระท่อนกระแท่น“ยังติด ๆ ขัด ๆ อยู่นะเนี่ย” ชัยวัฒน์บ่นพลางใช้ผ้าเช็ดคราบน้ำมันที่เปื้อนมือเสียงประตูห้องเปิดออกเบา ๆ กัสและมีนาเดินเข้ามาพร้อมถุงพลาสติกขนาดใหญ่ที่ส่งกลิ่นหอมของขนมปังและกาแฟยามค่ำคืน“พวกนายยังไม่กลับอีกเหรอเนี่ย” กัสทักทายด้วยรอยยิ้มสดใส“นี่พวกเราเอาเสบียงมาให้แล้วนะ”“ของกินมาแล้ววว” ณัฐพลร้องอย่างดีใจเขาเงยหน้าขึ้นมองกัสด้วยดวงตาเป็นประกาย“โห ขอบใจมากเลยกัส รู้ใจที่สุด”กัสส่งถ
ตอนที่ 56 ความทรงจำที่ไม่เลือนหายภาคภูมิใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่ที่ห้องทดลองของมหาวิทยาลัย เขาทุ่มเทให้กับการทำหุ่นยนต์เก็บขยะอย่างเต็มที่ตั้งแต่เช้าจรดค่ำใบหน้าที่เคยซีดเซียวเริ่มมีเลือดฝาดมากขึ้นแววตาที่เคยว่างเปล่ากลับมามีประกายของความมุ่งมั่นอีกครั้ง ชัยวัฒน์และณัฐพลที่คอยอยู่เคียงข้าง รู้สึกดีใจที่เห็นภาคภูมิกลับมาเป็นตัวของตัวเองได้อีกครั้ง“ภูมิ แกนี่เก่งจริง ๆ ว่ะ” ชัยวัฒน์พูดชื่นชม เมื่อเห็นภาคภูมิแก้ไขปัญหาทางเทคนิคที่ซับซ้อนได้อย่างรวดเร็ว“ใช่ แกดูสนุกขึ้นเยอะเลยนะ” ณัฐพลเสริม“กลับมาเป็นตัวเองเร็ว ๆ นะภูมิ” ชัยวัฒน์พูดกับเพื่อนแล้วก็ยิ้มขึ้นมาเมื่อเห็นเพื่อนดีขึ้นเล็กน้อยภาคภูมิยิ้มจาง ๆ “ก็ถ้าไม่ทำอะไรก็คิดมาก” เขาตอบแล้วก็จ้องมองหุ่นยนต์ที่กำลังใกล้จะเสร็จ แม้ร่างกายจะเหนื่อยล้าแต่สมองของภาคภูมิกลับไม่เคยหยุดพัก เขามักจะนึกถึงปรายฟ้าอยู่เสมอโดยเฉพาะอย่างยิ่งตอนที่เขาจดจ่ออยู่กับการสร้างสรรค์สิ่งใหม่ ๆ มันทำให้เขานึกย้อนไปถึงวันแรกที่ได้เจอกัน วันที่ปรายฟ้าเดินเข้ามาในชีวิตของเขาแม้ครั้งแรกจะไม่ชอบหน้ากันแต่หลังจากนั้นมันเป็นความทรงจำที่สวยงาม แต่ก็เจ็บปวดเหลือเกินในตอ
ตอนที่ 55 สายสัมพันธ์ที่ถูกตัดขาดในความเงียบสงบของบ้านต่างจังหวัด ปรายฟ้าหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา กดเบอร์โทรออกหาโอมด้วยใจที่ว้าวุ่น เธออยากรู้ข่าวคราวของภาคภูมิเหลือเกิน แม้จะพยายามตัดใจ แต่ความห่วงใยก็ยังคงกัดกินในใจ“ฮัลโหลโอม” ปรายฟ้ากรอกเสียงลงไปเบา ๆ“ปรายฟ้า แกสบายดีนะ” โอมตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงที่บ่งบอกถึงความเป็นห่วง“ฉันสบายดีแล้วภาคภูมิเขาเป็นยังไงบ้าง” ปรายฟ้าถามด้วยน้ำเสียงที่แผ่วลงเธอรู้สึกเจ็บปวดทุกครั้งที่ต้องเอ่ยชื่อเขาโอมเงียบไปชั่วขณะ ก่อนจะตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงที่จริงจัง“เขายังไม่ค่อยดีเลยปรายฟ้า เขายังคงเสียใจมาก แต่ดูเหมือนว่าตอนนี้กำลังทำหุ่นยนต์ไปแข่งอะไรสักอย่างนี่แหละ แล้วก็เจอเขาครั้งหนึ่ง เขาตรงเข้ามาจะต่อยฉันแต่โชคดีที่เพื่อน ๆ ห้ามไว้” โอมเล่าเหตุการณ์ครั้งก่อนที่เจอภาคภูมิคำพูดของโอมเหมือนมีดกรีดแทงใจปรายฟ้า น้ำตาเอ่อคลอขึ้นมาทันที เธอรู้สึกผิดที่ทำให้ภาคภูมิต้องทุกข์ทรมานขนาดนี้“ฉันเสียใจเหลือเกิน” “แกทำในสิ่งที่แกต้องทำ แกเองก็เจ็บปวดมากกว่าใคร”ก่อนจะวางสายไปโอมก็เล่าให้ปรายฟ้าฟังเรื่องที่กัสกับมีนานัดเจอเขาเพื่อถามว่าปรายฟ้าอยู่ที่ไหน “กัสกับมีนถามห
