จ้าวหลิงหลิงยิ้มบาง "ท่านพี่จี้หยวน ขอบคุณท่านมาก แต่ท่านไม่ต้องลำบากแล้วล่ะ ข้าคงไม่อยากมีชีวิตอยู่ต่ออีกแล้ว ไม่นานข้าจะตามทุกคนไป"
เริ่นเหมยถลาเข้ามา พลางร้องไห้โฮ "คุณหนู อย่าเอ่ยเช่นนี้เจ้าค่ะ ฮึก ฮื่อ...หากท่านไม่อยู่แล้วข้าเล่า ข้าจะอยู่กับใคร"
จ้าวหลิงหลิงยกมือขึ้นลูบแก้มแม่นมของตน "แม่นม ท่านสามารถกลับไปที่บ้านเดิมของท่านได้ กลับไปใช้บั้นปลายชีวิตของท่าน ส่วนข้าอย่าได้ใส่ใจอีกเลย"
เริ่นเหมยส่ายหน้าพัลวัน "ไม่เจ้าค่ะ หากคุณหนูจะไปที่ใด ข้าจะไปกับท่าน"
ซางจี้หยวนถอนหายใจ เขาไม่รู้ควรทำเช่นไรแล้วจริง ๆ "เจ้าแน่ใจหรือหลิงหลิง เจ้าจะให้ครอบครัวของเจ้าถูกตราหน้าว่าเป็นกบฏทั้งที่ยังไม่รู้ตื้นลึกหนาบางอะไรเลยอย่างนั้นหรือ เจ้ากำลังทำให้ฮูหยินจ้าวและท่านแม่ทัพใหญ่ผิดหวัง ไยไม่ลองตรึกตรองดูดี ๆ หากเป็นข้า ข้าจะไม่มีวันยอมแพ้โดยที่ยังไม่ได้ทำสิ่งใดเลยเป็นอันขาด"
จ้าวหลิงหลิงใจสั่นหวิว นางปิดเปลือกตาลงเนิบนาบ ทำราวกับสิ่งที่ซางจี้หยวนเอ่ยเปรียบดั่งอากาศธาตุ ทว่านางกำลังใคร่ครวญบางอย่างก็เพียงเท่านั้น ดูเหมือนคนทั้งสองถอยห่างจากนางแล้ว กระนั้นเมื่อจ้าวหลิงหลิงหลับตา ภาพของบุรุษผู้หนึ่งก็สะท้อนเข้ามาในมโนสำนึกเดี๋ยวนั้น
องค์ชายรอง...เขานำราชโองการมามอบให้ตระกูลข้าหรือ เพราะเหตุใด เพราะเหตุใดเขาจึงทำเช่นนั้น หรือข้าต้องไปถามเขาให้รู้เรื่อง บุกเข้าราชวังไปเลยงั้นหรือ ไม่สิ! ข้าไม่อาจทำเช่นนั้นได้ ยามนี้ข้าทั้งอ่อนแอไร้กำลังและขลาดเขลานัก ข้านี่...มันช่างน่าสมเพชยิ่ง
เสียงในมโนความคิดของจ้าวหลิงหลิงตีกันจ้าละหวั่น คิ้วสวยเคลื่อนเข้าหากันแทบผูกเป็นปม นางควรทำเช่นไรกับชีวิตที่หลงเหลือเพียงกะพร่องกะแพร่งนี้ดีเล่า
ข้าควรต้องมีชีวิตอยู่ต่อ ข้าต้องไปถามเขาผู้นั้นให้กระจ่าง องค์ชายรอง ไยท่านช่างอำมหิตนัก!
ดูเหมือนจ้าวหลิงหลิงตรึกตรองบางอย่างได้แล้ว หลายวันมานี้นางเริ่มลุกนั่งด้วยตนเอง ร่างกายอันผ่ายผอมมีน้ำมีนวลมากขึ้น ซางจี้หยวนและเริ่นเหมยต่างโล่งใจไปตามกัน
"คุณหนูทานอีกหน่อยนะเจ้าคะ แข็งแรงแล้วเราจะได้เร่งเดินทางต่อ ดูเหมือนโรงเตี๊ยมแห่งนี้ก็มิใช่ถูก ๆ ทว่าคุณชายซาง..."
