นางจะไม่ยอมอดทนต่อการกระทำอันต่ำทรามไร้มารยาทนี้อีกต่อไปแล้ว! นางไม่มีอะไรจะเสียอีกแล้ว!
หนิงซินพยายามขยับตัวดิ้น คาดไม่ถึงว่าท่าทีนั้นจะทำให้อีกฝ่ายครางเสียงทุ้มต่ำในลำคอ บางสิ่งที่ค้างคาอยู่ในตัวนางขยายใหญ่ขึ้นจนคับแน่นไปกันใหญ่
“เจ้าคิดว่านี่คือสิ่งที่ข้าต้องการ?” เขาถามเสียงแหบห้าวราวกับราชสีห์ที่เพิ่งตื่นจากการหลับใหล
น้ำเสียงที่เป็นเช่นนี้...จะว่าฟังดูสบายๆ ก็ให้ความรู้สึกว่าสบายๆ จะว่าให้ความรู้สึกว่าน่าหวาดกลัวก็ให้ความรู้สึกว่าน่าหวาดกลัว ทั้งฟังดูน่าเกรงขามทั้งชวนให้ขนลุกได้อย่างน่าพิศวง
ถึงกระนั้นก็เถอะ ท่าทีเช่นนี้ค่อนข้างแตกต่างจากท่าทีก่อนที่ทั้งเขาและนางจะ...ร่วมหมอนนอนเคียงกันสักเล็กน้อย คล้ายกับว่ามันมีสัดส่วนของการหยอกเย้าอย่างนึกสนุกปะปนอยู่ในนั้น แต่จะด้วยในฐานะนางบำเรอหรือสัตว์เลี้ยงนั้น...นางไม่อาจและไม่อยากคาดเดา
เห็นนางนิ่งเงียบ แม่ทัพทมิฬบีบคาง บังคับให้นางผินหน้ามาสบตา
ชั่วอึดใจนั้น ความน้อยเนื้อต่ำใจและความอัปยศอดสูสมเพชเวทนาตนเองเหลือจะกล่าว และความรู้สึกกล่าวโทษฝ่ายที่ทำให้ตนเองต้องรู้สึกเช่นนี้อย่างละส่วน ขับให้หนิงซินจ้องตอบด้วยสีหน้าเฉยชาอย่างที่สุด
“นี่เจ้า...” แม่ทัพเฮยเซ่อเย่ว์คล้ายชะงักไปเล็กน้อย “จริงสิ เจ้าบอกว่าเกลียดข้า” เขาแค่นหัวเราะ ก่อนพลิกร่างนางนอนหงายกึ่งนั่ง ทั้งที่บางส่วนยังค้างคากันอยู่ ทำให้ส่วนนั้นที่ทั้งยาวและใหญ่ของเขายิ่งกดลงลึก ดุนดันหน้าท้องจนหนิงซินรู้สึกได้
นี่เขา...ท่าแบบนี้...
หนิงซินตกใจจนหน้าเสีย
ไม่นะ นางยัง...นางยัง...นางยังรู้สึกเจ็บที่ส่วนนั้นอยู่เลย! แถมข้างในช่องท้องก็ยัง...จุกไปหมด...
ถ้าเขา...ถ้าเขา...
เห็นสีหน้านางแล้ว แม่เฮยเซ่อเย่ว์ก็คล้ายจะพอใจขึ้นมา
“ข้าบอกแล้วใช่หรือไม่ ข้าจะทำให้เจ้าทรมานเสียยิ่งกว่าตาย”
นางพยายามจะกระถดถอยหนี แต่ขยับตัวไม่ได้สักนิด
“รู้หรือไม่ ข้านั้นเป็นบุรุษที่รักษาสัญญายิ่ง” เขาเอ่ยเสียงเย็น
“อย่า...อย่านะ—อื้อ!” เสียงท้ายประโยคขาดหาย เพราะแม่ทัพทมิฬขยับเข้ากดริมฝีปากลงปิดปากนางไว้ พร้อมๆ กับที่ขยับสะโพกถอนส่วนนั้นออกเล็กน้อย ก่อนกระแทกส่วนนั้นกลับเข้าใส่ จากนั้นก็ถอนส่วนนั้นออก แล้วกระแทกกลับเข้าใส่ ทำเช่นนี้ซ้ำไปซ้ำมา ยิ่งลงมือก็ยิ่งรวดเร็ว รุนแรง และรัวถี่ยิ่งขึ้น!
