"แม่นาง แม่นาง..."
เสียงชายวัยกลางคนเอ่ยเรียกจ้าวหลิงหลิงสองสามครา นางจึงหลุดจากภวังค์เดี๋ยวนั้น
"เถ้าแก่ ปิ่นนี่เท่าไหร่หรือ" นิ้วเรียวชี้ไปยังปิ่นสีเงินมิได้พิเศษมากทว่ากลับสะดุดตาของนางยิ่ง
"อ่า...ท่านตาถึงจริงเชียว ปิ่นเหมยกุ้ยฮวานี้ ราคาเพียงห้าสิบอีแปะเท่านั้น แต่ทว่างดงามเฉกเช่นของราคาแพง ท่านลองดู" ชายเจ้าของร้านหยิบขึ้นและยื่นให้นาง
จ้าวหลิงหลิงรับมาจากนั้นพลิกมองซ้ายขวา เครื่องประดับนี่งดงามเกินราคาดังที่อีกฝ่ายยกยอจริง
เสียงทุ้มเอ่ยจากทางเบื้องหลัง "เจ้าชอบหรือ หากชอบข้าจะซื้อให้"
"ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ ข้าซื้อเอง"
จ้าวหลิงหลิงหยิบก้อนตำลึงเงินขึ้นมา จากนั้นมอบให้กับเถ้าแก่ร้าน อีกฝ่ายยิ้มหน้าบานควานหาเงินทอนให้วุ่น
"ไม่ต้องทอน"
จ้าวหลิงหลิงเก็บปิ่นไว้ในสาบเสื้อ ชายเจ้าของร้านนิ่งงัน มองเหรียญตำลึงเงินในมือ
"เอ่อ...ขอบคุณขอรับ" เขาตะโกนไล่หลัง ทว่าจ้าวหลิงหลิงกลับเดินห่างออกไปไกลลิบเสียแล้ว
ซางจี้หยวนเร่งสับฝีเท้าตาม "หลิงเอ๋อร์เร่งร้อนไปไหน เจ้าต้องการสิ่งใดเพิ่มอีกหรือไม่ หากเจ้าชมชอบศิษย์พี่ผู้นี้จะกว้านซื้อมาให้เจ้าทั้งหมดเอง"
เจ้าหลิงหลิงเหลือบตามองเขา "ศิษย์พี่ ท่านช่วยเหลือข้ามามากพอแล้ว บุญคุณล้นหลามข้ามิรู้จะตอบแทนหมดได้อย่างไร ต่อไปท่านไม่ต้องลำบาก"
ริมฝีปากได้รูปยิ้มพราย "เช่นนั้นข้าจะฝากทั้งชีวิตให้เจ้าดูแล อย่างนี้แล้วก็คงได้แทนคุณตามใจเจ้าปรารถนา"
จ้าวหลิงหลิงหยุดฝีเท้าฉับพลัน "ศิษย์พี่ ท่านหมายความว่าอย่างไร"
จ้าวหลิงหลิงทราบดีว่าซางจี้หยวนคิดอย่างไรกับตน ทว่านางมิอาจรับไมตรีของเขาได้จริง ๆ นางเห็นเขาเป็นดั่งพี่ชายที่คลานตามกันมาเสียแล้ว ดูเหมือนนางเห็นแก่ตัวไปบ้างที่เอาเขาเข้ามาแทนที่พี่ชายของตน แรกเริ่มเดิมทีซางจี้หยวนคือบุรุษที่จ้าวหลิงหวินชมชอบมาตั้งแต่เด็ก น่าเสียดายที่ยามนี้จ้าวหลิงหวินไม่มีตัวตนบนโลกใบนี้อีกแล้ว
"หลิงเอ๋อร์ แม้แต่เสี้ยวหนึ่งในใจเจ้า ก็มิเคยมีข้าผู้นี้เลยรึ"
จ้าวหลิงหลิงยิ้มบาง "ศิษย์พี่ เหตุใดจะไม่มีเล่า ข้ารักท่านมาก"
ซางจี้หยวนยิ้มแฉ่ง ทว่าคำพูดถัดมากลับทำให้ตนต้องฝันสลายจิตใจห่อเหี่ยวเดี๋ยวนั้น
"ข้ารักท่านดุจพี่ชายแท้ ๆ ของข้า"
จ้าวหลิงหลิงออกเดินต่อ ซางจี้หยวนยืนแข็งทื่อตาละห้อยดั่งร่างไร้วิญญาณ "หลิงเอ๋อร์ เจ้าช่างใจแข็งนัก คิดว่าข้าจะยอมแพ้งั้นรึ"
ขาสูงเร่งเดินตามหลังสตรีร่างระหงทันควัน จ้าวหลิงหลิงกำลังยืนมองป้ายประกาศหนึ่ง ซึ่งติดหราอยู่บนแท่นประกาศ ซางจี้หยวนยืนซ้อนหลัง จากนั้นกวาดสายตาอ่านตัวอักษรทีละตัว
