ในตอนที่แม่ทัพทมิฬเผลอลดแรงกดริมฝีปาก หนิงซินอาศัยจังหวะนั้นขบกัดริมฝีปากเขาจนสุดแรง ผลที่ได้รับกลับมาคือการกระแทกกระทั้นที่รุนแรงยิ่งขึ้น รุนแรงเสียจนช่องทางซึ่งยังคงชุ่มโชกด้วยคราบความใคร่จากการข่มเหงรังแกครั้งก่อนของเขาร้อนผ่าวเหมือนไฟลน
หากไม่นับความรังเกียจหวาดกลัวในใจแล้ว ต้องยอมรับว่าการกระทำอันป่าเถื่อนนี้ทำให้หัวใจของนางยิ่งเต้นแรง ช่วงล่างของนางในยามนี้ก็ทั้งเสียวซ่านและเต้นตุบรัวถี่จนยากจะหาคำมาอธิบาย เลือดลมในกายสูบฉีดความซาบซ่านหฤหรรษ์อันน่าอับอายที่นางไม่เคยได้สัมผัสไปทั่วร่าง เป็นดังที่นางหวาดกลัวไม่มีผิด การกระทำอันดุดันป่าเถื่อนนี้กำลังครอบงำนาง ความบ้าคลั่งของคนผู้นี้กำลังกลืนกินสติสัมปชัญญะทั้งหมดทั้งมวลของนาง ทำให้มโนสำนึกของนางค่อยๆ พร่าเลือน คนผู้นี้...คนผู้นี้กำลังจะทำให้นางเป็นบ้า!
หนิงซินไม่รู้ว่าตนเองเผลอปล่อยริมฝีปากโจรขืนใจต่ำช้าผู้นี้ตั้งแต่เมื่อใด กว่าจะรู้ตัว แม่ทัพเฮยเซ่อเย่ว์ก็ใช้ริมฝีปากหยักได้รูปนั่นดูดกลืนความหวานจากริมฝีปากนางอีกครั้ง พร้อมทั้งแบ่งปันรสคาวเลือดจากริมฝีปากตนให้นางอย่างดิบเถื่อน วิปริต
“เป็นอย่างไรบ้าง รสชาติโลหิตของคนเฮยเซ่อเย่ว์” เขาถามเสียงคล้ายคำราม ก่อนจับหน้านางกดลงกับฟูก บังคับให้คุกเข่าเหมือนสุกรหรือสุนัข จากนั้นก็กระแทกกระทั้นท่อนเนื้อใหญ่ยักษ์ที่ยามนี้ทั้งแข็งเกร็งและใหญ่โตยิ่งกว่าก่อนหน้าเข้าออกไม่หยุด กระทำกับนางเยี่ยงสัตว์ป่าที่หิวกระหาย ทั้งดิบเถื่อนและโหดร้ายทารุณ ไม่มีความทะนุถนอมอ่อนโยนของสุภาพชนสักนิด
“ต่ำช้า...ท่านมันต่ำช้าที่สุด!” นางก่นด่าเสียงอู้อี้ น้ำตาไหลไม่หยุด
นี่เป็นคำพูดที่รุนแรงที่สุดในชีวิตของนางแล้ว
ทว่าอีกฝ่ายกลับไม่สะทกสะท้านเลยสักนิด
“ถูกแล้ว ข้าก็คือแม่ทัพต่ำช้าที่อาบโลหิตต่างน้ำ บั่นศีรษะสังหารผู้คนมามากมายนับไม่ถ้วน เผากองทัพเผาบ้านเผาเมืองมากี่แว่นแคว้นแล้วก็จำไม่ได้ จากองค์หญิงศักดิ์สิทธิ์ผู้สูงศักดิ์กลับต้องตกเป็นนางบำเรอของบุรุษหยาบกระด้างต่ำช้าผู้หนึ่ง ถูกกระทำย่ำยีเยี่ยงสัตว์เดรัจฉานเช่นนี้ รู้สึกอย่างไรบ้างเล่า!” น้ำเสียงเขาตอนเอ่ยถ้อยคำเหล่านี้ฟังดูสาแก่ใจยิ่ง
เขายังกล่าวต่อไป “รอให้ครบสามวันตามที่ได้ลั่นวาจาเอาไว้ก่อนเถอะ หากหนิงอ๋องไม่ทำตามที่เจ้าว่า รอจนกองทัพเรือนแสนของพวกเราบุกเข้าเมืองหลวงแคว้นป๋าย ข้าจะให้เจ้าได้เห็น ว่าอะไรคือทะเลเลือดทะเลเพลิง อะไรคืออาบเลือดต่างน้ำ อะไรคือทุกกระทำย่ำยีทุกค่ำเช้า ทุกข์ทรมานยิ่งกว่าตายทั้งเป็น!”
