Home / รักโบราณ / สืบแค้นฮ่องเต้แสนร้ายกาจ / บทที่ 4 โรคประหลาดหรือบุรุษตัดแขนเสื้อ (1/2)

Share

บทที่ 4 โรคประหลาดหรือบุรุษตัดแขนเสื้อ (1/2)

last update Last Updated: 2025-07-01 12:00:26

สามปีผันผ่าน แคว้นเฉินเป่ยอยู่ในช่วงเปลี่ยนแปลงรัชศกใหม่ รัชทายาทหมายช่วงชิงตำแหน่งฮ่องเต้จากบิดาของตน ทว่าองค์ชายรองกลับเป็นผู้ปกป้องบัลลังก์มังกรเอาไว้ กระนั้นฮ่องเต้เวินเจียเหลียงกลับทนพิษบาดแผลจากคมดาบอาบยาพิษได้ไม่กี่วันก็สิ้นพระชนม์ลง เมื่อรัชทายาทไม่เถรตรงต่อตำแหน่งหน้าที่ การก่อกบฏหนนี้จึงถูกลงทัณฑ์ด้วยโทษสูงสุด คือประหารเท่านั้น ตำแหน่งฮ่องเต้คนถัดไปจึงมิมีผู้ใดเหมาะสมมากไปกว่าองค์ชายรองอีก 

แม้องค์ชายรองยืนกรานไม่ขอขึ้นครองบัลลังก์และต้องการส่งมอบแด่องค์ชายสาม ทว่าบรรดาขุนนางกลับคัดค้านหัวชนฝา เช่นนั้นแล้วผู้ที่มีคุณธรรมสูงส่งอย่างองค์ชายรองจึงจำใจต้องแบกภาระอันหนักอึ้งนี้ไว้บนบ่า 

กาลเวลามิเคยคอยท่า องค์ชายสามเกิดประชวรโดยไร้สาเหตุท้ายที่สุดก็สิ้นพระชนม์ตามบิดา เวินเยี่ยนเฉินทุกข์ระทมอย่างหนักหน่วง เขาสูญเสียคนที่ตนรักไปทั้งหมด แทบนับได้ว่าเหลือตัวคนเดียว

เวินเยี่ยนเฉินมักใช้โอกาสจากกรณีสวรรคตของฮ่องเต้องค์ก่อนเป็นข้ออ้างในการแต่งตั้งฮองเฮาและรับสนม ทว่าเป็นเวลาไว้ทุกข์อันเหมาะสมแล้ว ครั้นจะหยิบยกเอาเรื่ององค์ชายสามมากล่าวอ้างก็มิอาจประวิงเวลาได้อีก เนื่องจากยามนี้ทั้งราชวงศ์ล้วนมีเพียงเขา

ฮ่องเต้เช่นเขาจำต้องปลดปลง และยินยอมคัดเลือกสนมเสียที กระนั้นผู้มีคุณสมบัติเหมาะสมขึ้นเป็นสนมเอกก็ต้องมากพิธีรีตอง เพราะเขาไม่มีชายามาก่อนจึงมิสามารถคัดเลือกฮองเฮาได้ในทันที กระทั่งสตรีที่ตนชมชอบหรือสนใจกลับไม่มีเลยสักนาง ไฉนช่างเป็นเรื่องอันชวนปวดหัวยิ่งนัก 

"ฝ่าบาท โปรดพิจารณาด้วย หากพระองค์มิทรงแต่งตั้งฮองเฮาหรือรับสนม อาณาประชาราษฎร์จะเชื่อมั่นได้อย่างไร หากแว่นแคว้นไร้ผู้นำล้วนอาจส่งผลให้เกิดเหตุจลาจล ทั่วทั้งสี่ดินแดนแปดทิศระอุดุจทะเลเพลิง อีกอย่างเพื่อลบข้อครหาที่ราษฎรมีต่อพระองค์เรื่องอาการประชวร เช่นนี้แล้วพระองค์จำต้องเร่งแต่งตั้งพระสนม และมีรัชทายาทเพื่อสืบราชบัลลังก์ต่อไปพ่ะย่ะค่ะ" 

ขุนนางผมขาวผู้หนึ่งกราบทูลยาวเหยียด เวินเยี่ยนเฉินฟังไม่เข้าใจสักนิด เขาปล่อยเสียงโหวกเหวกของขุนนางชั้นอาวุโสผ่านไปดุจดั่งเสียงนกเสียงกา กระนั้นเหล่าขุนนางต่างเห็นพ้องต้องกันทั่วท้องพระโรง 