"ฮ่องเต้ประกาศคัดเลือกสนมในอีกสามวัน ให้ตระกูลเศรษฐีและขุนนางส่งภาพเสมือนบุตรสาวเพื่อเข้ารับการคัดเลือก ตระกูลเศรษฐีสามารถส่งได้ตามความสมัครใจ ทว่าตระกูลขุนนางที่มีบุตรสาวจำต้องส่งเข้าไปรับการคัดเลือกทุกนาง" คิ้วเข้มขมวดมุ่น
จ้าวหลิงหลิงยืนเงียบไม่เอ่ยสิ่งใด เสียงสนทนาของชาวบ้านใกล้เคียงดังขึ้น
อ่า...ฝ่าบาทไว้ทุกข์ให้ฮ่องเต้องค์ก่อนมานานนับสามปี กว่าจะแต่งตั้งสนมล่วงเลยมานานเพียงนี้เชียวรึ แล้วฮองเฮาเล่า
นั่นน่ะสิ แต่ดูเหมือนว่าฮ่องเต้พระองค์นี้อาจเป็นโรคประหลาดหรือไม่ก็...
พวกเขากระซิบกระซาบเสียงแผ่ว ...หรือไม่ก็เป็นบุรุษตัดแขนเสื้อ
หา...
ชู่ว...อย่าเอะอะมะเทิ่ง อยากหัวขาดรึ เจ้าไม่เห็นหรือว่าพระองค์ไม่เคยมีชายามาก่อน เช่นนั้นฮองเฮาก็ต้องรอคัดเลือกจากบรรดาพระสนมอีกครั้งอย่างไรเล่า
สตรีนางหนึ่งกล่าวกระซิบ
ว่ากันว่าพระองค์ยังไม่เคยสนใจหรือร่วมหอกับสตรีนางใดเลย
หือ...แล้วเช่นนี้จะมีผู้สืบบัลลังก์อย่างไร
ชู่ว...อย่าเสียงดังไป ตั้งแต่เหตุการณ์ล้างบางตระกูลจ้าวและการกบฏล้มราชบัลลังก์หนนั้น องค์ชายรองที่ขึ้นครองบัลลังก์ก็ดูเศร้าหมองพิกล อาจเป็นเพราะเหตุนี้เลยส่งผลให้พระองค์ประชวร แต่ก็นะอย่างที่ข้าบอก
จ้าวหลิงหลิงขมวดคิ้วมุ่น เสียงใสเอ่ยในลำคอ "องค์ชายรอง" นางผินหน้ามองหนึ่งบุรุษหนึ่งสตรีด้วยแววตาไร้อารมณ์ "องค์ชายรอง ที่พวกท่านเอ่ยถึงหมายความว่าอย่างไร"
คนทั้งสองสะดุ้งโหยง เมื่อครู่พวกเขากระซิบกันแท้ ๆ ไม่คิดว่าจะมีผู้ใดได้ยินด้วยซ้ำ ทว่าจ้าวหลิงหลิงเป็นผู้ฝึกใช้วิชาลมปราณอย่างเชี่ยวชาญ กระทั่งเสียงมดเดินเรียงแถวยังมิรอดพ้นความรู้สึกของนาง
"เอ่อ...แม่นาง รู้แล้วอย่าเอ็ดไปเล่า เจ้าคงมิใช่คนพื้นที่นี้กระมัง" หญิงชาวบ้านผู้นั้นเอ่ยด้วยความประหวั่น
ซางจี้หยวนนึกรำคาญใจ "แล้วมันอย่างไร เมื่อครู่ที่พวกเจ้าเอ่ยหมายความว่าอะไร"
ชายที่ยืนข้างกันสะดุ้งเฮือก "คุณชาย คือ...องค์ชายรองได้ขึ้นครองราชย์มานานแล้ว ทว่ายังไม่แต่งตั้งฮองเฮาและสนมใดเลย ยามนี้ก็เลยมีประกาศอย่างที่ท่านเห็นนี่อย่างไร ชะ...เช่นนั้นพวกข้าไม่เอ่ยมากความแล้ว เกรงว่าศีรษะจะหลุดจากบ่า"
เอ่ยจบคนทั้งสองจึงถลันจากไปอย่างละล้าละลัง ซางจี้หยวนยืนมองสตรีเบื้องหน้าด้วยความเป็นกังวล ดูจากแววตาและน้ำเสียง นางคงกำลังคิดกระทำบางอย่างแน่แท้
ริมฝีปากบางขยับเอ่ย "องค์ชายรอง องค์ชายรองน่ะหรือ ประชวรโรคประหลาด หรือเขาจะเป็นบุรุษตัดแขนเสื้อจริง ๆ เล่า หึ!"
