บุรุษชุดดำเดินออกจากโรงเตี๊ยม ทั้งที่ใจจริงอยากนั่งรอหญิงอัปลักษณ์ไปจนถึงเวลาเลิกงาน แต่เขามีธุระที่ต้องไปจัดการเสียหน่อยจึงต้องรีบไปในป่าที่เงียบสงบมีบ้านไม้หลังเล็กเป็นที่พักพิงของเซียวจ้านเพียงชั่วคราวเท่านั้น หลังจากเขาฟื้นจากความตายในครั้งนั้นได้ฝึกวิทยายุทธทางสายดำจนทำให้ร่างกายภายในเปลี่ยนแปลงไปเซียวจ้านมิคิดว่ามันจักเสียหายอะไรในเมื่อเขาสามารถกลับมาได้ และนำพาให้เหมยลี่กลับคืนมาพบเจอเขาอีกหน มิว่าจักต้องแลกด้วยสิ่งใดก็ยอมแต่ถึงอย่างนั้นอุปสรรคชิ้นใหญ่ก็ยังหนีมิพ้นมู่หยางที่เขาต้องรีบจำกัดออกไปเสีย เขาจึงหยิบกระดาษและพู่กันออกมาก่อนขีดเขียนถ้อยคำบางอย่างออกไปเพื่อแจ้งข่าวเซียวจ้านผิวปากเรียกนกพิราบสื่อสารทันทีเมื่อวางพู่กันลง มินานนกตัวเล็กสีเทาอมฟ้าได้บินโฉบมาเกาะอยู่ที่ขอบหน้าต่างสายตาเฉี่ยวมองนกตัวน้อยพลางผูกกระดาษไว้ที่ขาของมัน“ไปที่เรือนตระกูลกู้” เขาบอกเพียงเท่านั้น ก่อนปล่อยให้นกตัวน้อยบินทะยานขึ้นสู่ฟ้าอีกครั้งทางด้านตระกูลกู้ที่แสนวุ่นวายเพราะเสียงโวยวายของต้าเหนิง หลังจากที่สามีหนีหน้านางก็มีความเกรี้ยวกราดขึ้น ท้องของนางก็ใกล้คลอดอยู่รอมร่อมู่หยางก็ยังมิส่งข่า
“น่าอับอายนัก”ลี่หลินบ่นพึมพำพลางเช็ดปากตัวเอง สัมผัสของมู่หยางยังคงติดอยู่ที่ริมฝีปาก นางมิอยากจดจำและมิอาจยอมรับจูบที่ไม่มีอารยธรรมเลยสักนิดสองเท้าก้าวเดินเข้าไปในโรงเตี๊ยม สายตาของนางก็เหลือบไปเห็นบุรุษชุดดำผู้หนึ่งกำลังนั่งจิบน้ำชาอยู่ที่โต๊ะด้านใน“ท่านเซียวจ้านรึ”ลี่หลินขมวดคิ้วพึมพำกับตัวเองอีกหน ในครั้งนี้อีกฝ่ายได้ถอดหมวกออกแล้ว นางที่ยังมิเคยเห็นหน้าเซียวจ้านชัด ๆ จึงเดินเข้าไปหาดวงตาจ้องมองบุรุษผู้นั้นอย่างมิคลาดไปไหน ผ้าม่านและเสาต้นใหญ่ค่อย ๆ หลบทางให้จากที่เห็นใบหน้าเพียงเล็กน้อยพลันได้เห็นเต็มตาจากที่ไกล ๆดวงตาคู่เฉี่ยวจ้องตอบทำให้นางหยุดชะงักเล็กน้อย แต่ยังเดินเข้าไปหาพระรองผู้นี้มีใบหน้าที่หล่อเหลาสมคำเปรียบเทียบโดยแท้ นางตกหลุมรักใบหน้านี้หลายคราจนยากจักถอนหัวใจเต้นโครมครามกึกก้องยิ่งกว่าเครื่องดนตรีที่คอยบรรเลงเสียอีก หากเซียวจ้านรู้ว่าลี่หลินคนนี้หลงรักเขาถึงเพียงนี้แล้ว จักยังเชื่ออยู่อีกหรือไม่ว่านางมิใช่เหมยลี่“ท่าน” ลี่หลินเอ่ยทักทายเซียวจ้านมองเสื้อกันหนาวบนตัวนางที่สวมใส่ พลางยกยิ้มอย่างพอใจ ก่อนช้อนตาขึ้นมองใบหน้าที่ถูกคลุมไว้ด้วยผ้าเสี้ยวหนึ่ง“ท่า
ดวงตะวันโผล่พ้นขอบฟ้าเป็นสัญญาณของวันใหม่ ลี่หลินลืมตาตื่นขึ้นมาโดยผินหน้าไปทางหน้าต่าง ก่อนหลุบตามองเสื้อกันหนาวของเซียวจ้านที่ถูกพับไว้อย่างดี นางเหม่อลอยเล็กน้อยพลางครุ่นคิดถึงความทรงจำเมื่อคืน คนมีใจรักให้พระรองรู้สึกเสียดายยิ่งนักที่ความรักนี้อาจไม่สมหวังหญิงอัปลักษณ์มิทนให้ใจสับสนได้นาน นางมีเป้าหมายในการใช้ชีวิตจึงต้องลุกจากที่นอนไปทำงานในโรงเตี๊ยมเหมือนอย่างเคย“เจียเจี่ยท่านจักไปแล้วรึ” ฟูฟูเอ่ยถามเมื่อเห็นพี่สาวเดินออกมาจากห้อง”“อืม ข้าต้องรีบไปแล้ว”“อากาศด้านนอกหนาวยิ่งนักท่านอย่าลืมสวมเสื้อให้อุ่นกาย ให้ข้าเตรียมถุงร้อนให้รึไม่”“มิเป็นไร” ลี่หลินไม่อยากรบกวนน้องสาวจนเกินไป นางจึงเดินไปหยิบเสื้อกันหนาวของเซียวจ้านมาคลุมไว้แทน“เสื้อตัวนี้ ข้ามิเห็นคุ้นตา” ฟู่ฟู่ขมวดคิ้วถามอย่างสงสัย“ข้า...ข้าได้มาจากเถ้าแก่เนี้ย” ลี่หลินพลันหน้าแดงรีบโกหกไป ก่อนเดินหนี“เดินระวังด้วยเจียเจี่ย” ฟู่ฟู่ตะโกนตามหลัง นางเป็นห่วงสตรีมีครรภ์เหลือเกินอีกไม่นานหลานตัวน้อยก็ได้ลืมตาดูโลกแล้วลี่หลินเดินไปตามทางที่ขาวโพลน เมื่อคืนหิมะตกหนักมากเสียจนปกคลุมอยู่ทั่วบริเวณ นางจึงเดินไปโรงเตี๊ยมอย่างร
เสียงผู้คนจอแจบนถนนยามราตรีที่ประดับด้วยโคมไฟสีแดงไปตลอดทางเดิน หลายคนมาชมการแสดงร่ายรำและปล่อยโคมลอยกันเนืองแน่นลี่หลินเพิ่งจักได้สัมผัสบรรยากาศของประเพณีแบบดั้งเดิมเป็นคราแรกนางจึงตื่นตาตื่นใจยิ่งนักแต่น่าแปลกโดยแท้เมื่อหันไปมองเซียวจ้านในตอนนี้เขายังคงสวมหมวกปิดบังใบหน้าไว้“เหตุใดท่านถึงปิดบังใบหน้า” ด้วยความสงสัยหญิงอัปลักษณ์จึงเอ่ยถาม บุรุษรูปงามไยต้องปกปิดใบหน้านี้ไว้ เขามิใช่เฉกเช่นนางสักหน่อย“แม่นางอยากมองหน้าข้างั้นรึ” เซียวจ้านเอ่ย“มิใช่สักหน่อย ข้าแค่สงสัยบุรุษที่มีใบหน้าดั่งเทพเยี่ยงท่านไยจึงต้องปกปิดมันเอาไว้”“แม่นางชมข้าเกินไปแล้ว” ใบหน้าที่ถูกซ่อนใต้ม่านยกยิ้ม“ข้ามิได้ชมท่านสักหน่อย” ลี่หลินเคอะเขินรีบเร่งฝีเท้าเดินไปข้างหน้า“เจ้าระวังตัวด้วย” มือใหญ่รีบคว้าหญิงอัปลักษณ์ไว้ เมื่อเห็นว่ามีใครบางคนวิ่งผ่านมาเกือบชนนางเข้า“ขอบน้ำใจท่าน”ลี่หลินพลันตกใจเล็กน้อย ก่อนยืนตัวตรง ใจของนางเต้นตึกตักอย่างบอกมิถูก หญิงที่แสนอัปลักษณ์แถมยังมีบุตรอยู่ในครรภ์เกิดอาการหวั่นไหวกับบุรุษผู้มิคู่ควรได้เยี่ยงไรนางครุ่นคิดด้วยความหนักใจพลางมองเหม่อลอยไปยังโคมที่ลอยอยู่เต็มท้องฟ้าสี
