บทที่ 3
พูดออกมา จอกสุราถูกเขวี้ยงไปทางเหมยซิงอย่างรวดเร็ว ทั้งยังแฝงไปด้วยลมปราณอันเข้มข้นเสียด้วย เหมยซิงเบี่ยงตัวหลบได้ทันอย่างว่องไว ทว่าตัวนางกลับถูกบุรุษตรงหน้าคว้าตัวเข้ามากักขังในอ้อมกอด กายสูงแผ่กลิ่นอายสังหารออกมาอย่างเข้มข้น นางเป็นวรยุทธ์จริงด้วย เพราะหากเป็นคนธรรมดาทั่วไปย่อมหลบจอกสุราของเขาไม่พ้นอย่างแน่นอน! "หญิงคณิกาเช่นเจ้าเหตุใดถึงได้มีวรยุทธ์ พูด!" เหมยซิงแสร้งทำหน้าตาเลิ่กลั่ก เขาฉลาดยิ่งนัก "ท่านอ๋องพูดเรื่องอะไรเพคะ หม่อมฉันเป็นเพียงนางระบำในหอคณิกาที่ขายศิลป์เท่านั้น สตรีเช่นหม่อมฉันจะมีวรยุทธ์ได้อย่างไร" เว่ยสือหยางพลันขบกรามแน่นเมื่อสตรีตรงหน้ายังกล้าปากแข็ง ท่าทางของนางดูหวาดกลัวเขาเหลือเกิน ทว่าดวงตาคู่นี้กลับแย้มยิ้มราวกับดีใจเสียอย่างนั้น "ในเมื่อเจ้าปากแข็งบอกว่าตัวเองเป็นเพียงสตรีที่มาจากหอคณิกา เช่นนั้นราตรีนี้เจ้าก็จงทำหน้าที่ของเจ้าซะ ปรนนิบัติข้าทั้งคืนจนกว่าข้าจะพอใจ!" เขาเอ่ยขู่เสียงเข้ม "หม่อมฉันไม่ขายเรือนร่างเพคะ ต่อให้เป็นท่านอ๋องหม่อมฉันก็ไม่ขาย" แววตาของเหมยซิงพลันแข็งกร้าวขึ้นมาทันที สร้างความสนุกสนานให้กับเว่ยสือหยางอย่างน่าประหลาด ด้วยทุกคราเขาจะพบเจอแต่สตรีที่ยอมพลีกายให้กับเขา เมื่อได้พบนางที่ไม่ยอมเช่นนี้ก็ยิ่งรู้สึกสนุกยิ่งนัก ราวกับว่านางได้ปลุกสัญชาตญาณแห่งสัตว์ป่าที่เคยหลับใหลให้ตื่นขึ้นมา! "หากข้าต้องการเจ้าจะทำอะไรได้เล่า เจ้าคิดว่าจะหนีข้าพ้นเช่นนั้นหรือ" "หม่อมฉันย่อมหนีท่านอ๋องไม่พ้นอยู่แล้ว ทว่าท่านอ๋องผู้เป็นถึงแม่ทัพใหญ่คุมกำลังทหารเรือนแสน กลับคิดจะข่มเหงสตรีตัวเล็ก ๆ อย่างหม่อมฉันหรือเพคะ หากทหารผู้อยู่ใต้บังคับบัญชาทราบเข้าจะไม่ถือเป็นการเสียเกียรติท่านอ๋องหรืออย่างไร" ริมฝีปากเล็กภายใต้ผ้าคลุมหน้าโต้เถียงอย่างไม่ลดละ "หึ! ปากกล้าไม่น้อยเลย กล้าพูดจาแดกดันข้าเช่นนั้นหรือ" "หม่อมฉันมิกล้าเพคะ" "ผิดแล้ว... เจ้ากล้ามากเลยต่างหากเล่า" เว่ยสือหยางปล่อยตัวของเหมยซิงออกจากอ้อมแขน ก่อนจะไปนั่งบนเก้าอี้แล้วหยิบกาสุราขึ้นมารินใส่จอกใบใหม่ สร้างความมึนงงให้กับเหมยซิงเป็นอย่างมาก