กู้ไห่ซินบัดนี้ยิ้มอย่างมีเลศนัยในใจเขาบัดนี้นั้นรู้สึกราวเด็กหนุ่มร่างกายแลดูมีเรี่ยวแรงขึ้นมาเสียแต่ก่อนมากเมื่อสิ่งที่ตั้งใจจะให้ทำประโยชน์แก่ตนนั้นสำเร็จผลอีกทั้งลุล่วงไปได้เป็นอย่างดี อีกทั้งยังราบรื่นดีไปเสียหมดสวรรค์ช่างเป็นใจเสียจริง ๆ“อ้าว ท่านหมอซู่จะทำอันใดก็ทำเถิด ข้านั้นตื่นเต้นจะแย่เสียแล้วล่ะ ท่านอ๋องเองก็ไม่ต่างกันกับกระหม่อมกระมังพ่ะย่ะค่ะ” กู้ไห่ซินเอ่ยอย่างต้องการเอาใจผู้ที่ตนนั้นนับถือเป็นนาย“อืม ข้าเองก็อยากรู้แทบทนไม่ไหวแล้วล่ะ ท่านกู้ ฮ่า ๆ” เฉินอ๋องกระตุกยิ้มที่กู้ไห่ซินนั้นช่างเอ่ยอย่างรู้ใจยิ่งนัก“เช่นนั้น กระหม่อมขอถวายสิ่งนี้แก่พระองค์และท่านเสนาบดีพ่ะย่ะค่ะ” ซู่ไท่หยางเมื่อเห็นว่าดึงเวลาไปมากกว่านี้เกรงว่าผู้เป็นนายนั้นจะทรงเสียอารมณ์จึงเอื้อมมือไปดึงผ้าที่คลุมบางสิ่งบางอย่างไว้ออกในทันทีพรึบ!“เฮ้ย! นะนะนี่...” เป็นกู้ไห่ซินที่เอ่ยออกมาอยากนึกตกตะลึง ส่วนเฉินอ๋องนั้นถึงกับลุกขึ้นปรบมือดัง ๆ ให้กับความเก่งกาจแลมีฝีมือยิ่งของคนของตนเช่น หมอซู่ เห็นทีครานี้คนผู้นี้เขาคงต้องบำรุงให้มากเสียหน่อยคนมีความสามารถเฉกเช่นนี้ภายภาคหน้าแน่นอนต้องทำประโยชน์แลสร้างท
[ร้านเทียนฝู]บัดนี้หมิงอี้นั้นกำลังง่วนอยู่กับการเตรียมสิ่งต่าง ๆ เพื่อเตรียมนำผักสลัดชนิดใหม่นี้ออกขาย และหมิงอี้เชื่อว่าด้วยความแปลกใหม่นี้เองจะช่วยทำให้กิจกรรมของร้านเทียนฝูแห่งนี้ยังสามารถขับเคลื่อนได้และได้รับความสนใจจากชาวเมืองในยุคโบราณนี้ไม่น้อยสตรีในอาภรณ์ชุดสีซิงผมยาวสลวยดำขลับกำลังนั่งตรวจสิ่งที่สั่งให้คนงานรวบรวมข้อมูลมาให้ด้วยสีหน้าที่เคร่งเครียดแลจริงจังยิ่งนักจนแม้กระทั่งเหล่าสหายเฉกเช่นพวกตนยังมิกล้าที่จะเข้าไปพูดคุยถามไถ่“เฮ้อ เสร็จเสียที” หมิงอี้บิดขี้เกียจไปมาช้ายทีขวาทีหลังจากนั่งจมอยู่กับกองบันทึกหลายเล่ม ก็พบว่าบัดนี้โดยรอบบริเวณนั้นถูกความมืดโดยตัวปกคลุมโดยรอบไปเสียแล้ว…..5 วันผ่านไปซู่ไท่หยางจัดเตรียมเรือนสมุนไพรของตนเองเสียดิบดีกว่าทุกวันเนื่องจากมีแขกจะมาเยือนถึงที่ ผลประโยชน์ครานี้ช่างหอมหวานนักเงินทั้งหมดที่สูญเสียไปในครานั้น บัดนี้ถึงคราวที่ได้คืนเป็นสิบเท่าเสีย หึ! ใบหน้าคมคายกระตุกยิ้มกว้างอย่างพึงใจในผลงานของตนเพียงไม่นานนักหลังจากจัดเตรียมเรือนเสร็จพ่อบ้านที่ซู่ไท่หยางให้ไปเชิญเหล่าเสนาบดีแลพรรคพวกของตนก็มาถึงกระท่อมเรือนสมุนไพร“หมอซู่ ฮ่า ๆ เป