หลังจากล้างมลทินให้กับตระกูลจ้าว ธรรมเนียมของราชวงศ์ซึ่งอยู่ใต้การปกครองของเวินเยี่ยนเฉินยามนี้จึงถูกปรับเปลี่ยน เขาเป็นฮ่องเต้แล้วอย่างไรเหตุใดจำต้องมีสนมมากมายเช่นนั้น เขามิใช่บุรุษมักมากเวินเยี่ยนเฉินประกาศกร้าวไม่รับสนมใดอีก เขาจะเป็นฮ่องเต้คนแรกที่รักมั่นต่อฮองเฮาเพียงผู้เดียวนับจากวันที่จ้าวหลิงหลิงบั่นศีรษะฉู่เยว่เฉิน และฉู่เฉิงจิ้นด้วยสีหน้าเย็นชายิ่งกว่าเหมันตฤดูแม้เวลาล่วงเลยมาสักระยะแล้ว ทว่าพวกเขาล้วนมิเคยลืมเลือนความรู้สึกครั่นคร้ามและไอสังหารที่พวยพุ่งออกมาจากแววตาฮองเฮาเกรงว่าหากจักรพรรดิของพวกเขาทำสิ่งใดไม่ต้องใจนาง เวินเยี่ยนเฉินอาจดวงชะตาขาดแน่แท้ตระหนักไปแล้วขุนนางน้อยใหญ่ก็ต่างหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออกพวกเขาจึงหามีผู้ใดกล้าริอ่านคัดค้านอีก"ละ...หลิงหวิน" เสียงใสสั่นพร่า คำเรียกขานเมื่อครู่เจือก้อนสะอื้นซึ่งจุกอยู่กลางลำคอจ้าวหลิงหวินหมุนกายกลับ ริมฝีปากสีกุหลาบแย้มยิ้มละไม "หลิงหลิง"ร่างระหงของสตรีทั้งสองซึ่งมีใบหน้าละม้ายกันดุจพิมพ์เดียวยืนอยู่ใต้ต้นอิงฮวา
เป็นเวลาสามวันแล้วที่เวินเยี่ยนเฉินไม่ได้สติ กระทั่งการป้อนยาก็เป็นไปอย่างลำบากยากยิ่ง หากเป็นเช่นนี้เขาต้องตายจริงแน่แท้"ฮองเฮาพ่ะย่ะค่ะ คือว่าฝ่าบาทมิยอมเสวยโอสถเลยพ่ะย่ะค่ะ" หร่านจิ้งเหยาถือถ้วยหยกพร้อมช้อนกระเบื้องเคลือบซึ่งมีน้ำสีขุ่นอยู่เกินกว่าครึ่ง"องครักษ์หร่าน ท่านไปพักผ่อนเถิด ทางนี้ข้าจัดการเอง""แต่...""ไปเถิด ข้าดูแลเขาได้ เจ้าเกรงว่าข้าจะทำร้ายฝ่าบาทอีกงั้นหรือ"หร่านจิ้งเหยาสะดุ้งโหยง ภาพที่อีกฝ่ายบั่นศีรษะกบฏยังติดตาอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน หร่านจิ้งเหยาวางถ้วยในมือลงจากนั้นค้อมศีรษะและเร่งถลันกายออกไปด้วยท่าทางร้อนรนหร่านจิ้งเหยาระบายลมหายใจเบา"เกือบไปแล้วเชียว" จากนั้นองครักษ์หนุ่มจึงสลัดศีรษะเพื่อเรียกสติและเดินจากไป"เยี่ยนเฉิน หากท่านดื้อดึงไม่ทานยา ข้าจะแทงท่านอีกแผล" จ้าวหลิงหลิงเขม้นมองเพื่อจับพิรุธผู้บาดเจ็บ นางได้ยินเสียงลมหายใจของเขาที่ดูเหมือนกับฟื้นคืนสติแล้ว กระนั้นอีกฝ่ายกลับยังนอนนิ่งสนิทไม่ไหวติงคิ้วสวยเคลื่อนเข้าหากันแทบผูกเป็นปม "หรือข้าคิดมากไปเอง ช่างเถิด"ร่างระหงยอบกายลงนั