นางตามอารมณ์เขาไม่ถูกเสียแล้ว... ท่ามกลางความเงียบที่มีเพียงเสียงการเคลื่อนไหวของเว่ยสือหยาง ในที่สุดเหมยซิงก็เอ่ยปากกับเขาก่อน เขาใช้ความเงียบเพื่อทำให้คนอื่นรู้สึกกดดันสินะ "หม่อมฉันมีบางอย่างที่อยากจะเสนอท่านอ๋องเพคะ" "ว่ามาสิ... สายลับจากแคว้นจ้าว" "ทรงรู้ว่าหม่อมฉันมาจากแคว้นจ้าวด้วยหรือเพคะ การข่าวของท่านอ๋องช่างฉับไวยิ่งนัก" เหมยซิงเอ่ยชื่นชมจากใจจริง เช่นนี้นางก็มีหวังแล้วใช่หรือไม่ "เจ้าดีใจที่ข้ารู้ว่าเจ้ามาจากแคว้นจ้าวอย่างนั้นหรือ" เว่ยสือหยางมองสตรีตรงหน้าด้วยความสงสัย "ก็ไม่เชิงเพคะ หม่อมฉันเองก็ไม่คิดว่าจะถูกท่านอ๋องรู้ตัวตนรวดเร็วถึงเพียงนี้" เหมยซิงคลี่ยิ้มบาง ก่อนจะนั่งลงบนเก้าอี้ รินสุราใส่จอกของตนเองแล้วดื่มรวดเดียวจนหมดจอก "หม่อมฉันไม่ได้อยากจะมาเป็นสายลับเพคะ เพียงแต่เพราะความจำเป็นจึงมิอาจหลีกเลี่ยงได้ การก่อสงครามไม่ใช่เรื่องดี หม่อมฉันมีเพียงความปรารถนาเดียวคือขอให้ท่านอ๋องโปรดไว้ชีวิตคนแคว้นจ้าวที่ไม่รู้เรื่องนี้ด้วยเพคะ" "แล้วข้าจะได้อะไร ในเมื่อข้ารู้ตัวตนของเจ้าแล้ว ข้าจะใช้ทัณฑ์ทรมานเจ้าให้พูดความจริงออกมาก็ย่อมได้ ข้าไม่เห็นจำเป็นต้องขอให้เจ้าร่วมมือด้วยเลยนี่" เขาเอ่ยตอบอย่างไม่แยแส นางมีอะไรคู่ควรที่จะร่วมมือกับเขาอย่างนั้นหรือ "ท่านอ๋องแน่ใจหรือเพคะว่าไม่อยากร่วมมือกับหม่อมฉัน ถ้าหม่อมฉันเดาไม่ผิดการที่ท่านอ๋องยังไว้ชีวิตหม่อมฉันมาจนถึงตอนนี้ก็เพราะอยากสืบข่าวจากแคว้นจ้าวโดยใช้หม่อมฉันไม่ใช่หรือเพคะ จะไม่ดีกว่าหรือถ้าได้คนของแคว้นจ้าวมาเป็นสายลับให้กับตนเอง" เหมยซิงแสยะยิ้มเจ้าเล่ห์ นางรู้ดีว่าตัวเองนั้นยังมีประโยชน์ต่อเขาไม่มากก็น้อยเลยล่ะ "หึ! คิดว่าเจ้ามีค่ามากถึงเพียงนั้นเลยหรือ สำคัญตัวเองผิดไปหรือไม่" เว่ยสือหยางคว้ามีดสั้นขึ้นมาจู่โจมเหมยซิงอีกครั้ง เขาประชิดตัวนางอย่างรวดเร็ว ทว่าเหมยซิงก็ไม่ได้คิดจะยอมอยู่เฉย หญิงสาวเบี่ยงตัวหลบฉากกับการจู่โจมนี้ ก่อนจะใช้ผงยาสลบที่ซ่อนเอาไว้ซัดเข้าไปใส่ใบหน้าคมของเว่ยสือหยางทั้งหมด เพราะความไม่ระวังตัวให้ดีทำให้เว่ยสือหยางเผลอสูดดมผงยาสลบเข้าไปเต็มปอด "ขอท่านอ๋องหลับสักหนึ่งชั่วยามนะเพคะ" "จะ เจ้า!" เขาประมาทนางเกินไป เหมยซิงยืนยิ้มหวานมองดูร่างสูงที่ซวนเซก่อนจะสลบไปในทันที... อย่าคิดว่านางจะยอมให้เขาไล่ต้อนได้คนเดียวเล่า! หนึ่งชั่วยามต่อมา เว่ยสือหยางค่อย ๆ ลืมตาตื่นขึ้นมาด้วยความมึนงงเล็กน้อย ก่อนจะรู้สึกได้ว่าตอนนี้เขาได้มานอนอยู่บนเตียงของตน ทว่าแขนและขากลับถูกมัดเอาไว้ด้วยผ้าอย่างแน่นหนา เขาใช้แรงเพียงนิดก็สามารถหลุดจากพันธนาการนี้ได้ แต่เพราะอยากรู้ว่าสตรีที่นอนอยู่ด้านข้างนั้นคิดจะทำอะไรกันแน่จึงได้นอนเฉยเสีย “ทรงตื่นแล้วหรือเพคะ” เหมยซิงเอ่ยถามคนข้างกาย ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่นางจะแบกเขาขึ้นมานอนบนเตียงและมัดเอาไว้เช่นนี้ “เจ้าคิดจะทำอะไร” “หม่อมฉันแค่อยากจะคุยกับท่านอ๋องอย่างสันติวิธี โดยไม่ถูกจู่โจมอีกครั้งก็เท่านั้นเองเพคะ" เหมยซิงลุกขึ้นนั่งบนเตียง สบตากับนัยน์ตาคมดุที่ทอดมองมาทางอย่างเอาเรื่อง ก็รู้หรอกว่าเขาเป็นคนใจร้อนและหุนหันพลันแล่นไปบ้าง แต่ก็ไม่คิดว่าเขาจะรุนแรงไม่ให้โอกาสนางได้อธิบายอะไรเลย ช่างดื้อด้านมิน้อยเลย! "เช่นนั้นก็พูดมาสิว่าเจ้ามีค่าอันใดที่ข้าควรจะไว้ชีวิต ทั้งที่เจ้าเป็นสายลับของแคว้นจ้าวที่ถูกส่งตัวมาที่นี่" "หม่อมฉันไม่ใช่สายลับธรรมดาแต่ยังรู้เรื่องภายในของแคว้นจ้าวมิน้อยเลย ขอเพียงท่านอ๋องยอมช่วยหม่อมฉันเรื่องหนึ่ง หม่อมฉันก็จะยอมช่วยงานท่านอ๋องอย่างถวายหัวเลยเพคะ" "แล้วข้าจะมั่นใจได้อย่างไรว่าเจ้าจะไม่หลอกข้า คนแคว้นจ้าวเชื่อถือได้หรือ" ใบหน้าคมแสยะยิ้มอย่างขำขัน คิดว่าเขาดูโง่เขลามากเลยหรือที่จะเชื่อคำพูดของนางที่เพิ่งพบกันครั้งแรก เหมยซิงได้ยินเช่นนั้นก็ทอดถอนใจออกมา เขายังคงระแวงนางไม่เลิกรา แต่ก็พอเข้าใจได้ ถ้าเป็นนางก็คงคิดไม่ต่างจากเขา "หม่อมฉันจะบอกเส้นทางลับเข้าสู่แคว้นจ้าว ครานี้ท่านอ๋องก็จะสามารถส่งคนเข้าไปสอดแนมยังแคว้นจ้าวได้โดยง่าย ทั้งหม่อมฉันยังจะเล่าเรื่องของคนในแคว้นจ้าวอย่างละเอียด รวมถึงนิสัยใจคอของผู้คนและการทำการค้า หากคนของท่านอ๋องแฝงตัวเข้าไปโดยอ้างว่าเป็นพ่อค้าก็จะง่ายขึ้น