ซู่ไท่หยางหลังจัดการปิดปากชายขายสมุนไพรสำเร็จก็มิรั้งรอที่จะก้าวมุ่งตรงไปยังต้นไป๋จู๋ที่เกิดปกคลุมอัดแน่นกันอยู่ในเบื้องหน้าในทันที“งามจริง ๆ รากอวบ ๆ ทั้งนั้น” ซู่ไท่หยางนำกิ่งไม้มาขุดคุ้ยดูรากของไป๋จู๋อย่างนึกตื่นเต้น และทันทีที่รากขาวยวบปรากฎตรงหน้าในใจของซู่ไท่หยางยิ่งเต้นระรัวราวกองศึกก็มิปาน แต่กระนั้นเพียงชั่วครู่ก็ได้สติแลเริ่มเดินออกสำรวจไปทั่วบริเวณที่ไป๋จู๋เหล่านี้เกิด“แปลกจังแฮะ เหตุใดไป๋จู๋บริเวณนี้กับตรงนั้นแตกต่างกันเฉกเช่นนี้เล่า อีกทั้งแสงแดดบริเวณนี้ยังส่องถึงได้ไม่ดีเพราะมีร่มเงาของต้นไม้สูงใหญ่โดยรอบปิดบังไว้เสียเกือบมิดแต่เหตุใดไป๋จู๋เหล่านี้ยังใบเขียวเป็นมันเฉกเช่นนี้กันหนอ อีกทั้งใบยังไม่มีแม้กระทั่งร่องรอยของแมลงใด ๆ กินเลยเสียนี่ นี่มันชักจะวิเศษเกินไปแล้วกระมัง” ซู่ไท่หยางขมวดคิ้วอย่างนึกแปลกใจ ก่อนจะนั่งลงใช้มือกอบเอาดินร่วนดำขึ้นมาพินิจพิจารณา ไม่นานซู่ไท่หยางก็สามารถแยกออกได้เพียงน้อยแต่ก็ถือว่าล้ำค่ายิ่งนัก“กลิ่นนี่มัน! ปกตินี่ แต่เอ๊ะ!” ซู่ไท่หยางสังเกตเห็นบางอย่างในดินก็เกิดนึกขึ้นได้ว่าเคยเห็นที่ใดมาก่อน จึงล้วงมือเข้าไปในแขนเสื้อพร้อมนำตำราสมุนไพรม
หลังตกลงกันแล้วเสร็จชายขายสมุนไพรก็จำต้องยอมเปิดปากถึงแหล่งสมุนไพรงามที่ตนนั้นพึ่งค้นพบให้กับท่านหมอซู่ที่ตนรู้จักแลเป็นคู่ค้ากันมานาน เสียงเท้าเดินฝ่าดงพงหญ้าสูงของคนทั้งคู่นั้นพลันเกิดเป็นเสียงสวบ สาบ!สวบ สวบ สวบ!“นี่เจ้า ใกล้ถึงแล้วรึไม่” ซู่ไท่หยางเอ่ยทักขึ้นหลังเดินมามากพอควรแล้วแต่ก็ยังมิมีทีท่าว่าจะถึงพื้นที่ ที่ๆ ตนต้องการโดยง่าย จึงเอ่ยถามขึ้นด้วยน้ำเสียงหอบเหนื่อย“ท่านหมออยู่ด้านหน้านี่เองขอรับ”“เฮ้อ ถึงเสียที...มัวชักช้าอยู่ใยเจ้านำไปสิ” ซู่ไท่หยางกลั้นใจฝืนเดินตามชายคนดังกล่าวเข้าไป หลังจากที่ชายผู้นี้พาเขาเดินมาเสียเหน็ดเหนื่อย“ขอรับ ๆ ทางด้านนี้ขอรับท่านหมอ....” ทันทีที่เดินพ้นพงหญ้าสูงท่วมศีรษะ ซูไท่หยางหอบหายใจมองลอดผ่านพงหญ้าที่ถูกมือของชายขายสมุนไพรแหวกออก ภาพตรงหน้าบัดนี้เผยให้เห็นต้นไป๋จู๋เกิดอัดแน่นเบียดกันอย่างหนาแน่น ใบนั้นเขียวเข้มผิดกว่าไป๋จู๋ที่เคยพบเห็นจนขึ้นเป็นมันวาว ช่วงลำต้นค่อนไปยังรากนั้นแลเห็นจนสามารถจินตนาการได้ว่ารากในดินนั้นจะอวบใหญ่เพียงใด“โอ้โห ฮ่า ๆ นี่แหละ ๆ ที่ข้าต้องการขอบพระคุณสวรรค์ที่เมตตาข้า สวรรค์ช่างเป็นใจเสียจริง ข้าช่างโชคดีเสีย