ลี่หลินทำงานอยู่ในครัวอย่างเหน็บเหนื่อยจนยามโหย่วนางก็ได้ละมือจากงาน นางยังจำคำของเซียวจ้านได้ว่าเขาจักรอนางเพื่อไปเที่ยวงานลอยโคมด้วยกันลี่หลินในร่างอัปลักษณ์ยังคงลังเลใจ นางมิกล้าเดินออกไปหน้าโรงเตี๊ยมทั้งที่ตอนนี้นางควรกลับบ้านได้แล้ว“เจ้ายืนอยู่ที่นี่อีกทำไม” เถ้าแก่เนี้ยเอ่ยถามเมื่อเดินมาเห็นนางยังยืนอยู่ในโถง“ขะ...ข้า” ลี่หลินมิสามารถพูดได้เต็มปาก นางจึงละคำไว้เพียงเท่านั้นเถ้าแก่เนี้ยหรี่ตาอย่างสงสัย “มีอันใดงั้นรึ”หญิงอัปลักษณ์ส่ายหน้าเล็กน้อย “มิมีอันใด ข้าขอกลับก่อน” ลี่หลินเอ่ยลาแล้วเลือกเดินออกไปใบหน้าก้มลงพื้นพร้อมจับผ้าคลุมไว้เพื่อมิให้ใครเห็นนางได้ ลี่หลินรีบก้าวเท้าออกไปจากโรงเตี๊ยมแห่งนี้“เจ้า!” ทว่ามิทันเสียแล้ว มีเสียงทุ้มมารั้งนางไว้แต่เสียงนี้มิใช่เสียงที่นางอยากได้ยินสักหน่อย นอกจากไม่หยุดฝีเท้า นางยังเมินบุรุษผู้นั้นด้วย“เหมยลี่” มู่หยางที่ยืนรอนางอยู่นานรีบตามนางไปเขาคว้าข้อมือนางเพื่อรั้งไว้ แต่แรงบุรุษที่กะแรงตัวเองมิได้ ทำให้นางเสียหลักเล็กน้อยจนโอนเอนมาทางเขา ท่านแม่ทัพผู้แต่งกายด้วยชุดธรรมดาประคองเอวนางไว้เอวของหญิงอัปลักษณ์มิได้ผอมบางเหมือนแต่ก
ลี่หลินได้มีเวลาชื่นชมความงามของธรรมชาติ บึงดอกบัวตรงหน้ามีบุรุษชุดดำกำลังขุดรากบัวอย่างขะมักเขม้น มินานเขาก็หิ้วตะกร้าขึ้นมาหาเธอ โดยที่มือข้างหนึ่งถือดอกบัวมาด้วย“ข้าให้เจ้า” เซียวจ้านถือดอกบัวให้ แม้มันจักไม่งดงามเท่าสตรีตรงหน้า แต่เขาก็อยากมอบมันให้แก่นางดวงตากลมโตมองดอกบัวในมือบุรุษ นางเป็นหญิงตั้งครรภ์อยู่เยี่ยงนี้ และที่สำคัญคือลี่หลินมิใช่เหมยลี่ที่เซียวจ้านรัก หากรับดอกไม้จากบุรุษผู้มีจิตใจบริสุทธิ์มันจักเป็นการดีหรือไม่ลี่หลินคิดว่าตัวนางมิเหมาะสมกับคนแสนดีเยี่ยงเขา พระรองที่มาผิดที่ผิดเวลาเช่นนี้นางรู้สึกปวดใจยิ่งนัก จึงลังเลพลางมองดอกบัวนี้ด้วยความรู้สึกที่หลากหลายเซียวจ้านเห็นนางไม่รับก็เกิดอาการเก้กัง มิว่าครั้งใดหญิงอัปลักษณ์ก็ยังมิยอมรับไมตรีจากเขา ใบหน้าจึงพลันหงอยลงทันตาเห็น เขาเบนใบหน้าหนีและลดมือลงแนบลำตัว“ขอบน้ำใจท่าน ข้าจักรับไว้” ลี่หลินมิอาจปฏิเสธใจตัวเองได้ นางมิอยากเห็นเซียวจ้านต้องทุกข์ใจเลยสักครั้ง จึงได้แบมือไปขอดอกไม้นั้นเซียวจ้านหันมามองนางก่อนยื่นดอกบัวงามให้ แล้วคลี่ยิ้มจาง ๆ“ส่งตะกร้ามาให้ข้าเถิด” ลี่หลินพูดอีกครั้ง“เจ้าเดินไปเถิด ข้าจักไปส่ง”