"เอาล่ะ พวกท่านไม่ต้องมากความ ร่ายวาจาเสียยาวเป็นพรวน ข้าระคายหูยิ่ง เช่นนั้นจะทำอันใดก็สุดแล้วแต่พวกท่านเถิด" เวินเยี่ยนเฉินทอดถอนใจอย่างนึกระอิดระอา 

ข้ายังมิเคยชมชอบสตรีนางใดสักคน น่าเบื่อยิ่งนัก เช่นนั้นก็ช่างเถิด จะเป็นผู้ใดก็ล้วนไม่ต่างกระมัง 

การเป็นจักรพรรดิเปรียบดั่งรูปปั้นทองคำไร้ชีวิตจิตใจ อนึ่งอยู่เหนือประชาราษฎร์ทว่ากลับเป็นเพียงทาสของแผ่นดินก็เท่านั้น เหล่าขุนนางก็คอยกดดันทั้งซ้ายและขวาช่างน่าอนาถจริงแท้

เวินเยี่ยนเฉินหารู้เช่นกันว่าแท้จริงตนกำลังเฝ้ารอใคร หรือเฝ้ารอสิ่งใดกันแน่ นับตั้งแต่ขึ้นครองบัลลังก์ในวัยยี่สิบเอ็ดปี เขาก็มิเคยเหลียวแลสตรีนางใดเลย กระทั่งนางในยิ่งไม่เคยแตะต้อง บางทีเวินเยี่ยนเฉินแอบคิดว่าตนคงเป็นโรคประหลาดเข้าจริง ๆ เขาด้านชา ตายด้าน หรือเกิดสิ่งใดขึ้นกับตนกันแน่ เหตุใดจึงไม่เคยมีความรู้สึกใคร่อยากกับสตรีนางใดเลยสักคน หากจะกล่าวหาว่าเขาคือบุรุษตัดแขนเสื้อกลับยิ่งมิใช่เข้าไปใหญ่ 

.

.

จ้าวหลิงหลิงและซางจี้หยวนเข้ามาเป็นศิษย์ในสำนักซูเซียวครบสามปี พวกเขาทั้งสองเรียนรู้ได้อย่างรวดเร็ว ทั้งเพลงกระบี่ ขี่ม้า รวมถึงวิชาความรู้ศาสตร์แพทย์ยาพิษ โดยเฉพาะจ้าวหลิงหลิง นางชำนาญด้านการผสมพิษแปลกใหม่ยิ่ง 

"หลิงเอ๋อร์ หยวนเอ๋อร์ พวกเจ้าทั้งสองเรียนรู้เร็วเกินไปแล้ว ข้าไม่หลงเหลือสิ่งใดจะเสี้ยมสอนพวกเจ้าอีก เช่นนั้นก็ออกไปเรียนรู้การใช้ชีวิตยังโลกภายนอกเสียบ้าง" เจ้าสำนักซูเซียวยกถ้วยชาขึ้นแช่มช้า พลางเป่าลมจากปากเพื่อระบายความร้อนก่อนยกขึ้นจิบด้วยท่วงท่าใจเย็น 

"ท่านอาจารย์ หากศิษย์ออกไปข้างนอกแล้วศิษย์น้องศิษย์พี่ทั้งหลายและท่านเล่า" จ้าวหลิงหลิงเอ่ยด้วยสีหน้าเป็นกังวล

ยามนี้นางกลายเป็นศิษย์เอกของสำนักซูเซียวไปเสียแล้ว ในขณะที่ตนใช้เวลาเรียนรู้เพียงไม่กี่ปีเท่านั้น กระทั่งการสอนสั่งศิษย์น้องศิษย์พี่นางยังเป็นผู้คอยแบ่งเบาจากผู้เป็นอาจารย์

ทว่ากลับมิได้มีเพียงนางที่สามารถเรียนรู้ได้รวดเร็วดั่งลูกรักแดนสวรรค์ อาจารย์ของนางมักเล่าเรื่องราวของเด็กชายวัยเก้าขวบผู้หนึ่งให้ฟังอยู่เสมอ จนถึงยามนี้ศิษย์ทั้งสำนักซูเซียวก็ยังไม่มีผู้ใดวรยุทธ์เลิศล้ำเทียบเคียงเขาได้ แม้แต่นางและซางจี้หยวนก็ตามที นางอยากรู้ยิ่งนักว่าคนผู้นั้นคือใคร กระนั้นอาจารย์ของนางกลับมิยอมเปิดเผยให้ทราบเลยสักเสี้ยว 