จ้าวหลิงหลิงตัวแข็งค้างประดุจดินปั้นไม้แกะสลัก นางเหลียวมองร่างบุรุษซึ่งนอนหายใจแผ่วโผยอยู่บนเตียงนอน ท่าทางของนางเหม่อลอยดวงตามีประกายบาง ๆ ริมฝีปากสีกุหลาบเอ่ยด้วยน้ำเสียงสั่นเทา "นะ...นี่ ราชโองการละเว้นโทษตายนี้ เป็นพระองค์ที่ถือไปในวันนั้นหรือ เยี่ยนเฉิน..."ร่างระหงอ่อนยวบลงบนพื้น สาสน์ในมือหลุดร่วงพร้อมเครื่องประดับสองชิ้น จ้าวหลิงหลิงเจ็บปวดเสียยิ่งกว่ามีดแทงเลาะหัวใจออกมาบดขยี้ นางกรีดร้องด้วยความทุกข์ระทม"ฮื่อ...เยี่ยนเฉิน คนโง่ ทำไมท่านไม่บอกข้าให้เร็วกว่านี้ ทำไมกัน ทำไม!!"นางพยายามลากเรียวขาแสนอ่อนเปลี้ยเข้าใกล้เจ้าของร่างสูงซึ่งนอนเหยียดยาวสลบไสลไร้สติอยู่เบื้องบน "ฮื่อ...คนโง่ คนงี่เง่า ก็ดี ทุกคนต่างตายกันหมด หนีจากข้าไปหมด เช่นนั้นข้าเองก็คงไม่จำเป็นต้องมีชีวิตอยู่แล้วเช่นเดียวกัน"มือเรียวคว้าปิ่นปักผมลายเหมยกุ้ยฮวาขึ้นแช่มช้า ปลายแหลมคมจ่ออย่างหมิ่นเหม่บริเวณต้นคอขาวผ่อง เปลือกตาบางหลับพริ้มประดุจปลดปลงต่อโลกใบนี้แล้ว"หลิงเอ๋อร์ หยุด!"มือแกร่งคว้าหมับได้ทันท่วงที โชคดีที่เขาดันทุรังฝ
จ้าวหลิงหลิงหลับไปหลายชั่วยามแล้วหลังจากนางใช้ทั้งพลังกายและพลังใจไปทั้งวัน น้ำสีใสหลั่งรินตรงหางตาขณะที่ตารูปหงส์ยังคงหลับพริ้มอยู่เช่นนั้น "ท่านพ่อ ท่านแม่ พี่ใหญ่ หลิงหวิน ข้าทำสำเร็จแล้ว ท่านเห็นหรือไม่ พวกท่าน ฮื่อ...พวกท่านจะไปไหน รอข้าก่อนเจ้าค่ะ"มือเรียวควานไปมาท่ามกลางอากาศ เวินเยี่ยนเฉินซึ่งนั่งเฝ้าจ้าวหลิงหลิงอยู่ไม่ห่างพลันรวบมือทั้งสองเอาไว้เพื่อปลอบประโลม "หลิงเอ๋อร์ พวกเขาไปสบายแล้ว เจ้าวางใจ เจ้ายังมีข้า ข้าสัญญาจะปกป้องเจ้า จะมีเจ้าเพียงคนเดียว"จ้าวหลิงหลิงยังคงกู่ก้องร้องตะโกนเปะปะอย่างไร้สติ เวินเยี่ยนเฉินจึงยกร่างระหงขึ้นมาสวมกอด พลางตบเปาะแปะไปบนแผ่นหลังของอีกฝ่าย "หลิงหลิง ตื่นได้แล้ว"จ้าวหลิงหลิงเบิกตาโพลง นางหายใจหอบเหนื่อยเสียจนหน้าอกกระเพื่อมไหว เวินเยี่ยนเฉินผละกายออกห่าง "หลิงหลิง เจ้าฝัน ฝันเท่านั้น""ฝ่าบาท ข้า..." ริมฝีปากสีกุหลาบสั่นระริกเวินเยี่ยนเฉินคว้ากายเพรียวบางเข้ามาสวมกอดอีกครั้ง "บางทีคนเราไม่จำเป็นต้องเก็บงำความรู้สึกไว้ตลอดเวลา ทุกคนมีทั้งมุมที่แข็งแกร่งและอ่อนแอ เจ้าอยากร้องก็ร้องมาเถิด ทุกอย่างเป็นคว