เริ่นเหมยผินหน้ามองบุรุษที่ขลุกอยู่กับพวกนางมาแล้วหลายวัน หนำซ้ำเขายังเที่ยวหาหยูกยาอาหาร รวมถึงออกค่าโรงเตี๊ยมให้ทั้งหมด จ้าวหลิงหลิงเหลือบตามองเจ้าของร่างสูงซึ่งยืนห่างออกไปไม่ไกลนัก
"ท่านพี่จี้หยวน"
ซางจี้หยวนสาวเท้ามาเบื้องหน้า ใบหน้าหล่อเหลาคลี่ยิ้มอบอุ่น "หลิงหลิง ว่าอย่างไร"
"หากข้าหายดี และสามารถหาเงินด้วยตนเองได้แล้ว ข้าจะนำมาคืนท่านนะเจ้าคะ นับจากนี้ข้าคงไม่รบกวนท่านอีก ที่ผ่านมาขอบคุณท่านมาก"
ซางจี้หยวนผ่อนหายใจแผ่ว "ไยคิดเล็กคิดน้อยถึงเพียงนั้น เจ้าไม่ต้องคืนสิ่งใดทั้งสิ้น เป็นข้าที่เต็มใจ"
จ้าวหลิงหลิงส่ายศีรษะ "ไม่เจ้าค่ะ ท่านลำบากกับพวกเรามามากพอแล้ว ข้าจะเดินทางไปสำนักซูเซียวด้วยตนเอง เช่นนั้นหากท่านต้องการช่วยเหลือข้าจริง ข้าขอร้องท่านหนึ่งเรื่องได้หรือไม่"
"ได้สิ" ซางจี้หยวนตอบโดยไม่ลังเล
จ้าวหลิงหลิงผินหน้ามองแม่นมของตน "ข้าฝากท่านดูแลแม่นมเริ่นแทนข้าได้หรือไม่ ยามนี้สกุลจ้าวมิอาจให้เงินเดือน ให้ที่อยู่ที่กินแก่นางได้แล้ว เช่นนั้น..."
เริ่นเหมยส่ายศีรษะ โพล่งตัดบท "ไม่เจ้าค่ะ ข้ายินดีลำบากไปพร้อมคุณหนู"
จ้าวหลิงหลิงตบเปาะแปะบนหลังมืออีกฝ่าย "แม่นม อยู่กับข้ามีแต่จะอดตาย ของมีค่าสักชิ้นก็ไม่มีติดกาย อีกเดี๋ยวข้าจะไปฝากตัวเป็นศิษย์ที่สำนักซูเซียว ที่นั่นมีแต่คนแข็งแกร่งยืนได้ด้วยลำแข้งของตนเอง หากท่านเอาแต่ปรนนิบัติประคบประหงมข้าเช่นนี้ พวกเขาคงคิดว่าข้าอ่อนแอไร้กำลัง จากนั้นพวกเขาก็จะดูแคลนข้า"
ซางจี้หยวน "เอาล่ะ ข้ารับปากเจ้า" จากนั้นผินหน้ามองสบตากับเริ่นเหมย อีกฝ่ายแสดงสีหน้าเว้าวอน กระนั้นที่จ้าวหลิงหลิงเอ่ยล้วนมีเหตุผล ทว่าการที่นางหมายฝากตัวเป็นศิษย์สำนักซูเซียวหาได้ทำให้ซางจี้หยวนวางใจ "แม่นมเริ่น ท่านไม่ต้องเป็นกังวล เอาเป็นว่าท่านจะเข้าไปเป็นผู้ดูแลในจวนสกุลซาง ส่วนเรื่องฝากตัวเป็นศิษย์สำนักซูเซียว ข้าจะไปกับหลิงหลิงเอง"
จ้าวหลิงหลิงแหงนมองอีกฝ่าย "นี่ท่าน..."
"เอาตามนี้ ไม่เช่นนั้นข้าจะไม่รับปากเจ้า" ซางจี้หยวนประกาศกร้าว
จ้าวหลิงหลิงรู้สึกลำบากใจ กระนั้นนางกลับไม่มีทางเลือก "ก็ได้เจ้าค่ะ"
นางต้องแข็งแกร่งขึ้นให้ได้ สักวันจะต้องได้พบกับเขาและสะสางเรื่องนี้ให้กระจ่าง
องค์ชายรอง ท่านรอข้าก่อนเถอะ!