เจ้าสำนักซูเซียวช้อนสายตามองศิษย์ทั้งสอง พลันหยุดจดจ้องเข้าไปยังนัยน์ตาหงส์อันแสนเย็นชา คราแรกที่เขาพบหน้าจ้าวหลิงหลิง นางทั้งดูหมองเศร้าและสิ้นหวังเฉกเช่นคนตายไปแล้ว

เดิมทีตนไม่คิดจะรับสตรีแสนอ่อนแอดั่งใกล้สิ้นลมและไร้กำลังแรงใจผู้นี้ ทว่าเมื่อเพ่งเข้าไปยังดวงตาอันหมองมัวนั้นอีกครา เขากลับสัมผัสได้ถึงความแน่วแน่ระคนโอหัง จากนั้นจึงเข้าใจว่านางล้วนประสบกับความโหดร้ายใดมา บุรุษชราผมขาวขึ้นแซมอนึ่งไม้ใกล้ฝั่งเช่นเขาจึงมิอยากปฏิเสธ จ้าวหลิงหลิงและซางจี้หยวนจึงได้กราบเขาเป็นอาจารย์สายตรงในที่สุด 

เดิมทีซางจี้หยวนเป็นคุณชายตระกูลผู้ดี ไม่จำเป็นต้องดันทุรังศึกษายังสำนักห่างไกลแร้นแค้นเช่นนี้ ทว่าเขากลับยืนกรานจะอยู่ที่นี่ ผ่านมาไม่กี่ปีสำนักซูเซียวกลับได้เพชรน้ำดีมาถึงสองคน 

"หลิงเอ๋อร์ จุดประสงค์ใดกันเล่าที่เจ้าตัดสินใจมากราบข้าเป็นอาจารย์" 

จ้าวหลิงหลิงตอบอย่างหนักแน่น "แน่นอนว่าข้าสนใจเรื่องขี่ม้ายิงธนู และการปรุงโอสถ ทว่าเจตนาที่แท้จริงของข้า คือการทวงความยุติธรรมให้กับทุกคนในตระกูล" 

เอ่ยถึงตรงนี้จ้าวหลิงหลิงจึงเข้าใจเจตนารมณ์ของอาจารย์ในบัดดล ยามนี้ถึงเวลาที่นางต้องทำตามปณิธานซึ่งตั้งเอาไว้ตั้งแต่ต้นเสียที การที่นางเร้นกายออกห่างจากโลกภายนอกหลายแรมปีเพราะสิ่งนี้มิใช่หรือ 

ซางจี้หยวนเหลียวมองจ้าวหลิงหลิงซึ่งกำลังนิ่งอึ้งไปชั่วขณะ "หลิงเอ๋อร์" 

จ้าวหลิงหลิงหลุดจากภวังค์ นางเหลียวหน้ามองซางจี้หยวน "ศิษย์พี่ ข้าว่ายามนี้คงถึงเวลาแล้วกระมัง" 

ซางจี้หยวนพยักหน้า เขาพร้อมจะเคียงข้างนางเสมอไม่ว่าเป็นหรือตาย ทว่าซางจี้หยวนกลับไม่รู้เลยว่าภายในจิตใจอันแท้จริงของจ้าวหลิงหลิงกำลังนึกอ่านอย่างไร นัยน์ตาของนางเย็นชาแข็งกระด้างจนมิอาจคาดเดา  

"ท่านอาจารย์ ขอบพระคุณท่าน หากทุกอย่างกระจ่างแจ้งข้าจะกลับมาอีกครั้ง ศิษย์ขอลา" 

เจ้าสำนักซูเซียวพยักหน้า "จำเอาไว้ นิ่งให้เป็น เย็นให้พอ จงซ่อนเร้นความสามารถเพื่อสั่งสมพละกำลัง โลกข้างนอกนั้นแสนยาวไกลเท่าใดก็สุดจะรู้ หากพวกเจ้าบุ่มบ่ามใจร้อนทุกอย่างที่ทำมาล้วนสูญเปล่า" 

จ้าวหลิงหลิงและซางจี้หยวนประสานมือค้อมศีรษะ เอ่ยโดยพร้อมเพรียง "ศิษย์รับทราบ" 

.