ตอนนี้เขากระแทกกระทั้นรุนแรงรวดเร็วจนนางแทบทนรับไม่ไหวแล้ว
น่าอับอาย...ช่างน่าอับอายยิ่งนัก...
ทั้งๆ ที่ถูกกระทำเยี่ยงสัตว์เดรัจฉาน ถูกหยามหมิ่นเกียรติยศศักดิ์ศรี ทว่ายามนี้...ยามนี้นางกลับรู้สึกว่ามีบางอย่างระเบิดโพลงอยู่ข้างในกายนาง แพร่กระจายความตื่นเต้นสุขสมเสียวซ่านไปทั่วทั้งร่าง ชีพจรเต้นเร็วรัว ช่องทางที่โอบรัดอาวุธร้ายของโจรขืนใจต่ำช้าก็เอาแต่เต้นตุบตุบ บีบรัดส่วนน่ารังเกียจชิงชังอันใหญ่โตของคนผู้นี้ไม่หยุด ยิ่งคนผู้นี้เคลื่อนไหว ยิ่งคนผู้นี้สัมผัสนาง กอดรัดนางแนบแน่นเนิ่นนานเท่าไหร่ ความรู้สึกอันน่าอัปยศอดสูเหล่านั้นของนางก็ยิ่งทบทวี
นาง...นางรู้สึกเช่นนี้ทั้งๆ ที่คนผู้นี้กระทำกับนางเช่นนี้ ทั้งยังกล่าววาจาเช่นนี้ นี่นาง...
“ฮือ...ฮือ...ฮือ!” หนิงซินกดหน้าลงกับฟูก ร้องไห้เสียงดังที่สุดในชีวิต
แม่ทัพเฮยเซ่อเย่ว์กระแทกแก่นกายอันมหึมาของตนหนักๆ ห้าหกครั้ง หลังจากนั้นหนิงซินก็รู้สึกได้ว่าเกิดมีบางอย่างระเบิดโพลงขึ้นอีกครั้ง ครั้งนี้มันทั้งอุ่นร้อน ทั้งเติมเต็มช่องว่างบางอย่าง ทั้ง...