ตอนที่ 54 ความจริงที่ถูกซ่อนกัสและมีนานัดเจอโอมที่ร้านกาแฟแห่งหนึ่งพวกเธอนั่งลงตรงข้ามโอมด้วยสีหน้าจริงจัง“โอมพวกฉันมีเรื่องอยากถามหน่อย” กัสเริ่มพูดโอมเงยหน้าขึ้นมองเพื่อนอย่างสงบ เขารับรู้ถึงความคาดหวังในแววตาของกัสและมีนา“ฉันรู้ว่าเธอสองคนจะถามเรื่องอะไร” โอมตอบเสียงเรียบ“แต่ฉันบอกไม่ได้จริง ๆ”“ทำไมจะบอกไม่ได้ล่ะโอม” มีนาพูดขึ้นด้วยความหงุดหงิด“ปรายฟ้าหายไปไหน นายดูสนิทสนมก่อนที่ปรายจะบอกเลิกภูมิ นายต้องรู้เรื่องนี้แน่ ๆ ใช่ไหม”โอมถอนหายใจยาวเขาก้มหน้าลงเล็กน้อย“ฉันบอกพวกเธอไม่ได้จริง ๆ มันเป็นคำสัญญาที่ฉันให้ไว้กับปรายฟ้า”“คำสัญญาอะไรวะ” กัสถามเสียงดังขึ้นเล็กน้อย“แกไม่รู้เหรอว่าภูมิเขาเสียใจมากแค่ไหน เขากลายเป็นคนละคนไปแล้วนะ”โอมเงยหน้าขึ้นดวงตาของเขาฉายแววเจ็บปวด“ฉันรู้ฉันรู้ดี” เขาหยุดชะงักไปครู่หนึ่ง“แต่ฉันบอกไม่ได้จริง ๆ ขอโทษนะกัส มีน”กัสและมีนามองหน้ากันอย่างผิดหวัง พวกเธอพยายามจะคะยั้นคะยอต่อไป แต่เมื่อเห็นแววตาแน่วแน่ของโอม พวกเธอก็รู้ว่าคงไม่มีประโยชน์ที่จะเค้นถามอะไรจากเขาได้อีกในตอนนี้ที่มหาวิทยาลัยอาจารย์เดินเข้ามาหาภาคภูมิ ชัยวัฒน์และณัฐพล“ภาคภูมิ
ตอนที่53ปรายฟ้าผู้เดียวดายกับเส้นทางที่เจ็บปวดปรายฟ้าก้าวเท้าเข้าสู่รั้วมหาวิทยาลัยแห่งใหม่ด้วยความรู้สึกแปลกแยก ทุกย่างก้าวของเธอดูเชื่องช้าและไร้เรี่ยวแรง หน้าตาซีดเซียวและดวงตาบวมช้ำจากการร้องไห้เมื่อคืน ที่นี่แตกต่างจากที่เก่าอย่างสิ้นเชิงไม่มีเสียงหัวเราะของกัสและมีนาไม่มีรอยยิ้มอบอุ่นของภาคภูมิ ไม่มีเพื่อนคนไหนที่คุ้นเคย ทุกคนรอบข้างดูแปลกหน้าไปหมด ปรายฟ้าพยายามปรับตัว เธอเข้าร่วมกิจกรรมฟังอาจารย์บรรยายแต่จิตใจของเธอล่องลอยไปไกลแสนไกล“เฮ้อ” เธอถอนหายใจยาวอย่างไม่รู้ตัวขณะนั่งอยู่คนเดียวในโรงอาหารกว้าง ๆ มองดูนักศึกษาคนอื่น ๆ ที่กำลังหัวเราะพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน ความรู้สึกเหงาและโดดเดี่ยวเข้าครอบงำเธออย่างรุนแรง เธอคิดถึงมหาวิทยาลัยเก่าที่เต็มไปด้วยความทรงจำดี ๆ คิดถึงเพื่อน ๆ ที่คอยอยู่เคียงข้างเสมอหลังเลิกเรียนปรายฟ้าเดินไปตามทางเดินที่เงียบสงบ เธอเลือกมุมที่ไม่มีคนพลุกพล่าน แล้วทรุดตัวลงนั่งบนม้านั่งใต้ต้นไม้ใหญ่ ใบไม้ที่ร่วงหล่นลงมาบ่งบอกถึงกาลเวลาที่ผ่านไปอย่างรวดเร็ว ในมือของเธอมีโทรศัพท์ที่เปิดดูรูปภาพของภาคภูมิซ้ำแล้วซ้ำเล่า รอยยิ้มของเขาดูอบอุ่นและมีความสุขในรูปภา