.

หนึ่งบุรุษร่างสูง หนึ่งสตรีร่างระหง สวมเครื่องแต่งกายด้วยแพรพรรณสีมรกตเหลือบขาวเดินเคียงกันด้วยท่วงท่างามสง่า จ้าวหลิงหลิงไม่ได้เหยียบย่างลงจากเขาเลยตลอดสามปี ครั้นเมื่อได้พบความครึกครื้นในท้องตลาดล้วนสร้างความตื่นตาให้แก่นางไม่น้อย จ้าวหลิงหลิงสาวเท้ามาหยุดยืนหน้าร้านขายเครื่องประดับ แววตากระจ่างใสเลื่อนลอยชั่วขณะ 

หวินเอ๋อร์ หลิงเอ๋อร์ ปิ่นเหมยกุ้ยฮวา [1] นี้พ่อมอบให้เจ้าทั้งสอง ไว้พ่อกลับมาจะนำของฝากมาให้พวกเจ้าอีก ชอบหรือไม่

จ้าวหลิงหลิงแหงนหน้ามองบิดา ริมฝีปากสีกุหลาบคลี่ยิ้มซุกซน ท่านพ่อให้สิ่งใดข้า ข้าก็ชอบทั้งสิ้น รีบกลับมานะเจ้าคะ ท่านออกไปรบอีกแล้ว เมื่อใดเราจะได้อยู่กันพร้อมหน้าเสียที

จ้าวหลิงหลิงยู่หน้า ผู้เป็นบิดาหัวเราะขัน เขายกมือขึ้นลูบศีรษะบุตรสาวทั้งสองด้วยความรักใคร่ 

ไม่ต้องเป็นห่วง ศึกครั้งนี้พ่อจะทำให้ศัตรูปราชัย [2] ให้ได้ หลังจากนั้นพ่อจะทูลขอฮ่องเต้ปลดระวางตำแหน่งแม่ทัพเสีย เช่นนี้พอใจพวกเจ้าหรือไม่

จ้าวหลิงหวินคลี่ยิ้มละไม ท่านพ่อจะปลดระวางแล้ว ในที่สุดก็ไม่ต้องเสี่ยงเป็นเสี่ยงตายเสียที  

จ้าวหลิงหลิงเองก็ดีใจราวลิงโลดกระโดดเกาะแขนขาบิดาดุจดั่งม้าดีดกะโหลก พี่สาวฝาแฝดผู้เรียบร้อยจำต้องปรามน้องสาวแสนซุกซนอยู่ตลอด กระนั้นจ้าวหลิงหลิงกลับเปรียบดั่งรอยยิ้มของตระกูลจ้าวอย่างแท้จริง 

ทว่าดีใจได้ไม่นาน หลังจากบิดาของนางออกไปรบครั้งสุดท้าย เขาก็มิได้กลับมาดังที่รับปากไว้ จากตระกูลที่เคยยิ่งใหญ่สุขสงบ ก็แปรผันเป็นกบฏอย่างน่าตระหนก ยามนี้สกุลจ้าวหลงเหลือเพียงจ้าวหลิงหลิงคนเดียวแล้ว นางจะไม่ยินยอมปล่อยผ่านเรื่องในอดีตที่ยังมิได้รับความกระจ่างนี้เป็นอันขาด ต้องมีคนอยู่เบื้องหลังเรื่องราวทั้งหมดเป็นแน่ 

เชิงอรรถ

^เหมยกุ้ยฮวา หมายถึง ดอกกุหลาบ

^ปราชัย หมายถึง ความพ่ายแพ้

Continue to read this book for free
Scan code to download App

Latest chapter

  • สืบแค้นฮ่องเต้แสนร้ายกาจ   บทที่ 13 แต่งตั้งสนมเอก (1/2)