ท่านอ๋องคิดเช่นนั้นหรือไม่เพคะ" เว่ยสือหยางพลันนัยน์ตาลุกวาวเมื่อได้ยิน การเข้าไปสอดแนมยังแคว้นจ้าวถือว่ายากเย็นนัก ถ้านี่ไม่ใช่กลวงก็นับว่าคุ้มค่าที่จะเสี่ยง "เจ้าลองเขียนแผนที่มาก่อน ถ้าคนของข้าสามารถเข้าไปได้และกลับออกมาได้โดยที่ไม่ถูกสังหารเสียก่อน ข้าถึงจะเชื่อเจ้า" "เพคะ" เหมยซิงพลันยิ้มกว้างเมื่อคิดว่าข้อเสนอของนางใกล้จะบรรลุผล นางเดินไปยังโต๊ะหนังสือข้างริมหน้าต่าง ก่อนจะฝนหมึกแล้วจรดปลายพู่กันวาดแผนที่ออกมาอย่างชำนาญ เวลาผ่านไปราวหนึ่งก้านธูปแผนที่ของนางก็เสร็จสิ้น หญิงสาวเดินถือกระดาษให้คนที่นอนบนเตียงได้ตรวจทานดู "ซับซ้อนยิ่งนัก!" เว่ยสือหยางอุทานออกมาด้วยความอึ้ง ไม่น่าเล่าพวกเขาถึงแอบเข้าไปยังแคว้นจ้าวไม่ได้เลย "นี่เป็นเพียงหนึ่งเส้นทางของแคว้นจ้าวที่ทางเข้าไม่สลับซับซ้อนนัก ใช้เวลาเพียงครึ่งวันก็ถึง หม่อมฉันขอแนะนำให้คนของท่านอ๋องใช้หญ้าหยดน้ำค้างที่หาได้ง่ายในที่สูงของแคว้นเว่ยมาทาที่ตัวเพื่อต้านแมลงพิษเพคะ นี่ถือเป็นความจริงใจของหม่อมฉันเพคะ" เว่ยสือหยางยกยิ้มออกมาด้วยความยินดี สตรีผู้นี้ถือว่ารู้ความไม่น้อยเลย หากเก็บเอาไว้ข้างกายคงดีมิใช่น้อย เช่นนั้นเขาจะไว้ชีวิตของนางเอาไว้ก่อนก็แล้วกัน ถ้านางพูดผิดแม้แต่คำเดียวเขาค่อยสังหารนางทิ้งก็ยังไม่สาย!ตอนพิเศษ 2เมิ่งเอ๋อร์เหมยซิงต้องมาอยู่ไฟในห้องด้านข้างเพื่อปรับสมดุลร่างกายที่เพิ่งผ่านการคลอดบุตร ทว่าในทุกวันเว่ยสือหยางจะอุ้มบุตรสาวตัวน้อยมาหานาง เพื่อมาดื่มน้ำนมจากอกของนางทุก ๆ 1 ชั่วยาม (2 ชั่วโมง) หลังจากนั้นก็จะส่งเว่ยซิงเมิ่งให้กับแม่นมไปดูแลต่อ ส่วนเว่ยสือหยางก็จะอยู่เป็นเพื่อนเหมยซิง พูดคุยกับนางเพื่อให้คลายความเหงาลง"พรุ่งนี้ท่านหมอเทวดาและท่านแม่ยายก็น่าจะเดินทางมาถึงแล้วล่ะ พี่ได้ส่งคนไปคอยรับพวกท่านทั้งสองแล้ว""ขอบพระทัยเพคะเสด็จพี่ ยังคงเป็นเสด็จที่นึกถึงข้าเสมอมา""ก็เจ้าเป็นคนที่พี่รักอย่างไรเล่า ตอนนี้เจ้าคงอยากจะพบหน้าท่านแม่ยายมากที่สุดใช่หรือไม่ รออีกนิดนะซิงเอ๋อร์""เพคะเสด็จพี่ ว่าแต่... ไทเฮาก็ยังทรงประทับที่จวนของเราหรือเพคะ นี่ก็นานกว่าสิบวันแล้วนะเพคะ""หึ ๆ เห็นทีไทเฮาจะทรงมาเป็นแขกของจวนเราไปอีกนานเลยล่ะ พระนางทรงเอ็นดูเมิ่งเอ๋อร์ของเรามากเหลือเกิน ในทุกวันจะต้องไปที่ห้องของเมิ่งเอ๋อร์เพื่อพูดคุยหยอกล้อ แม้ส่วนมากเมิ่งเอ๋อร์จะนอนหลับก็ตาม" ใบหน้าหวานพลันคลี่ยิ้มหวานเมื่อรู้เช่นนี้ "ทำไมหม่อมฉันถึงรู้สึกว่าตัวเองจะถูกแย่งบุตรสาวไปเลยล่ะเพคะ" นางเอ่ย
ตอนพิเศษ 1ดวงใจของทุกคนท้องของเหมยซิงโตขึ้นมากทุกวัน จนตอนนี้ก็ใกล้จะถึงกำหนดคลอดแล้ว เจิ้งไทเฮาได้ส่งหมอหญิงที่มีฝีมือดีในการทำคลอดมาที่จวนชินอ๋อง ในขณะที่กู้ฮองเฮาได้ส่งนางกำนัลให้มาช่วยดูแลเหมยซิงทุกฝีก้าว การดูแลเหมยซิงที่ท้องแก่จะต้องระวังทุกฝีก้าวย่าง จะให้ผิดพลาดไม่ได้เป็นอันขาด "โอ๊ย! ข้าเจ็บท้องเหลือเกินจูจู" เหมยซิงจับท้องของตนเมื่อรู้สึกถึงความปวดหน่วงตรงท้อง ใบหน้าหวานขมวดมุ่นด้วยความทรมานที่เคยพานพบเป็นครั้งแรก "พระชายาจะคลอดแล้วหรือเพคะ มะ หม่อมฉันจะรีบไปทูลท่านอ๋องเพคะ"จูจูรีบวิ่งไปบอกกับท่านหลิ่งเอ้อร์ให้ไปส่งข่าวท่านอ๋องที่อยู่ในท้องพระโรงทันที ในขณะที่นางกำนัลของกู้ฮองเฮาก็เข้ามาประคองเหมยซิงไปยังห้องทำคลอด โดยมีท่านหมอหญิงรีบเข้ามาดูอาการโดยไวหลังจากนั้นภายในจวนชินอ๋องก็ได้ตกอยู่ในสถานการณ์วุ่นวาย บ่าวไพร่ในจวนต่างมายืนรอกันอยู่หน้าเรือนของเหมยซิง เฝ้ารอที่จะร่วมยินดีกับการให้กำเนิดท่านชายหรือท่านหญิงน้อยเว่ยสือหยางที่ทราบข่าวก็รีบตรงดิ่งกลับจวนทันที ถึงแม้ว่าในขณะนั้นในท้องพระโรงกำลังประชุมเรื่องสำคัญ ทว่าเขาหาได้สนใจไม่ ซึ่งเว่ยเฟยอวี่ก็ได้สั่งให้เลิกประชุ
บทส่งท้ายหลังจากงานแต่งงานไม่กี่วัน ก็มีเหตุให้เว่ยสือหยางต้องเร่งเดินทางไปยังแคว้นเซี่ย เพื่อไปช่วยศิษย์น้องเล็กทำสงครามกับพวกไม่กลัวตาย กล้าดีอย่างไรถึงกล้ามาชิงสตรีในดวงใจของเซี่ยหย่งจื้อช่างไม่กลัวตายเสียเลย!