สายน้ำเชี่ยวไหลผ่านตลิ่งและโขดหินได้นำพาร่างหนึ่งที่เพิ่งตกลงเหวลงสู่ก้นบึ้ง เหมยลี่มิทันได้ระวังตัวเมื่อแรงกระแทกปะทะร่างกายจนจุกและเจ็บ สายน้ำโหมกระหน่ำเข้ามายังปอดจากการสำลัก พยายามสูดอากาศเข้าแล้วแต่มิอาจทำได้ นางจึงรู้ว่าคงมิอาจรอดพ้นบ่วงเคราะห์นี้ไปได้ในใจแตกสลายมิมีชิ้นดี จากความรักที่เหมยลี่คิดว่าท่านแม่ทัพจักเมตตาต่อกันบ้าง แต่หามีไม่ในเมื่อเป็นเช่นนั้นจึงขออ้อนวอนต่อฟ้าดินขอให้นางได้รอดพ้นจากมู่หยางเสียทีมิว่าชาติภพใดก็มิขอรักบุรุษผู้นี้อีกหยดน้ำตาผสมกับสายน้ำเย็นดวงตาปิดสนิทด้วยความปลงกับชีวิต หญิงอัปลักษณ์มิขออยู่ให้อายฟ้าดินอีกต่อไป นางจึงมิไขว่คว้าและปล่อยให้ร่างไร้สติไหลไปตามกระแสน้ำดุจกลีบดอกเหมยที่ร่วงโรยผ่านไปหลายชั่วยามร่างอรชรที่เปียกปอนได้ถูดพัดมาติดที่โขดหิน ใบหน้าซีดเซียวคล้ายกับคนไร้ซึ่งดวงวิญญาณค่อยเปลี่ยนเป็นสีระเรื่อ และมีชีพจร ปลายนิ้วค่อย ๆ ขยับไปพร้อมกับเปลือกตาที่ปรือขึ้นคิ้วบางขมวดเข้าหากันลี่หลินจำได้ว่านางอ่านนิยายอยู่ที่หอพักมิใช่หรือเหตุใดถึงได้มาอยู่กลางป่าแสนหนาวเหน็ดยามค่ำคืนเช่นนี้“ฮัดชิ้ว!” หญิงนักศึกษาจามออกมาจนได้ นางรู้สึกชื้นปอดอย่างไร
สายตาคมโกรธเกรี้ยวมองหญิงอัปลักษณ์กับสหายอยู่บนหลังม้า มู่หยางมิคิดเลยว่าจักได้มาเห็นภาพบาดตาเยี่ยงนี้ ใจเจ็บแค้นเมื่อรู้ว่าชู้ของเหมยลี่คือเซียวจ้านคนที่เขาไว้ใจนักหนา ความโกรธเริ่มปะทุทำให้ใจแกร่งหวั่นไหว มือทั้งสองกำไว้ด้วยแรงทั้งหมดที่มีจนสั่นเทาก่อนกระโดดลงจากหลังม้าอย่างสง่างาม“เจ้าบังอาจเยี่ยงนัก” ท่านแม่ทัพชักดาบแหลมคมจ่อไปยังทั้งสอง“ท่านคิดจักทำอันใดมู่หยาง” เซียวจ้านรีบดึงเหมยลี่หลบไปอยู่ด้านหลัง พลันยกดาบมาสกัดขวางไว้เช่นกัน“ข้าจักฆ่าเจ้าด้วยเซียวจ้าน เจ้าบังอาจมาเป็นชู้กับหญิงของข้า” มู่หยางตัดขาดเซียวจ้านจากการเป็นสหายบัดเดี๋ยวนี้ ดวงตาจ้องเขม็งด้วยความโกรธ“ข้ามิได้เป็นชู้กับนาง สหายท่านเข้าใจผิดแล้ว” บุรุษรูปงามพูดอย่างใจเย็น“จักให้ข้าเข้าใจเป็นอื่นได้เยี่ยงไร ในเมื่อเจ้าทั้งสองทำเรื่องบัดสีที่ถ้ำแห่งนี้ เสื้อผ้าบนกายก็แต่งมิเรียบร้อย พวกเจ้าคงเริงรักกันลั่นป่าแล้วกระมัง”“ข้ามิได้ทำเรื่องเช่นนั้นนะท่านแม่ทัพ” เหมยลี่พูดสวนขึ้น ใบหน้าเปียกปอนมองสามีซึ่งกำลังเข้าใจนางผิดมหันต์“เจ้า! ข้ายังมิคิดบัญชีกับเจ้า” มู่หยางหันปลายดาบไปจ่อคอนาง“มู่หยาง!” เซียวจ้านตื่นตกใจ เข