หลังจากล้างมลทินให้กับตระกูลจ้าว ธรรมเนียมของราชวงศ์ซึ่งอยู่ใต้การปกครองของเวินเยี่ยนเฉินยามนี้จึงถูกปรับเปลี่ยน เขาเป็นฮ่องเต้แล้วอย่างไรเหตุใดจำต้องมีสนมมากมายเช่นนั้น เขามิใช่บุรุษมักมากเวินเยี่ยนเฉินประกาศกร้าวไม่รับสนมใดอีก เขาจะเป็นฮ่องเต้คนแรกที่รักมั่นต่อฮองเฮาเพียงผู้เดียวนับจากวันที่จ้าวหลิงหลิงบั่นศีรษะฉู่เยว่เฉิน และฉู่เฉิงจิ้นด้วยสีหน้าเย็นชายิ่งกว่าเหมันตฤดูแม้เวลาล่วงเลยมาสักระยะแล้ว ทว่าพวกเขาล้วนมิเคยลืมเลือนความรู้สึกครั่นคร้ามและไอสังหารที่พวยพุ่งออกมาจากแววตาฮองเฮาเกรงว่าหากจักรพรรดิของพวกเขาทำสิ่งใดไม่ต้องใจนาง เวินเยี่ยนเฉินอาจดวงชะตาขาดแน่แท้ตระหนักไปแล้วขุนนางน้อยใหญ่ก็ต่างหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออกพวกเขาจึงหามีผู้ใดกล้าริอ่านคัดค้านอีก"ละ...หลิงหวิน" เสียงใสสั่นพร่า คำเรียกขานเมื่อครู่เจือก้อนสะอื้นซึ่งจุกอยู่กลางลำคอจ้าวหลิงหวินหมุนกายกลับ ริมฝีปากสีกุหลาบแย้มยิ้มละไม "หลิงหลิง"ร่างระหงของสตรีทั้งสองซึ่งมีใบหน้าละม้ายกันดุจพิมพ์เดียวยืนอยู่ใต้ต้นอิงฮวา
เป็นเวลาสามวันแล้วที่เวินเยี่ยนเฉินไม่ได้สติ กระทั่งการป้อนยาก็เป็นไปอย่างลำบากยากยิ่ง หากเป็นเช่นนี้เขาต้องตายจริงแน่แท้"ฮองเฮาพ่ะย่ะค่ะ คือว่าฝ่าบาทมิยอมเสวยโอสถเลยพ่ะย่ะค่ะ" หร่านจิ้งเหยาถือถ้วยหยกพร้อมช้อนกระเบื้องเคลือบซึ่งมีน้ำสีขุ่นอยู่เกินกว่าครึ่ง"องครักษ์หร่าน ท่านไปพักผ่อนเถิด ทางนี้ข้าจัดการเอง""แต่...""ไปเถิด ข้าดูแลเขาได้ เจ้าเกรงว่าข้าจะทำร้ายฝ่าบาทอีกงั้นหรือ"หร่านจิ้งเหยาสะดุ้งโหยง ภาพที่อีกฝ่ายบั่นศีรษะกบฏยังติดตาอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน หร่านจิ้งเหยาวางถ้วยในมือลงจากนั้นค้อมศีรษะและเร่งถลันกายออกไปด้วยท่าทางร้อนรนหร่านจิ้งเหยาระบายลมหายใจเบา"เกือบไปแล้วเชียว" จากนั้นองครักษ์หนุ่มจึงสลัดศีรษะเพื่อเรียกสติและเดินจากไป"เยี่ยนเฉิน หากท่านดื้อดึงไม่ทานยา ข้าจะแทงท่านอีกแผล" จ้าวหลิงหลิงเขม้นมองเพื่อจับพิรุธผู้บาดเจ็บ นางได้ยินเสียงลมหายใจของเขาที่ดูเหมือนกับฟื้นคืนสติแล้ว กระนั้นอีกฝ่ายกลับยังนอนนิ่งสนิทไม่ไหวติงคิ้วสวยเคลื่อนเข้าหากันแทบผูกเป็นปม "หรือข้าคิดมากไปเอง ช่างเถิด"ร่างระหงยอบกายลงนั