หนิงซินปิดเปลือกตาอย่างอ่อนล้า ไร้สิ้นเรี่ยวแรงจะต้านทาน ปล่อยให้ทุกอย่างดำเนินต่อไปอย่างที่มันสมควรจะเป็น
ตอนนี้นางไม่อยากรับรู้อะไรอีกต่อไปแล้ว
ตอนนั้นเอง หญิงหม้ายสกุลอวี๋ก็เปิดประตูเดินอุ้ยอ้ายออกมา นางทำท่าจะประสานมือคารวะ แต่ถูกอีเหิงขยับเข้าประคองห้ามไว้กลับเป็นหมอหลวงสวี่ที่ประสานมือค้อมศีรษะคารวะหญิงหม้ายเสียเอง แล้วเอ่ยถาม“อวี๋ฮูหยิน เป็นอย่างไรบ้าง มิใช่ว่าองค์หญิง—” หมอหลวงสวี่กำมือที่ชุ่มโชกไปด้วยเหงื่อใต้ชายแขนเสื้อคลุมสีขาวตัวยาวไว้แน่นหญิงหม้ายคาดไม่ถึงว่าบุคคลที่จำได้เลาๆ ว่าเป็นถึงหมออาวุโสผู้หนึ่งของกองทัพ ได้รับการนับหน้าถือตาเป็นอย่างยิ่ง จะถึงกับทำความเคารพสามัญชนเช่นนาง ซ้ำยังออกปากถามความเห็น มิใช่ถามเพียงอาการเช่นนี้ ทว่าเมื่อคำนึงถึงเรื่องที่สตรีในห้องเป็นสตรีของท่านแม่ทัพ อีกทั้งอาการของนางในยามนี้ก็ทั้งชัดเจนและไม่ชัดเจนเป็นอย่างยิ่ง หญิงหม้ายก็ประสานมือคารวะกลับ ทว่าทำได้เพียงค้อมศีรษะเล็กน้อยเท่านั้นนางตอบหมอชราดูทรงภูมิและรองแม่ทัพผู้รั้งเมืองตรงหน้าอย่างใจเย็น “ท่านหมอและท่านรองแม่ทัพไม่ต้องเป็นห่วง แม่นางเพียงแต่อ่อนเพลียและมีอาการวิตกกังวลมากสักหน่อยเท่านั้น ข้าต้มยาสงบใจที่เหมาะสำหรับสตรีให้รับประทานแล้ว หลังจากได้พักผ่อนอย่างเพียงพอ รั
หญิงหม้ายสกุลอวี๋มาถึงในชั่วอึดใจถัดมาอีเหิงมองร่างเล็กๆ เอวคอดกิ่วที่อุ้มครรภ์แก่ใกล้คลอดอุ้ยอ้ายเดินเข้ามาด้วยความช่วยเหลือของสาวใช้แล้วก็ให้ห่วงหน้าพะวงหลัง ทั้งเป็นห่วงคนป่วยบนเตียง ทั้งหวาดกลัวว่าเอวเล็กๆ ดูบอบบางของหญิงหม้ายจะเกิดหักลงมา ทว่าไม่กล้าทักท้วงที่นี่ไม่มีหมอหญิง และหมอหลวงสวี่ก็ยืนกรานว่าต้องให้หญิงหม้ายซึ่งรู้วิชาแพทย์และเชี่ยวชาญโรคสตรีมาช่วยตรวจอาการให้แน่ใจ หากมัวห่วงพะวงและรบกวนผู้ตรวจรักษาจนองค์หญิงรองเกิดเป็นอะไรลงไป ไม่ต้องรอจนผู้เป็นนายกลับมา เกรงแต่ว่าตัวเขาจะทนแบกรับความรู้สึกผิดไม่ไหว ซ้ำยังถูกเหล่าองครักษ์ที่ท่านแม่ทัพทิ้งไว้ให้คอยดูแลองค์หญิงรุมลงทัณฑ์องครักษ์เหล่านี้แม้ยามนี้นับเป็นส่วนหนึ่งของกองทัพ แต่ขึ้นตรงต่อท่านแม่ทัพของเขาเพียงผู้เดียวเท่านั้น แม้แต่คำว่า ‘อ๋องผู้นั่งอยู่เหนือบัลลังก์เฮยเซ่อเย่ว์’ ก็ยังหาได้มีความสลักสำคัญอะไรต่อพวกเขาไม่องครักษ์เหล่านี้ต่างหาก ที่นับเป็นกองทัพทมิฬที่แท้จริงแท้จริงแล้ว ‘กองทัพทมิฬ’ คือชื่อเรียกที่ท่านอ๋องผู้ล่วงลับมอบให้แก่กองกำลังลับส่วนตนของท่าน