“อื้อ! อื้อ! อื้อ!” หนิงซินหลุดร้องออกมาทุกครั้งที่โดนกระแทกกระทั้น น้ำตาไหลรินเป็นสาย
รบรากันหนที่สองหนนี้ ไม่เจ็บปวดเท่าครั้งแรก ทว่านาง...คนผู้นี้ทำให้นางกลัว! ทั้งหวาดกลัวในสิ่งที่เขากระทำต่อนาง ทั้งหวาดกลัวเสียงหัวใจที่เต้นรัวถี่ รวมถึงชีพจรที่เต้นตุบตับ ตอบรับการรุกเร้าล่วงล้ำของคนผู้นี้
นอกจากความเสียใจและหวาดกลัวแล้ว นางกลัวเหลือเกิน...กลัวว่าการกระทำอันหยาบช้าป่าเถื่อนนี้ จะทำให้นางเสียสติ กลายเป็นสตรีชนิดที่ผู้คนทั่วทั้งแผ่นดินเรียกขานกันว่า ‘หญิงแพศยา’ ที่ปล่อยตัวปล่อยใจ ปล่อยให้ตนเองจ่อมจงลงในกามราคะจนลุ่มหลงเมามาย ไร้สติ ขาดสำนึก ผิด ชอบ ชั่ว ดี
ยามนี้นางรู้สึกคล้ายขอนไม้ที่โดนคลื่นถาโถมเข้าใส่ ทั้งอย่างนั้น ต่อให้ไร้เรี่ยวแรงจะขัดขืนเพียงใด นางก็ยังพยายามจะผลักไสสุดกำลัง
นางจะไม่มีทางให้ความร่วมมือกับคนผู้นี้ ไม่มีวัน!
ตอนนั้นเอง หญิงหม้ายสกุลอวี๋ก็เปิดประตูเดินอุ้ยอ้ายออกมา นางทำท่าจะประสานมือคารวะ แต่ถูกอีเหิงขยับเข้าประคองห้ามไว้กลับเป็นหมอหลวงสวี่ที่ประสานมือค้อมศีรษะคารวะหญิงหม้ายเสียเอง แล้วเอ่ยถาม“อวี๋ฮูหยิน เป็นอย่างไรบ้าง มิใช่ว่าองค์หญิง—” หมอหลวงสวี่กำมือที่ชุ่มโชกไปด้วยเหงื่อใต้ชายแขนเสื้อคลุมสีขาวตัวยาวไว้แน่นหญิงหม้ายคาดไม่ถึงว่าบุคคลที่จำได้เลาๆ ว่าเป็นถึงหมออาวุโสผู้หนึ่งของกองทัพ ได้รับการนับหน้าถือตาเป็นอย่างยิ่ง จะถึงกับทำความเคารพสามัญชนเช่นนาง ซ้ำยังออกปากถามความเห็น มิใช่ถามเพียงอาการเช่นนี้ ทว่าเมื่อคำนึงถึงเรื่องที่สตรีในห้องเป็นสตรีของท่านแม่ทัพ อีกทั้งอาการของนางในยามนี้ก็ทั้งชัดเจนและไม่ชัดเจนเป็นอย่างยิ่ง หญิงหม้ายก็ประสานมือคารวะกลับ ทว่าทำได้เพียงค้อมศีรษะเล็กน้อยเท่านั้นนางตอบหมอชราดูทรงภูมิและรองแม่ทัพผู้รั้งเมืองตรงหน้าอย่างใจเย็น “ท่านหมอและท่านรองแม่ทัพไม่ต้องเป็นห่วง แม่นางเพียงแต่อ่อนเพลียและมีอาการวิตกกังวลมากสักหน่อยเท่านั้น ข้าต้มยาสงบใจที่เหมาะสำหรับสตรีให้รับประทานแล้ว หลังจากได้พักผ่อนอย่างเพียงพอ รั
หญิงหม้ายสกุลอวี๋มาถึงในชั่วอึดใจถัดมาอีเหิงมองร่างเล็กๆ เอวคอดกิ่วที่อุ้มครรภ์แก่ใกล้คลอดอุ้ยอ้ายเดินเข้ามาด้วยความช่วยเหลือของสาวใช้แล้วก็ให้ห่วงหน้าพะวงหลัง ทั้งเป็นห่วงคนป่วยบนเตียง ทั้งหวาดกลัวว่าเอวเล็กๆ ดูบอบบางของหญิงหม้ายจะเกิดหักลงมา ทว่าไม่กล้าทักท้วงที่นี่ไม่มีหมอหญิง และหมอหลวงสวี่ก็ยืนกรานว่าต้องให้หญิงหม้ายซึ่งรู้วิชาแพทย์และเชี่ยวชาญโรคสตรีมาช่วยตรวจอาการให้แน่ใจ หากมัวห่วงพะวงและรบกวนผู้ตรวจรักษาจนองค์หญิงรองเกิดเป็นอะไรลงไป