    ณ ท้องพระโรงแคว้นเฉินเป่ย"ฝ่าบาท ล่วงเลยมาหลายแรมเดือนทว่าฮองเฮายังมิมีทีท่าจะทรงพระครรภ์ กระหม่อมเห็นควรว่าพระองค์ควรแต่งตั้งพระสนมพ่ะย่ะค่ะ" ขุนนางวัยห้าสิบค้อมศีรษะพร้อมประสานมือถือแผ่นฮู่ป่าน [1] เอ่ยเสียงกังวานก้องเวินเยี่ยนเฉินแสดงสีหน้าสงบนิ่งไม่บ่งบอกสิ่งใด ริมฝีปากได้รูปขยับเอ่ย "งั้นหรือ แล้วพวกท่านเห็นว่าผู้ใดเหมาะสมกันเล่า"บรรดาขุนนางต่างเหลือบซ้ายแลขวามองหน้ากันหลุกหลิก ทุกคนล้วนต้องการถวายบุตรสาวของตนด้วยกันทั้งนั้น เพราะอย่างน้อยการถูกเลือกเป็นสนมเอก หากได้รับความโปรดปรานด้วยแล้ว ผลประโยชน์การเลื่อนขั้นตำแหน่งในรั้ววังจึงมิใช่เรื่องลำเค็ญ กระนั้นพวกเขากลับรู้ดีว่ายามนี้ควรต้องสนับสนุนผู้ใด"ฝ่าบาท บุตรีของท่านเสนาบดีฉู่ ทั้งรูปลักษณ์งดงาม กิริยาเพียบพร้อม กระหม่อมเห็นว่า...""ได้...ข้ารับนางเป็นสนม" เวินเยี่ยนเฉินตัดบท โดยมิได้ฉุกคิดด้วยซ้ำฉู่ซุนห่าวหน้ากระตุก ขุนนางก็พลอยฉงนไปตามกันกระนั้นทุกอย่างกลับง่ายดายกว่าที่พวกเขาคิด

  • สืบแค้นฮ่องเต้แสนร้ายกาจ   บทที่ 12 ฮ่องเต้บ้าดีเดือด (2/2)

    เวินเยี่ยนเฉินแค่นยิ้ม "หลิงหลิง ข้ารู้ว่าเจ้าเจ็บปวด ข้าเองก็เจ็บที่เห็นครอบครัวเจ้าเป็นเช่นนั้น แต่เจ้ามิต้องเย็นชาถึงเพียงนี้ก็ได้กระมัง"ร่างเพรียวบางบนอ้อมแขนหยุดดิ้นทันควัน อกซ้ายของนางเต้นระส่ำโครมคราม "หมายความว่าอย่างไรเพคะ นี่พระองค์หมายถึงอะไร""เจ้าคิดว่าข้าหมายถึงอะไรกันล่ะ"เวินเยี่ยนเฉินแบกสตรีร่างระหงที่กำลังตะลึงค้างมุ่งตรงไปยังเตียงขนาดกว้าง เขาวางนางลงแช่มช้า พลางลากไล้ปลายนิ้วหยาบกร้านไปตามกรอบหน้างามพิสุทธิ์ เลื่อนเรื่อยลงมาจนถึงลำคอระหงที่มักตั้งตรงถือดี ก่อนที่เขาจะทันละลาบละล้วงเข้าไปด้านในสาบเสื้อตัวบางที่สวมใส่สำหรับยามหลับนอน มือเรียวพลันคว้าหมับเพื่อยับยั้งเอาไว้เสียก่อน"ทำอะไรเพคะ คืนนี้หม่อมฉันยังไม่พร้อม"จมูกโด่งเป็นสันรับกับริมฝีปากบางเฉียบแผ่ซ่านกลิ่นอายความเจ้าเล่ห์แสนกล จ้าวหลิงหลิงประหวั่นต่อท่าทีของเขา แม้นางเย็นชาเฉียบขาดเพียงใด เวินเยี่ยนเฉินกลับเป็นบุรุษที่สั่นคลอนก้อนน้ำแข็งในใจของนางเสมอหลิงหลิง เจ้าต้องมีสติ อย่าได้หลงระเริงในเพลิงสวาทโง่งมจนเผลอมีใจให้เขา"จ้าวหล

  • สืบแค้นฮ่องเต้แสนร้ายกาจ   บทที่ 12 ฮ่องเต้บ้าดีเดือด (1/2)