แม้หมอหลวงสวี่จะเป็นหนึ่งในผู้ที่รั้นจะตามมาในกองทัพใหญ่เฮยเซ่อเย่ว์ ด้วยเห็นว่าชีวิตของตนเองอยู่มาจนป่านนี้ก็ไม่มีเรื่องใดให้เสียดายอีกแล้ว ห่วงแต่ว่าจะไม่ได้ทำประโยชน์ให้แก่ท่านแม่ทัพที่ยืนกรานออกศึกด้วยตนเองหลายต่อหลายครั้ง ทว่าอยู่มาจนป่านนี้ กลับได้ข่าวว่าอนุที่เยาว์วัยที่สุดของตนเกิดตั้งครรภ์และเพิ่งจะคลอดบุตร นับๆ ดูแล้วก็มั่นใจว่าเป็นทายาทของตนเป็นแม่นมั่น แม้ใจหนึ่งอยากกลับไปรับขวัญบุตรชายที่ได้มาราวปาฏิหาริย์ แต่การศึกยังติดพัน จึงได้แต่ตั้งใจอบรมสอนสั่งหมอทหาร เพื่อให้แน่ใจได้มากขึ้นอย่างน้อยๆ ก็อีกสองส่วน ว่ากองทัพเฮยเซ่อเย่ว์ที่เกรียงไกรจะไม่สูญเสียกำลังทหารจนพลาดพลั้งแพ้พ่าย... มิใช่ว่าไม่เชื่อใจผู้นำทัพ ในฐานะผู้ที่ติดตามกองทัพมาทั้งที่ไร้วรยุทธป้องกันตัว สวี่ซีซวนก็เพียงแต่ต้องการเพิ่มความแน่นอนปลอดภัยให้ชีวิตของตนเองเท่านั้นก่อนออกศึก ท่านแม่ทัพมิได้ทิ้งผู้ชราที่จู่ๆ ก็เกิดหวงชีวิตขึ้นมาเช่นตนไว้ที่เลี่ยงจินอู่เพียงเพื่อให้คอยกำกับดูแลหมอคนอื่นๆ ที่ล้วนกำลังทุ่มเทความสามารถรักษาเยียวยาทหารที่ได้รับบาดเจ็บหนัก แต่ยังมอบหมายอีกหนึ่งหน้าที่สำคัญให้ด้วยเ
นับตั้งแต่วันที่หยางหยางนำทัพใหญ่ออกเดินทางไปยังเมืองหลวงแคว้นป๋าย หนิงซินก็รู้สึกเหมือนมีก้อนหินหนักอึ้งถ่วงอยู่ในอก ความกังวลเกี่ยวกับความปลอดภัยของเขาและสถานการณ์การรบ บีบรัดหัวใจจนนางแทบหายใจไม่ออก แม้จะพยายามฝืนกินอาหารตามเวลา แต่อาหารทั้งหมดกลับจืดชืดไร้รส ยามพยายามข่มตาหลับ ภาพเงาร่างสูงใหญ่ของบุรุษที่เคยโอบกอดหยอกเย้ารวมถึงปลอบโยนนางจนหลับไหลซึ่งกำลังต่อสู้กับศัตรูก็ปรากฏขึ้นในห้วงนิทรา ทำให้นางสะดุ้งตื่นขึ้นมาด้วยความหวาดกลัวไม่รู้กี่คืนต่อกี่คืนวันแล้ววันเล่าผ่านไป หนิงซินได้แต่เฝ้ารอข่าวคราวจากสนามรบอย่างกระวนกระวาย จนกระทั่งข่าวที่ว่ากองทัพของหยางหยางบุกเข้าวังหลวงได้แล้วแพร่สะพัดไปทั่ว ทั่วทั้งจวนพลันเต็มไปด้วยความโกลาหล พร้อมๆ กับที่ผู้คนในเรือนหลักยิ่งพากันหน้าดำคร่ำเคร่ง พยายามระมัดระวังเอาใจใส่นาง ด้วยบ้างก็ยิ่งหวาดกลัวยำเกรงแม่ทัพใหญ่ บ้างก็อกสั่นขวัญผวาหวั่นเกรงว่าองค์หญิงรองที่ตนต้องดูแลปกป้องให้ปลอดภัยดีทุกอย่างจะคิดสั้นหรือล้มป่วยลงสำหรับหนิงซิน ข่าวนี้กลับทำให้หัวใจของนางเต้นรัวราวกับกลองศึก ความดีใจที่หยางหยางประสบชัยชนะ ปะปนกับความหวาดกลัวในอ