ไม่ต้องรอจนผู้เป็นนายกลับมา เกรงแต่ว่าตัวเขาจะทนแบกรับความรู้สึกผิดไม่ไหว ซ้ำยังถูกเหล่าองครักษ์ที่ท่านแม่ทัพทิ้งไว้ให้คอยดูแลองค์หญิงรุมลงทัณฑ์องครักษ์เหล่านี้แม้ยามนี้นับเป็นส่วนหนึ่งของกองทัพ แต่ขึ้นตรงต่อท่านแม่ทัพของเขาเพียงผู้เดียวเท่านั้น แม้แต่คำว่า ‘อ๋องผู้นั่งอยู่เหนือบัลลังก์เฮยเซ่อเย่ว์’ ก็ยังหาได้มีความสลักสำคัญอะไรต่อพวกเขาไม่องครักษ์เหล่านี้ต่างหาก ที่นับเป็นกองทัพทมิฬที่แท้จริงแท้จริงแล้ว ‘กองทัพทมิฬ’ คือชื่อเรียกที่ท่านอ๋องผู้ล่วงลับมอบให้แก่กองกำลังลับส่วนตนของท่าน
แม้หมอหลวงสวี่จะเป็นหนึ่งในผู้ที่รั้นจะตามมาในกองทัพใหญ่เฮยเซ่อเย่ว์ ด้วยเห็นว่าชีวิตของตนเองอยู่มาจนป่านนี้ก็ไม่มีเรื่องใดให้เสียดายอีกแล้ว ห่วงแต่ว่าจะไม่ได้ทำประโยชน์ให้แก่ท่านแม่ทัพที่ยืนกรานออกศึกด้วยตนเองหลายต่อหลายครั้ง ทว่าอยู่มาจนป่านนี้ กลับได้ข่าวว่าอนุที่เยาว์วัยที่สุดของตนเกิดตั้งครรภ์และเพิ่งจะคลอดบุตร นับๆ ดูแล้วก็มั่นใจว่าเป็นทายาทของตนเป็นแม่นมั่น แม้ใจหนึ่งอยากกลับไปรับขวัญบุตรชายที่ได้มาราวปาฏิหาริย์ แต่การศึกยังติดพัน จึงได้แต่ตั้งใจอบรมสอนสั่งหมอทหาร เพื่อให้แน่ใจได้มากขึ้นอย่างน้อยๆ ก็อีกสองส่วน ว่ากองทัพเฮยเซ่อเย่ว์ที่เกรียงไกรจะไม่สูญเสียกำลังทหารจนพลาดพลั้งแพ้พ่าย... มิใช่ว่าไม่เชื่อใจผู้นำทัพ ในฐานะผู้ที่ติดตามกองทัพมาทั้งที่ไร้วรยุทธป้องกันตัว สวี่ซีซวนก็เพียงแต่ต้องการเพิ่มความแน่นอนปลอดภัยให้ชีวิตของตนเองเท่านั้นก่อนออกศึก ท่านแม่ทัพมิได้ทิ้งผู้ชราที่จู่ๆ ก็เกิดหวงชีวิตขึ้นมาเช่นตนไว้ที่เลี่ยงจินอู่เพียงเพื่อให้คอยกำกับดูแลหมอคนอื่นๆ ที่ล้วนกำลังทุ่มเทความสามารถรักษาเยียวยาทหารที่ได้รับบาดเจ็บหนัก แต่ยังมอบหมายอีกหนึ่งหน้าที่สำคัญให้ด้วยเ
นับตั้งแต่วันที่หยางหยางนำทัพใหญ่ออกเดินทางไปยังเมืองหลวงแคว้นป๋าย หนิงซินก็รู้สึกเหมือนมีก้อนหินหนักอึ้งถ่วงอยู่ในอก ความกังวลเกี่ยวกับความปลอดภัยของเขาและสถานการณ์การรบ บีบรัดหัวใจจนนางแทบหายใจไม่ออก แม้จะพยายามฝืนกินอาหารตามเวลา แต่อาหารทั้งหมดกลับจืดชืดไร้รส ยามพยายามข่มตาหลับ ภาพเงาร่างสูงใหญ่ของบุรุษที่เคยโอบกอดหยอกเย้ารวมถึงปลอบโยนนางจนหลับไหลซึ่งกำลังต่อสู้กับศัตรูก็ปรากฏขึ้นในห้วงนิทรา ทำให้นางสะดุ้งตื่นขึ้นมาด้วยความหวาดกลัวไม่รู้กี่คืนต่อกี่คืนวันแล้ววันเล่าผ่านไป หนิงซินได้แต่เฝ้ารอข่าวคราวจากสนามรบอย่างกระวนกระวาย จนกระทั่งข่าวที่ว่ากองทัพของหยางหยางบุกเข้าวังหลวงได้แล้วแพร่สะพัดไปทั่ว ทั่วทั้งจวนพลันเต็มไปด้วยความโกลาหล