จ้าวหลิงหลิงตัวแข็งค้างประดุจดินปั้นไม้แกะสลัก นางเหลียวมองร่างบุรุษซึ่งนอนหายใจแผ่วโผยอยู่บนเตียงนอน ท่าทางของนางเหม่อลอยดวงตามีประกายบาง ๆ ริมฝีปากสีกุหลาบเอ่ยด้วยน้ำเสียงสั่นเทา "นะ...นี่ ราชโองการละเว้นโทษตายนี้ เป็นพระองค์ที่ถือไปในวันนั้นหรือ เยี่ยนเฉิน..."ร่างระหงอ่อนยวบลงบนพื้น สาสน์ในมือหลุดร่วงพร้อมเครื่องประดับสองชิ้น จ้าวหลิงหลิงเจ็บปวดเสียยิ่งกว่ามีดแทงเลาะหัวใจออกมาบดขยี้ นางกรีดร้องด้วยความทุกข์ระทม"ฮื่อ...เยี่ยนเฉิน คนโง่ ทำไมท่านไม่บอกข้าให้เร็วกว่านี้ ทำไมกัน ทำไม!!"นางพยายามลากเรียวขาแสนอ่อนเปลี้ยเข้าใกล้เจ้าของร่างสูงซึ่งนอนเหยียดยาวสลบไสลไร้สติอยู่เบื้องบน "ฮื่อ...คนโง่ คนงี่เง่า ก็ดี ทุกคนต่างตายกันหมด หนีจากข้าไปหมด เช่นนั้นข้าเองก็คงไม่จำเป็นต้องมีชีวิตอยู่แล้วเช่นเดียวกัน"มือเรียวคว้าปิ่นปักผมลายเหมยกุ้ยฮวาขึ้นแช่มช้า ปลายแหลมคมจ่ออย่างหมิ่นเหม่บริเวณต้นคอขาวผ่อง เปลือกตาบางหลับพริ้มประดุจปลดปลงต่อโลกใบนี้แล้ว"หลิงเอ๋อร์ หยุด!"มือแกร่งคว้าหมับได้ทันท่วงที โชคดีที่เขาดันทุรังฝ
จ้าวหลิงหลิงหลับไปหลายชั่วยามแล้วหลังจากนางใช้ทั้งพลังกายและพลังใจไปทั้งวัน น้ำสีใสหลั่งรินตรงหางตาขณะที่ตารูปหงส์ยังคงหลับพริ้มอยู่เช่นนั้น "ท่านพ่อ ท่านแม่ พี่ใหญ่ หลิงหวิน ข้าทำสำเร็จแล้ว ท่านเห็นหรือไม่ พวกท่าน ฮื่อ...พวกท่านจะไปไหน รอข้าก่อนเจ้าค่ะ"มือเรียวควานไปมาท่ามกลางอากาศ เวินเยี่ยนเฉินซึ่งนั่งเฝ้าจ้าวหลิงหลิงอยู่ไม่ห่างพลันรวบมือทั้งสองเอาไว้เพื่อปลอบประโลม "หลิงเอ๋อร์ พวกเขาไปสบายแล้ว เจ้าวางใจ เจ้ายังมีข้า ข้าสัญญาจะปกป้องเจ้า จะมีเจ้าเพียงคนเดียว"จ้าวหลิงหลิงยังคงกู่ก้องร้องตะโกนเปะปะอย่างไร้สติ เวินเยี่ยนเฉินจึงยกร่างระหงขึ้นมาสวมกอด พลางตบเปาะแปะไปบนแผ่นหลังของอีกฝ่าย "หลิงหลิง ตื่นได้แล้ว"จ้าวหลิงหลิงเบิกตาโพลง นางหายใจหอบเหนื่อยเสียจนหน้าอกกระเพื่อมไหว เวินเยี่ยนเฉินผละกายออกห่าง "หลิงหลิง เจ้าฝัน ฝันเท่านั้น""ฝ่าบาท ข้า..." ริมฝีปากสีกุหลาบสั่นระริกเวินเยี่ยนเฉินคว้ากายเพรียวบางเข้ามาสวมกอดอีกครั้ง "บางทีคนเราไม่จำเป็นต้องเก็บงำความรู้สึกไว้ตลอดเวลา ทุกคนมีทั้งมุมที่แข็งแกร่งและอ่อนแอ เจ้าอยากร้องก็ร้องมาเถิด ทุกอย่างเป็นคว