เปลือกตาหนักอึ้งได้ขยับลืมตาตื่น มู่หยางสร่างเมาแต่ก็ยังหนักศีรษะอยู่มิหาย บุรุษแข็งแกร่งเยี่ยงเขามิเคยเมามายเฉกเช่นนี้มาก่อน พอลุกขึ้นนั่งอยู่บนเตียงพลันนึกขึ้นได้ว่าเขามีเรื่องร้อนใจที่จำเป็นต้องไปสะสางบุรุษร่างสูงจึงลุกขึ้นแล้วเดินหาเหมยลี่อย่างมิสนสายตาผู้ใด เพราะความร้อนรุ่มในใจต้องการคำตอบให้ได้เสียเดี๋ยวนี้เมื่อเดินไปถึงยังโรงฟืนสายตาคมพลันเห็นกลุ่มคนกำลังยืนล้อมเป็นวงยิ่งชวนให้สงสัย เขาจึงย่างกรายเข้าไปเพื่อถามว่าเกิดอันใดขึ้นกันแน่“พวกเจ้าทำอันใดกัน” เสียงทุ้มเอ่ยขึ้น ทำให้กลุ่มคนต่างแตกตื่นรีบหันมาคำนับท่านแม่ทัพมู่หยางเห็นต้าเหนิงกับท่านแม่ยืนอยู่ตรงที่แห่งนี้ด้วยก็ยิ่งขมวดคิ้วเข้าไปใหญ่“ท่านพี่” ต้าเหนิงปรี่เข้ามาหา “หญิงอัปลักษณ์หนีตามชู้รักไปแล้วเจ้าค่ะ” ต้าเหนิงแสร้งทำหน้าเศร้า“ว่าเยี่ยงไรนะ!”มู่หยางแผดเสียงด้วยความโกรธ ตัวเขาชาไปทั้งกาย มิคิดเลยว่าหญิงอัปลักษณ์จักทำเรื่องเยี่ยงนี้ได้ หากใครรู้เข้าท่านแม่ทัพเยี่ยงเขาคงได้โดนตราหน้าเป็นการใหญ่ และหากเหมยลี่คบชู้จริงศีรษะของนางคงได้หลุดออกจากบ่าแน่“งามหน้านัก นางหนีลูกไปตั้งแต่เมื่อใดมิรู้ ดูสิยังทิ้งจดหมายที่ชู้ท
บุรุษรูปงามแบกร่างอรชรวิ่งผ่านสายฝนเข้าไปหลบหนาวอยู่ในถ้ำที่อยู่ใกล้ ก่อนเหมยลี่จักป่วยกายไปมากกว่านี้ เซียวจ้านจึงรีบก่อฟืนไฟให้ในที่แห่งนี้อบอุ่นและมีแสงสว่าง เพียงแค่ขยับมือกวาดผ่านไม้แห้งที่สุมเป็นกองเปลวไฟก็พลันลุกโชนขึ้นง่ายดายสายตาเฉี่ยวมองหน้าผากที่มีบาดแผล เซียวจ้านจึงรีบหาสมุนไพรมาบดและทาให้ พร้อมดึงผ้าคาดเอวมาพันรอบศีรษะ แต่พอหลุบตามองเสื้อผ้าที่หญิงอัปลักษณ์ซึ่งในยามนี้บางและเปียกจนแนบเนื้อ ใบหน้าสะอาดพลันแดงระเรื่อเสียจนต้องรีบหันหน้าหนี“นะ...หนาว” คนสลบละเมอพูดเสียงหวานแผ่วเบาราวกระซิบ เมื่อหันกลับไปมองก็ได้เห็นเหมยลี่กำลังปากสั่นตัวสั่นเทาคล้ายกับอาการของคนจับไข้“เจ้า” เซียวจ้านนึกเป็นห่วงพลางจับต้นแขนเล็กไว้มั่น“นะ...หนาว”“ข้าจักทำเช่นไรดี หากปล่อยให้เจ้าสั่นกายอยู่เยี่ยงนี้ เจ้าคงได้สิ้นลมหายใจแน่” เซียวจ้านไม่เคยรู้สึกว่าตัวเขาจนตรอกเช่นนี้มาก่อน เขามิรู้ว่าจักต้องทำเช่นไรดีให้ร่างอรชรแสนบอบบางอบอุ่น คิดพลางเอื้อมมือหมายจักจับดึงเสื้อผ้าเปียกปอนออกแต่ก็ต้องรั้งมือไว้“มิได้ ข้าจักทำเช่นนี้มิได้” เซียวจ้านตบตีกับความคิด เขาเพียงแค่อยากนำผ้าเปียกบนกายนางมาผึ่งไฟให