    เมฆาเคลื่อนคล้อยบนผืนนภา สายลมระรื่นทรงพลังพัดแผ่วผ่านความอนธการเบื้องหน้า ร่างระหงงามประณีตดั่งลูกรักของสวรรค์ ผิวพรรณใต้แสงดาวผ่องกระจ่างราวหลิวหลีเนียนใส ทว่าคิ้วเรียวกับนัยน์ตาหงส์คู่นั้นช่างหมองเศร้าชอบกล นานมากแล้วที่นางยังติดอยู่ในสถานะฮองเฮา การติดต่อกับซางจี้หยวนก็ล้วนลำบากมากขึ้น เหตุใดตำหนักของนางจึงมีบรรดาองครักษ์เพิ่มอีกเป็นเท่าตัว เวินเยี่ยนเฉินคงมิได้ระแคะระคายกับตัวตนอันแท้จริงของนางเข้ากระมังจ้าวหลิงหลิงได้ยินเสียงฝีเท้าดังจากทางเบื้องหลัง ร่างระหงหมุนตัวกลับทันควัน ทว่าการเคลื่อนไหวของนางนั้นช้ากว่าผู้มาเยือนหนึ่งก้าว แขนแกร่งโอบกระชับรอบเอวคอด พลันดึงร่างเพรียวบางกระตุกรั้งแนบกาย"ฝ่าบาท! ทำอันใดเพคะ ปล่อยหม่อมฉัน" จ้าวหลิงหลิงพยายามผละห่างจากบุรุษร่างสูง แต่ดูเหมือนยิ่งขัดขืนเขากลับยิ่งรัดแน่นประหนึ่งอสรพิษร้าย"หลิงหลิง"เสียงทุ้มเอ่ยนามของนางออกมาโดยตรง ปกติแล้วเขามักเรียกนางว่าฮองเฮา ดูเหมือนห่างเหินกระนั้นนางกลับมิรู้สึกสะท้านใด ทว่ายามนี้เวินเยี่ยนเฉินกำลังกวาดสายตาสำรวจใบหน้าของนางดั่งกำลังค้นคว้าบางสิ่ง

  • สืบแค้นฮ่องเต้แสนร้ายกาจ   บทที่ 11 คุณหนูสามตระกูลจ้าว

    ยามอาทิตย์อัสดง บุรุษร่างสูงยืนตระหง่านท่ามกลางเรือนเล็กหลังหนึ่ง ด้านในมีโคมไฟห้อยระย้าคอยให้แสงสว่างรำไร สามคนพ่อแม่ลูกกำลังนั่งกินอาหารด้วยความเอร็ดอร่อย ท่อนขาแกร่งเยื้องย่างเข้าใกล้ธรณีทางเข้าแช่มช้า สตรีและชายวัยกลางคนละความสนใจจากถ้วยกระเบื้องเนื้อหยาบ ตะเกียบในมือชะงักค้างกลางอากาศ พร้อมสีหน้าหวั่นวิตก"เอ่อ...มิทราบว่าท่านต้องการพบผู้ใดหรือ" เสียงทุ้มเอ่ยถามด้วยความประหวั่น"..."ผู้เป็นภรรยาหน้าเผือดสี นางเร่งคว้ากายเด็กน้อยราวสามขวบเข้ามาสวมกอด ทันทีที่ร่างสูงเคลื่อนกายมาถึงด้านใน แสงจากโคมไฟที่สาดสะท้อนส่งผลให้พวกเขาถึงกับผงะแทบหล่นเก้าอี้องครักษ์วังหลวง!สองสามีภรรยาถลาลงจากเก้าอี้พลางค้อมศีรษะเดี๋ยวนั้น ร่างกายสั่นเทิ้มเฉกเช่นกำลังยืนท่ามกลางหิมะแสนหนาวเหน็บ "ตะ...ใต้เท้า ท่านต้องการสิ่งใดหรือขอรับไยจึงมาเยือนเรือนของข้ายามวิกาลเช่นนี้""พวกเจ้าไม่ต้องกลัว ข้ามีเรื่องสอบถามเพียงไม่กี่คำถามเท่านั้น เพียงเจ้าเล่ารายละเอียดตามความจริง นอกจากข้าจะไม่ทำอันใดแล้ว ข้ายังมอบเงินใ