พร้อมๆ กับที่ผู้คนในเรือนหลักยิ่งพากันหน้าดำคร่ำเคร่ง พยายามระมัดระวังเอาใจใส่นาง ด้วยบ้างก็ยิ่งหวาดกลัวยำเกรงแม่ทัพใหญ่ บ้างก็อกสั่นขวัญผวาหวั่นเกรงว่าองค์หญิงรองที่ตนต้องดูแลปกป้องให้ปลอดภัยดีทุกอย่างจะคิดสั้นหรือล้มป่วยลงสำหรับหนิงซิน ข่าวนี้กลับทำให้หัวใจของนางเต้นรัวราวกับกลองศึก ความดีใจที่หยางหยางประสบชัยชนะ ปะปนกับความหวาดกลัวในอ
คำพูดของหยางหยางทำให้หนิงซินรู้สึกเจ็บปวดไปทั้งหัวใจนางรู้ดีว่าสงครามไม่มีผู้ชนะที่แท้จริง และทุกชีวิตที่ต้องสูญเสีย ล้วนนำมาซึ่งความโศกเศร้า“ข้าขอร้อง...”หนิงซินพยายามจะพูดอะไรบางอย่างอีกครั้ง เขารู้ว่านางจะพูดอะไร เขาเองก็ฟังมามากพอแล้วเช่นกันหยางหยางส่ายหน้าเบาๆ“ได้เวลาแล้ว” เขาพูดเสียงเรียบ “รอข้าอยู่ที่นี่”เมื่อสวมเกราะสุดท้ายเสร็จสิ้น แม่ทัพทมิฬก็เดินออกไปจากห้อง ทิ้งให้เงาร่างบอบบางยืนมองส่งเขาอย่างเดียวดายหนิงซินเม้มริมฝีปากแน่นก่อนตัดสินใจเดินตามไป ทว่าไม่ทันจะก้าวขาออกจากประตู เหล่าสาวใช้ที่รอปรนนิบัติดูแลนางอยู่ด้านนอกก็พากันคุกเข่าลง ใบหน้าเผือดสีหนิงซินเข้าใจในความหวาดกลัวของคนเหล่านี้ จึงไม่กล้าทำให้พวกนาง ทหารยาม และองครักษ์ทั้งหลายลำบากใจ ได้แต่เฝ้ามองเงาร่างของอีกฝ่ายหายลับไปจากประตูวงเดือนด้วยความรู้สึกผสมปนเปกันไปหมดนางได้พูดกับเขาแล้วรึยัง ว่านางเองก็อยากให้เขาดูแลตนเองให้ดี และปลอดภัยกลับมาเช่นกัน...แต่...คนผู้นั้นคือแม่ทัพใหญ่ฝ่ายศัตรู...
หยางหยางลูบผมของนางเบาๆ ก่อนปัดปอยปมที่ระใบหน้านางออกอย่างอ่อนโยนดีใจ...อย่างนั้นหรือ...?จริงก็ช่าง เท็จก็ช่าง...เขาไม่สนใจนางคือสตรีของเขา ทุกคำพูดมีไว้เพื่อเขา ทุกสายตา...ก็ควรมีไว้เพื่อเขาเช่นกันต่อให้นางยังไม่ตระหนักในตอนนี้ แต่สุดท้ายแล้วนางจะรู้...ชีวิตนี้นางไม่อาจถอยห่างจากเขาได้หยางหยางกระชับอ้อมแขนโอบรอบนางแน่นเข้าอย่างไม่รู้ตัว ดวงตาฉายแวววูบไหวลึกซึ้งเมื่อนึกถึงตอนที่นางกำลังจะเอื้อนเอ่ยว่าเขาเป็นคนสำคัญแต่เขาฟังไม่ได้ เขาไม่อาจทนฟังได้เพราะเขารู้ว่านางจะบอกว่าเขาคือคนสำคัญ นางจะต้องพูดเช่นนั้นเพื่อบ้านเมืองของนาง เพื่ออาณาประชาราษฎร์ของนาง เพื่อความถูกต้อง...ทว่าเขาไม่มีทางรู้เลยว่านางพูดด้วยความรู้สึกที่แท้จริงด้วยหรือไม่ หากใช่ เทียบกันแล้ว ระหว่างเขากับ ‘คนอื่น’ ค่าของเขาในใจนางแท้จริงแล้วนับว่ามีน้ำหนักน้อยมากเพียงใด จึงได้แต่ใช้การกระทำที่ตรงไปตรงมาที่สุดบีบให้นางแสดงความปรารถนาในส่วนลึกออกมาเท่านั้นอย่างน้อยเรื่องที่นางเป็นของเขาเพียงผู้เดียวก็เป็นเรื่องจริง