หลายเดือนต่อมากองทัพของชินอ๋องได้เดินทางเข้าสู่เมืองหลวงหลังจากที่ใช้ระยะเวลาเกือบสามเดือน ทั้งที่ความจริงควรจะถึงตั้งแต่เดือนที่แล้วทว่าเพราะเว่ยสือหยางเป็นห่วงเหมยซิงและท่านแม่ยาย จึงได้ระมัดระวังเป็นพิเศษ อีกทั้งตัวของเหมยซิงก็มีอาการไม่สู้ดีนัก เขาผู้เป็นสามีก็ต้องดูแลนางให้ดีที่สุด"ในที่สุดเจ้าก็มาถึงสักทีนะอาหยาง ข้ารอเจ้ามาหลายเดือนแล้ว เสด็จแม่เองก็ทรงบ่นหาเจ้าทุกวันจนข้าตอบไม่ถูกแล้ว"'เว่ยเฟยอวี่' ฮ่องเต้แห่งแคว้นเว่ย ผู้เป็นพระเชษฐาต่างมารดาของเว่ยสือหยาง ถึงแม้ว่าไทเฮาผู้เป็นพระมารดาของฮ่องเต้จะไม่ใช่มารดาแท้ ๆ ของเว่ยสือหยาง แต่เพราะรับเลี้ยงเว่ยสือหยางมาตั้งแต่เยาว์วัย จึงรักใคร่มิต่างจากบุตรชายตนเอง อีกทั้งเว่ยเฟยอวี่ก็ทรงรักเอ็นดูน้องชายผู้นี้เป็นอย่างมาก"ขออภัยฝ่าบาทที่กระหม่อมเดินทางมาถึงล่าช้าพ่ะย่ะค่ะ"เว่ยเฟยอวี่โบกมือให้เว่ยสือหยางลุกขึ้น ที่พระองค
บทที่ 30ชุดเจ้าสาวที่เปื้อนเลือดฉินจินมิอาจรับความจริงในเรื่องนี้ได้ ตัวเขารู้สึกสมเพชตัวเองยิ่งนัก ทว่าความรู้สึกที่เด่นชัดมากที่สุดคือความโกรธ ที่เหมยซิงมาล่วงรู้ความในใจของตน"เจ้าไม่คิดจะรักข้าใช่หรือไม่""ใช่! คนเดียวที่ข้ารักคือท่านอ๋อง และจะเป็นท่านอ๋องตลอดไป""ดี ดีมาก... เช่นนั้นข้าก็จะทำให้เจ้าเสียใจไปตลอดกาลที่มาทำร้ายความรู้สึกของข้าเช่นนี้ ย๊ากกก!"ดาบในฝักถูกควักออกมาฟาดฟันใส่ร่างของเหมยซิงด้วยความรุนแรง ทว่าตัวนางที่ได้รับคำชื่นชมเรื่องวรยุทธ์ในหมู่สายลับ จะพลาดท่าให้กับฉินจินในดาบเดียวได้อย่างไร "หึ! ฝีมือเจ้าต่ำกว่าข้ามากนักฉินจิน"ร่างบอบบางเคลื่อนไหวอย่างว่องไว ทว่ากลับพลิ้วไหวดุจดั่งสายลมในวสันต์ฤดู ตัวนางดีดกายหลบการโจมตีทุกกระบวนท่าของฉินจินได้ทั้งหมด ก่อนที่มีดสั้นในมือจะเขวี้ยงเข้าใส่จุดตายของฉินจิน แต่ตัวเขาเองก็ไม่ได้อ่อนด้อยถึงเพียงนั้น "ใช่ ข้ายอมรับว่าข้าสู้เจ้าไม่ได้"ใบหน้าอันหล่อเหลาของฉินจินผุดยิ้มร้าย ก่อนจะสาดผงสลายลมปราณเข้าใส่ร่างของเหมยซิงอย่างรวดเร็ว เหมยซิงที่ระวังตัวอยู่ก่อนแล้วหมุนตัวหลบออกไปได้ทัน แต่เพราะสายลมที่พัดเข้ามาทางหน้าต่าง ทำให