แววตาแห่งความสะใจฉายให้เห็นในความมืด อู๋ท่งยืนมองอยู่หลังกอไผ่ก่อนเดินย่างกรายออกมาเพื่อชื่นชมคนขับรถม้า“เจ้าทำได้ดีมาก นางตายแล้วรึไม่” อู๋ท่งพูดเสียงเบาราวกระซิบ“ข้ามิแน่ใจ แต่ผาสูงชันเช่นนี้หากมิตายก็คงพิการ แต่ถ้านางรอดกลับมาพวกเราจักไม่เป็นภัยดอกรึ” ชายขี้ขลาดตาขาวพูด เพิ่งนึกขึ้นได้ว่าควรมีจิตสำนึกที่ดี“มิเป็นเยี่ยงนั้นดอก ใครจักไปเชื่อคำของหญิงอัปลักษณ์เพียงผู้เดียวกัน เจ้ากับข้ารีบกลับไปยังเรือนตระกูลกู้ก่อนเถิด มิเช่นนั้นจักโดนท่านแม่ทัพสงสัยเอาได้” อู๋ท่งพูดพร้อมเดินกลับไปยังรถม้าอย่างมิคิดกลับหลัง ทำให้ชายผู้เป็นคนลงมือตามคำสั่งต้องเร่งฝีเท้าตามไปหน้าผาชันเป็นเหวลึกแต่ก็ยังมีพื้นที่ให้ร่างของหญิงอัปลักษณ์ตกลงมาบนต้นไม้ใหญ่ก่อนกลิ้งไปตามพื้นแล้วสลบลงไป เหมยลี่เจ็บและจุกกายจนขยับไปไหนมิได้ นางพยายามปรือตามองผ่านความมืดมิดก่อนที่เปลือกตาจะดับสนิทไปในไม่ช้าทางด้านเซียวจ้านที่เร่งควบม้าตามหาหญิงอัปลักษณ์ด้วยความร้อนใจ เขาได้พบกับรถม้าซึ่งมีตราประจำตระกูลกู้ติดอยู่ นั่นทำให้บุรุษบนหลังม้ารีบไปไปดักหน้าขวางทางไว้โดยพลันเสียงม้าร้องลั่นเมื่อถูกเชือกดึงรั้งอย่างกะทันหัน คนขับร
แม่ทัพมู่หยางเดินทางกลับมาด้วยความร้อนใจ ถึงเขาจักยินดีเมื่อได้รู้ข่าวว่าภรรยาเอกได้ตั้งครรภ์แล้วก็ตาม ทว่าอีกใจหนึ่งก็นึกอยากกลับไปถามหญิงคนลวงให้รู้แล้วรู้รอด ว่านางลวงหลอกสมอ้างเป็นบุตรสาวคนเล็กของผู้ครองแคว้นอันรึไม่เมื่อเดินทางมาถึงยังเรือนตระกูลกู้ บุรุษร่างสูงพลันจ้ำเท้าเข้าไปอย่างมิรีรอ เพื่อมุ่งหน้าไปหาหญิงอัปลักษณ์ โดยมิสนใจต้าเหนิงเลยด้วยซ้ำ“ท่านพี่จักไปที่ใดรึเจ้าคะ” ต้าเหนิงเห็นหน้าสามีที่ผ่านเลยไป ราวกับเห็นนางเป็นเพียงอากาศธาตุก็ยิ่งเจ็บแค้นใจอยู่มิน้อย ทั้งที่นางตั้งหน้าตั้งตารอถึงเพียงนี้ และในท้องของนางก็ยังมีบุตรของตระกูลอีกด้วย“ข้า...” มู่หยางมิสามารถพูดออกมาได้“ท่านพี่มิดีใจรึเจ้าคะที่ข้าตั้งท้องบุตรของเรา” ภรรยาเอกเยี่ยงนางถูกลดความสำคัญลงไปอย่างเห็นได้ชัด แล้วเยี่ยงนี้จักให้นางอยู่นิ่งเฉยได้เยี่ยงไร“ข้าดีใจ ดีใจที่สุด” มู่หยางเดินมาหาต้าเหนิง“ถ้าเช่นนั้นท่านพี่ก็จงรีบไปหาท่านแม่ และขุนนางท่านอื่นที่มารอร่วมยินดีกับพวกเราเถอะเจ้าค่ะ” ต้าเหนิงรีบดึงแขนสามีมู่หยางปรายตามองไปยังหลังเรือนอีกหน ก่อนเดินตามภรรยาเอกไป พลางคิดว่าไม่ช้าก็เร็วเขาคงมีเวลาได้คุยกับหญิ