ณ ลานประหารราชวังหลวงสตรีร่างระหงสวมอาภรณ์สีชาด ยืนถือกระบี่อ่อนลายเหมยกุ้ยฮวา [1] นัยน์ตาหงส์คู่นั้นเย็นยะเยือกเสียจนน่าสะพรึง ชายวัยกลางคน และชายหนุ่มสวมเครื่องแต่งกายตัดเย็บด้วยผ้าดิบสีขาวบ่งบอกว่าคือนักโทษแดนประหารนั่งอยู่ท่ามกลางลานกว้าง ดวงตาเหม่อลอยหม่นแสง แม่ทัพฉู่เฉิงจิ้นถูกนำตัวกลับมารับโทษพร้อมทุกคนที่เกี่ยวข้องกับตระกูลฉู่ฝั่งตรงข้ามคือสตรีใบหน้าสะสวยทว่ายามนี้คงต้องเรียกว่าซีดขาวดุจไร้วิญญาณ ฉู่เยว่เฉินร้องไห้เสียจนน้ำตาแห้งขอดเหล่าอาณาประชาราษฎร์ต่างให้ความสนใจต่อลานประหารด้วยความจดจ่อ บางคนก็หวาดเกรงจนมิอาจทนดู เสียงวิจารณ์อึงอลเสียจนระเบ็งเซ็งแซ่น่าเห็นใจตระกูลจ้าว ถูกป้ายสีจนพินาศทั้งตระกูล คนอำมหิตเช่นนี้สมควรได้รับโทษตายก็ถูกต้องแล้วชาวบ้านที่ถือผักเหี่ยวเฉา ไข่เป็ด ไข่ไก่อันเน่าเหม็นต่างปาเข้ามายังลานด้านใน ฉู่เยว่เฉินร้องไห้อย่างหนักหน่วง ส่วนบุรุษทั้งสองเพียงถอนหายใจก้มหน้ารับชะตา ไข่กลิ่นคาวคลุ้งถูกปากระทบศีรษะ เยิ้มหยดลงใบหน้าเส
ขุนนางเหล่านั้นก็ตื่นตะลึงกันไปหมด ทั้งสาสน์ลับที่ถูกสับเปลี่ยน และความจริงจากปากขององครักษ์ก็เป็นหลักฐานยืนยันได้อย่างกระจ่างแจ้งมิใช่หรือ หนำซ้ำต่งรุ่ยเหวินยังสารภาพเรื่องราวเองทั้งหมด"นี่มันเหี้ยมโหดเกินไปแล้ว ข้าก็ว่าแม่ทัพจ้าวผลงานโดดเด่นและภักดีต่อแคว้นมาโดยตลอด ไหนเลยจะคิดก่อกบฏจนตัวตาย""พวกท่านเอ่ยตอนนี้มันเกิดประโยชน์ใดหรือ ขุนนางเก่าแก่เช่นท่าน ท่าน และท่าน..." นิ้วหยาบระคายชี้หน้าพวกเขาอย่างดุดัน พวกเขารับรู้ถึงความครั่นคร้ามจากโอรสแห่งสวรรค์ก็พลันก้มหน้างุดแทบหยุดหายใจ"พวกท่านมันมีแต่คนขี้ขลาด!! คิดว่าข้าต้องเกรงใจขุนนางละโมบไปถึงเมื่อใด ข้าจะบั่นศีรษะพวกท่านและเปลี่ยนขุนนางใหม่ทั้งหมดก็ยังได้!" ร่างสูงลุกยืนบันดาลโทสะขันทีตัวสั่นเทา "ฝ่าบาท โปรดระงับโทสะด้วย"เวินเยี่ยนเฉินตวัดตามองฉับ "ระงับโทสะ! เป็นเจ้ามิใช่หรือที่คอยรายงานความเคลื่อนไหวของข้าให้พวกเขารู้""หา...ฝ่าบาทเข้าพระทัยผิดแล้วพ่ะย่ะค่ะ""หนวกหู! ทหาร เอาตัวขันทีเปาไปลงทัณฑ์ให้หนัก"ขันทีเปาหยู่ซินเบิกตาโพลง แขนทั้งสองของเขาถูกนายทหารกายกำยำสองคนถลัน