  • สืบแค้นฮ่องเต้แสนร้ายกาจ   บทที่ 10 หอตำราลับ

    จ้าวหลิงหลิงนั่งพิเคราะห์ข้อความในกระดาษแผ่นเล็กที่ซางจี้หยวนส่งให้ในวันนั้นซ้ำไปซ้ำมา เรียวคิ้วดุจกระบี่เคลื่อนเข้าหากันแทบผูกเป็นปม มือสวยเนียนละเอียดยกชาถ้วยเล็กขึ้นแช่มช้าพลางเป่าลมเย็นเพื่อขับไล่ไอระอุ ริมฝีปากสีกุหลาบจรดดื่มละเลียดชิมขณะขบคิด ยิ่งนางแสดงอาการเยือกนิ่งมากเท่าใด ความงดงามและน่าเกรงขามก็พลันสะท้อนออกมาเสียจนบรรดานางกำนัลล้วนไม่กล้าแหงนหน้ามองจ้าวหลิงหลิงมิทันรู้ตัวด้วยซ้ำว่ากำลังมีคนผู้หนึ่งย่างกรายเข้าใกล้ตนเพราะตกอยู่ในภวังค์ชั่วขณะหนึ่งเนื้อหาในกระดาษแผ่นเล็กระบุเพียงว่าเกี่ยวข้องกับตระกูลฉู่หลายเดือนมานี้นางจึงลอบสืบเรื่องราวของตระกูลฉู่มาโดยตลอด ใต้เท้าฉู่มีบุตรชายหนึ่งคนนามว่าฉู่เฉิงจิ้น และบุตรสาวนามว่าฉู่เยว่เฉิน ซึ่งจ้าวหลิงหลิงเคยพบหน้าอีกฝ่ายแล้วเมื่อคราคัดเลือกสนม นางมีคนรักหนึ่งคนคือ ต่งรุ่ยเหวิน กระนั้นกลับเป็นพวกไม่เอาไหน ใช้เส้นสายเพื่อเข้ารับราชการยศต่ำต้อยในวังหลวง ซ้ำยังคบหากันลับ ๆใต้เท้าฉู่หรือฉู่ซุนห่าวคือผู้ส่งรายงานเรื่องกบฏของแม่ทัพจ้าวต่อฮ่องเต้องค์ก่อน เพราะฉู่เฉิงจิ้นคือ

  • สืบแค้นฮ่องเต้แสนร้ายกาจ   บทที่ 9 เพียงขยับกายก็ไม่เย็นแล้ว

    เวินเยี่ยนเฉินตวัดกายบอบบางแนบลู่บริเวณขอบอ่าง จ้าวหลิงหลิงตื่นตระหนก ทว่าแขนทั้งสองถูกอีกฝ่ายรวบตรึงไว้เบื้องหลังเสียจนมิอาจขยับ"ฝ่าบาทอย่าทรงหยอกล้อเช่นนี้เลยเพคะ ในน้ำเย็นเกินไป""เย็นสิดี อีกเดี๋ยวขยับกายก็ไม่เย็นแล้ว"เวินเยี่ยนเฉินปลดอาภรณ์ตัวหนาซึ่งเปียกจนหนักอึ้งออกพ้นกายอย่างนึกรำคาญ จ้าวหลิงหลิงใจเต้นโครมคราม นางไม่น่าเลินเล่อคิดเล่นกับไฟ นึกเสียใจยามนี้ก็คงไม่ทัน เขาและนางล้วนเก่งกาจด้านวรยุทธ์ กระนั้นนางจะริอ่านต่อกรกับชายชาตรีที่กรำศึกผ่านสงครามอย่างโชกโชนได้อย่างไร"เฟิงเฟย หากเจ้าไม่เต็มใจเป็นสนมของข้าแล้วเจ้าต้องการสิ่งใดกันแน่"จ้าวหลิงหลิงข่มอาการประหวั่นเอาไว้ ถึงอย่างไรนางก็เป็นคนเลือกเองมิใช่หรือ ความบริสุทธิ์นับสิบกว่าปีนี้ก็ช่างมันเถิด นางมิใช่สตรีอ่อนแอต้องคร่ำครวญเรื่องพรรคนั้นเสียหน่อย"เปล่าเพคะ หม่อมฉันเต็มใจเป็นสนมของฝ่าบาท""แล้วเจ้ารู้จักสกุลจ้าวหรือไม่"จ้าวหลิงหลิงตัวแข็งทื่อประดุจดินปั้นไม้แกะสลัก ตอบกลับเขาเสียงเย็นยะเยือก "ไม่เพคะ เดิมทีหม่อมฉั

More Chapters
Explore and read good novels for free
Free access to a vast number of good novels on GoodNovel app. Download the books you like and read anywhere & anytime.
Read books for free on the app
SCAN CODE TO READ ON APP
DMCA.com Protection Status