คำพูดของหยางหยางทำให้หนิงซินรู้สึกเจ็บปวดไปทั้งหัวใจนางรู้ดีว่าสงครามไม่มีผู้ชนะที่แท้จริง และทุกชีวิตที่ต้องสูญเสีย ล้วนนำมาซึ่งความโศกเศร้า“ข้าขอร้อง...”หนิงซินพยายามจะพูดอะไรบางอย่างอีกครั้ง เขารู้ว่านางจะพูดอะไร เขาเองก็ฟังมามากพอแล้วเช่นกันหยางหยางส่ายหน้าเบาๆ“ได้เวลาแล้ว” เขาพูดเสียงเรียบ “รอข้าอยู่ที่นี่”เมื่อสวมเกราะสุดท้ายเสร็จสิ้น แม่ทัพทมิฬก็เดินออกไปจากห้อง ทิ้งให้เงาร่างบอบบางยืนมองส่งเขาอย่างเดียวดายหนิงซินเม้มริมฝีปากแน่นก่อนตัดสินใจเดินตามไป ทว่าไม่ทันจะก้าวขาออกจากประตู เหล่าสาวใช้ที่รอปรนนิบัติดูแลนางอยู่ด้านนอกก็พากันคุกเข่าลง ใบหน้าเผือดสีหนิงซินเข้าใจในความหวาดกลัวของคนเหล่านี้ จึงไม่กล้าทำให้พวกนาง ทหารยาม และองครักษ์ทั้งหลายลำบากใจ ได้แต่เฝ้ามองเงาร่างของอีกฝ่ายหายลับไปจากประตูวงเดือนด้วยความรู้สึกผสมปนเปกันไปหมดนางได้พูดกับเขาแล้วรึยัง ว่านางเองก็อยากให้เขาดูแลตนเองให้ดี และปลอดภัยกลับมาเช่นกัน...แต่...คนผู้นั้นคือแม่ทัพใหญ่ฝ่ายศัตรู...
หยางหยางลูบผมของนางเบาๆ ก่อนปัดปอยปมที่ระใบหน้านางออกอย่างอ่อนโยนดีใจ...อย่างนั้นหรือ...?จริงก็ช่าง เท็จก็ช่าง...เขาไม่สนใจนางคือสตรีของเขา ทุกคำพูดมีไว้เพื่อเขา ทุกสายตา...ก็ควรมีไว้เพื่อเขาเช่นกันต่อให้นางยังไม่ตระหนักในตอนนี้ แต่สุดท้ายแล้วนางจะรู้...ชีวิตนี้นางไม่อาจถอยห่างจากเขาได้หยางหยางกระชับอ้อมแขนโอบรอบนางแน่นเข้าอย่างไม่รู้ตัว ดวงตาฉายแวววูบไหวลึกซึ้งเมื่อนึกถึงตอนที่นางกำลังจะเอื้อนเอ่ยว่าเขาเป็นคนสำคัญแต่เขาฟังไม่ได้ เขาไม่อาจทนฟังได้เพราะเขารู้ว่านางจะบอกว่าเขาคือคนสำคัญ นางจะต้องพูดเช่นนั้นเพื่อบ้านเมืองของนาง เพื่ออาณาประชาราษฎร์ของนาง เพื่อความถูกต้อง...ทว่าเขาไม่มีทางรู้เลยว่านางพูดด้วยความรู้สึกที่แท้จริงด้วยหรือไม่ หากใช่ เทียบกันแล้ว ระหว่างเขากับ ‘คนอื่น’ ค่าของเขาในใจนางแท้จริงแล้วนับว่ามีน้ำหนักน้อยมากเพียงใด จึงได้แต่ใช้การกระทำที่ตรงไปตรงมาที่สุดบีบให้นางแสดงความปรารถนาในส่วนลึกออกมาเท่านั้นอย่างน้อยเรื่องที่นางเป็นของเขาเพียงผู้เดียวก็เป็นเรื่องจริง