ณ ลานประหารราชวังหลวงสตรีร่างระหงสวมอาภรณ์สีชาด ยืนถือกระบี่อ่อนลายเหมยกุ้ยฮวา [1] นัยน์ตาหงส์คู่นั้นเย็นยะเยือกเสียจนน่าสะพรึง ชายวัยกลางคน และชายหนุ่มสวมเครื่องแต่งกายตัดเย็บด้วยผ้าดิบสีขาวบ่งบอกว่าคือนักโทษแดนประหารนั่งอยู่ท่ามกลางลานกว้าง ดวงตาเหม่อลอยหม่นแสง แม่ทัพฉู่เฉิงจิ้นถูกนำตัวกลับมารับโทษพร้อมทุกคนที่เกี่ยวข้องกับตระกูลฉู่ฝั่งตรงข้ามคือสตรีใบหน้าสะสวยทว่ายามนี้คงต้องเรียกว่าซีดขาวดุจไร้วิญญาณ ฉู่เยว่เฉินร้องไห้เสียจนน้ำตาแห้งขอดเหล่าอาณาประชาราษฎร์ต่างให้ความสนใจต่อลานประหารด้วยความจดจ่อ บางคนก็หวาดเกรงจนมิอาจทนดู เสียงวิจารณ์อึงอลเสียจนระเบ็งเซ็งแซ่น่าเห็นใจตระกูลจ้าว ถูกป้ายสีจนพินาศทั้งตระกูล คนอำมหิตเช่นนี้สมควรได้รับโทษตายก็ถูกต้องแล้วชาวบ้านที่ถือผักเหี่ยวเฉา ไข่เป็ด ไข่ไก่อันเน่าเหม็นต่างปาเข้ามายังลานด้านใน ฉู่เยว่เฉินร้องไห้อย่างหนักหน่วง ส่วนบุรุษทั้งสองเพียงถอนหายใจก้มหน้ารับชะตา ไข่กลิ่นคาวคลุ้งถูกปากระทบศีรษะ เยิ้มหยดลงใบหน้าเส
ขุนนางเหล่านั้นก็ตื่นตะลึงกันไปหมด ทั้งสาสน์ลับที่ถูกสับเปลี่ยน และความจริงจากปากขององครักษ์ก็เป็นหลักฐานยืนยันได้อย่างกระจ่างแจ้งมิใช่หรือ หนำซ้ำต่งรุ่ยเหวินยังสารภาพเรื่องราวเองทั้งหมด"นี่มันเหี้ยมโหดเกินไปแล้ว ข้าก็ว่าแม่ทัพจ้าวผลงานโดดเด่นและภักดีต่อแคว้นมาโดยตลอด ไหนเลยจะคิดก่อกบฏจนตัวตาย""พวกท่านเอ่ยตอนนี้มันเกิดประโยชน์ใดหรือ ขุนนางเก่าแก่เช่นท่าน ท่าน และท่าน..." นิ้วหยาบระคายชี้หน้าพวกเขาอย่างดุดัน พวกเขารับรู้ถึงความครั่นคร้ามจากโอรสแห่งสวรรค์ก็พลันก้มหน้างุดแทบหยุดหายใจ"พวกท่านมันมีแต่คนขี้ขลาด!! คิดว่าข้าต้องเกรงใจขุนนางละโมบไปถึงเมื่อใด ข้าจะบั่นศีรษะพวกท่านและเปลี่ยนขุนนางใหม่ทั้งหมดก็ยังได้!" ร่างสูงลุกยืนบันดาลโทสะขันทีตัวสั่นเทา "ฝ่าบาท โปรดระงับโทสะด้วย"เวินเยี่ยนเฉินตวัดตามองฉับ "ระงับโทสะ! เป็นเจ้ามิใช่หรือที่คอยรายงานความเคลื่อนไหวของข้าให้พวกเขารู้""หา...ฝ่าบาทเข้าพระทัยผิดแล้วพ่ะย่ะค่ะ""หนวกหู! ทหาร เอาตัวขันทีเปาไปลงทัณฑ์ให้หนัก"ขันทีเปาหยู่ซินเบิกตาโพลง แขนทั้งสองของเขาถูกนายทหารกายกำยำสองคนถลัน