บทที่ 29แหย่หนวดพยัคฆ์หลังจากเสร็จสิ้นพิธีเช้าในการคำนับฟ้าดินและพ่อแม่แล้ว เหมยซิงก็ถูกแม่สื่อพาตัวไปนั่งรออยู่ในห้องหอ ในขณะที่เว่ยสือหยางจำต้องไปดื่มสุรากับแขกที่มาร่วมงาน ซึ่งงานนี้โจวหมิงลู่ได้เป็นตัวตั้งตัวตีในการขอคารวะจอกสุรากับเว่ยสือหยางไปหลายจอก ด้วยตัวเองก็รู้สึกหมั่นไส้ท่านอ๋องผู้นี้ไม่น้อยเลยทางด้านเหมยซิงที่นั่งรออยู่ในห้องหอนั้น โดยมีจูจูผู้บัดนี้ได้กลายมาเป็นสาวใช้ข้างกายของนางแล้ว สาวใช้ตัวน้อยเดินถือถาดอาหารของว่างเข้ามา ด้วยกลัวว่าผู้เป็นนายจะรอนานจนหิว "พระชายาทรงหิวหรือไม่เพคะ หม่อมฉันได้ให้คนครัวจัดทำน้ำแกงปลามาให้เพคะ และยังมีขนมดอกกุ้ยฮวาด้วยนะเพคะ"เหมยซิงคลี่ยิ้มบางด้วยความขอบคุณ ก่อนจะเดินไปที่โต๊ะเพื่อทานอาหารรองท้อง ในตอนที่นางกำลังตักอาหารเข้าปาก สัมผัสอันว่องไวพลันได้ยินเสียงเคลื่อนไหวจากบนหลังคา เหมยซิงวางช้อนลงบนโต๊ะ ก่อนจะใช้ปลายนิ้วจุ่มลงไปในถ้วยน้ำชา เขียนอักษรให้จูจูได้อ่าน 'มีคนร้าย ไปตามท่านอ๋อง'นับว่าไม่เสียแรงที่เหมยซิงเคยสอนตัวอักษรให้กับจูจู และอีกฝ่ายก็เรียนรู้ได้อย่างรวดเร็วนัก "เอ่อ พระชายาอยากได้สิ่งใดอีกหรือไม่เพคะ" จูจูพยายามไม่
บทที่ 28แก้วตาดวงใจจวนเจ้าเมืองเป่ยซีหานซีอิ๋งผู้เป็นมารดาของเหมยซิงกำลังบรรจงปักปิ่นทองระย้า อันเป็นปิ่นที่สืบทอดมาจากคนตระกูลหานลงบนมวยผมของเหมยซิงด้วยความตื้นตันใจ ทุกคราที่มองปิ่นปักผมอันนี้ นางจะคิดถึงวันที่ท่านพ่อปักปิ่นให้นางในวันที่ถูกส่งตัวเข้าสู่วังหลังของจ้าวเทียน เพราะสูญเสียมารดาไปตั้งแต่ยังเยาว์วัย นางจึงมีเพียงท่านพ่อที่อยู่ข้างกายนางมาโดยตลอด"ซิงเอ๋อร์ของแม่งามมากเหลือเกิน หากท่านตายังอยู่คงจะดีใจกับเจ้าอย่างแน่นอน" หานซีอิ๋งถอยออกมาพินิจดูบุตรสาวที่แต่งกายด้วยชุดมงคลสีแดงสดอย่างงดงาม ดวงตาคู่สวยที่เหมือนกับบุตรสาวเอ่อคลอไปด้วยหยาดน้ำตาแห่งความดีใจ นางดีใจที่บุตรสาวสามารถแต่งงานกับบุรุษที่รักได้อย่างภาคภูมิ ถึงแม้ตัวนางจะไม่ได้มีโอกาสนั้น ทว่าขอเพียงได้ยืนส่งบุตรสาวขึ้นเกี้ยวมงคลแปดคนหามนางก็ดีใจแล้ว"ท่านแม่คิดถึงท่านตามากเลยใช่หรือไม่เจ้าคะ" เหมยซิงเอื้อมมือไปจับมือมารดาเพื่อปลอบประโลมหานซีอิ๋งพยักหน้ารับว่าตนคิดถึงบิดาจริง ๆ เมื่อเห็นว่าบุตรสาวมีสีหน้าเป็นกังวลนางจึงคลี่ยิ้มหวาน วันมงคลของบุตรสาวจะมาคิดเรื่องที่ทำให้จิตใจเศร้าหมองไม่ได้"ยามนี้ไม่เช้าแล้ว เราอ