ยามเช้าตรู่ ณ ชายภูเขาที่อยู่มิห่างนักจากที่ตั้งของเมืองหลวงบัดนี้รอบ ๆ ถูกปกคลุมไปด้วยไอหมอกสีขาวหนาทึบจนแทบมองไม่เห็นเรือนหลังหนึ่งที่ปลูกขึ้นอย่างเรียบง่ายตั้งโดดเดี่ยวอยู่ หากแต่อาณาบริเวณโดยรอบกลับกว้างขวางรายล้อมไปด้วยดอกไม้แลพืชสมุนไพรนานาชนิด สมกับที่ชาวเมืองหลวงรู้จักกันดีว่าเป็นเรือนสมุนไพรของท่านหมอซู่ หมอหนุ่มในสำนักหมอหลวงที่มีจิตใจใสสะอาดผุดผ่องปณิธานกว้างไกล เวลาว่างเว้นจากงานราชการจึงมักมาคลุกตัวอยู่ ณ เรือนสมุนไพรแห้งนี้เพื่อคิดค้นสูตรยาใหม่ ๆ ซึ่งแน่นอนว่าด้วยฝีมือระดับแพทย์หลวงของราชวังเขานั้นก็สามารถคิดค้นตัวยารักษาโรคให้ชาวบ้านหายขาดได้เสียหลายชนิด จนสร้างชื่อเสียงของเขาขึ้นมาในระยะเวลาอันสั้นจากการบอกกันปากต่อปากของชาวเมือง โดยชาวเมืองนั้นหารู้ไม่ว่าฉากหลังนั้นเขามีสถานะแลการเป็นอยู่เช่นไร และแน่นอนว่าซู่ไท่หยางเองก็สวมบทบาทหมอซู่ได้อย่างแนบเนียนจนชาวเมืองเองมิอาจจับได้แต่อย่างใด วันนี้แม้จะเป็นยามเช้าตรู่ซู่ไท่หยางเองก็ไม่ลดละความพยายามในการคิดค้นดินและปุ๋ยที่จะสามารถเร่งผักให้โตเร็วทัดเทียมแลแซงหน้าร้านเทียนฝูได้ ในใจนั้นคับแค้นอัดแน่นไปด้วยไฟสุมในอกจากการที่ถู
เติ้งหยวนและกู้ไห่ชินเจราจากันนานพอสมควรก็เป็นอันตกลงทำสัญญาตกลงกันโดยกู้ไห่ซินนั้นรับปากจะทุ่มเทสุดความสามารถเพื่อทำปุ๋ยออกมาให้ได้ดีกว่าร้านเทียนฝูโดยเงินทุนนั้นตำหนักเฉินอ๋องพร้อมสนับสนุนอย่างเต็มที่ กู้ไห่ซินเองก็ไม่นึกว่าโชคจะเข้าข้างตนเดิมทีนั้นเขาก็กำลังหาทางกำจัดร้านคู่แข่งที่ไม่เจียมตนเช่นร้านเทียนฝูอยู่แล้วเชียว ไม่นึกเช่นกันว่าท่านฉินอ๋องเองก็กำลังจะกำราบแลจัดการอยู่เช่นกันหลังจากเติ้งหยวนเดินทางกลับกู้ไห่ซินก็เรียกประชมขุนนางในทันทีโดยขุนนางเหล่านี้ล้วนเป็นเครือญาติกันกับเขาทั้งสิ้นทั้งหมดล้วนมีท่อน้ำเลี้ยงมาจากเขา ส่วนฝ่ายที่เป็นขององค์รัชทายาทนั้นแน่นอนยอมมิอาจให้ล่วงรู้ว่าตนนั้นกำลังกระทำการใดอยู่“ข้าต้องการทำเช่นไรก็ได้ให้ปลูกผักสลัดออกมาให้ได้เหมือนร้านเทียนฝู อีกทั้งยังโตเร็วและงามกว่า และต้องดีกว่าร้านของคนพวกนั้น!” กู้ไห่ชินออกคำสั่งเคร่งครัด ซึ่งหลังเอ่ยจบต่างสร้างความฉงนงงงวยให้แก่เหล่าบรรดาพรรคพวกของเขาเป็นอันมาก“จะเป็นไปได้เช่นไรท่านเสนาบดีกู้ นะนี่มันยากยิ่งกว่างมเข็มเชียวนะ” ขุนนางกรมพิธีการที่ดูแลเรื่องสินค้าเกษตรเอ่ยคัดค้านขึ้น พร้อมทั้งทำสีหน้าท่าทางว่า