สุดท้ายแล้วการรับอนุคนใหม่ของลู่เยี่ยนฮ่าวจึงเป็นคุณหนูรองของตระกูลสือ นามว่าสือลี่ผิง ทว่าสือลี่ผิงที่หมายถึงก็คือคุณหนูใหญ่ที่สลับตัวตนกับคุณหนูรอง ใต้เท้าลู่ต้องการนำตัวของนางกลับเดี๋ยวนั้นโดยไร้พิธีรีตอง
สืออี้หนานต้องการเปิดโปงสถานะของตนและสือลี่ผิง ทว่ากลับถูกบิดาปรามไว้ นางจึงยอมก้มหน้ารับชะตาด้วยความขมขื่น ท้ายที่สุดสืออี้หนานจึงลอบบอกความจริงให้ลู่เยี่ยนฮ่าวทราบ แต่เมื่อความจริงถูกเปิดเผยกลับเพิ่มความเดือดดาลให้อีกฝ่ายเป็นทบทวีคูณ ประดุจสาดน้ำร้อนลวกตนเอง
"ท่านแม่...ฮรึก ฮือออ... ท่านแม่เจ้าคะ เหตุใดจำต้องเป็นข้า ไยท่านเคยบอกว่าจะส่งมันไป!" สืออี้หนานร้องไห้โยเย เอ่ยวาจาร้อนรนราวคนเสียสติ
สือเสี่ยวเย่กอดปลอบประโลมบุตรสาวของตนแนบอก นางเองก็จนใจช่วยเหลือ พลางกัดฟันกรอดด้วยความเคียดแค้น "อี้หนาน ไม่ต้องร้อง ถึงอย่างไรใต้เท้าลู่ก็ร่ำรวยเป็นอันดับหนึ่งแห่งหนานโจว ต่อให้เขามีอนุมากมายแล้วอย่างไร เจ้าก็เพียงปิดหูปิดตาอยู่ให้สุขสบายไปวัน ๆ ไม่ดีกว่าหรือ"
สือเสี่ยวเย่ไม่อยากให้เรื่องเป็นเช่นนี้ ผู้ใดจะคาดคิดว่าสือลี่ผิงกล้าเล่นลูกไม้ ทั้งยังเจ้าเล่ห์แสนกลอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน มิหนำซ้ำต่อให้เอาเรื่องสัญญายกมากล่าวอ้างว่าต้องเป็นคุณหนูใหญ่ของตระกูลเท่านั้น ทว่าลูกหนี้ก็คือลูกหนี้ จะหลีกพ้นความจริงได้อย่างไร หากตระกูลสือไม่ส่งลูกสาวไปขัดดอกสักคน ทั้งตระกูลคงต้องระเห็จไปนอนข้างถนนราวสุนัขจนตรอก คนถือดีเช่นสือจินรุ่ยหรือจะยอมเสียหน้าปล่อยชีวิตของตนให้ตกอับไร้ที่พึ่ง
"ท่านต้องไปจัดการมันให้ข้า หากชีวิตข้าไม่มีความสุข ก็อย่าหมายว่าชีวิตของมันจะได้อยู่อย่างสงบ"
"ไม่ต้องร้อง ไม่ต้องร้องแล้ว เอาอย่างนี้หรือไม่ แม่จะลอบขายมันไปเป็นทาส พ่อของเจ้าไม่มีทางรู้อย่างแน่นอน"
"ท่านแม่ ดูเหมือนหนนี้ลี่ผิงมันไม่เชื่อฟังเช่นเมื่อก่อน แล้วจะจับตัวอย่างไรเล่าเจ้าคะ"
"จับไม่ได้ เช่นนั้นก็ยังมีแม่ของมัน" ขณะที่ฝ่ามือยังคงลูบไล้เส้นผมดำขลับของคนในอ้อมแขนด้วยความทะนุถนอม ทว่านัยน์ตากลับเปี่ยมล้นไปด้วยความเกลียดชัง
.
.
"ท่านแม่ อีกไม่เกินหนึ่งชั่วยาม ข้าจะกลับมาท่านรอข้าก่อนได้หรือไม่เจ้าคะ" สือลี่ผิงไม่อาจประวิงเวลาไว้ได้แล้ว นางต้องเร่งพาแม่หนีออกจากจวนเส็งเคร็งแห่งนี้โดยเร็วที่สุด
"ลี่ผิง เจ้าจะไปที่ใด" มู่หรานเอ่ยเสียงสั่นเครือ สีหน้าบ่งบอกถึงความเป็นกังวลถึงขีดสุด
"ท่านแม่ ไว้ข้าจะกลับมาอธิบายกับท่านในภายหลัง เอาเช่นนี้แล้วกันเจ้าค่ะ ท่านลุกไหวหรือไม่"
มู่หรานพยักหน้า นางยันกายลุกขึ้นเนิบช้า สือลี่ผิงจึงรีบเข้ามาช่วยพยุงกายมารดาของตนอย่างร้อนรน "ข้าจะพาท่านไปรอที่โรงเตี๊ยมก่อน"
"ปะ...ไปโรงเตี๊ยม เหตุใดเราต้องไปหรือ"
"ไม่มีเวลาแล้วเจ้าค่ะ ท่านอยู่กับจ้าวหวินไปพลาง ๆ นะเจ้าคะ เขาจะดูแลท่านอย่างดี" ไม่รู้เหตุใดมโนสำนึกเจ้าของร่างจึงบอกนางให้ไปหาคนผู้นี้ ทั้งใบหน้าและรูปร่างช่างกระจ่างชัดเสียจนคิดว่าเป็นความทรงจำของตนจริง ๆ ต่อไปสือลี่ผิงคงต้องปรับตัวให้มากขึ้น ไม่ว่าความทรงจำใดก็ตาม เจ้าของร่างคงต้องการให้นางได้รับรู้เช่นเดียวกัน
"จ้าวหวิน" มู่หรานครุ่นคิด แล้วจึงกล่าวเพื่อคลายข้อสงสัย "คุณชายจ้าวเช่นนั้นหรือ"
สือลี่ผิงพยักหน้าเพื่อตอบกลับ
จ้าวหวินในความทรงจำที่นางพบ เขาเป็นบุรุษรูปงามอ่อนโยน ทั้งยังเป็นสหายที่รู้จักกันมาตั้งแต่ยังเด็กของสือลี่ผิงคนเดิม ทุกครั้งที่นางถูกกลั่นแกล้งจากพี่สาวต่างมารดา ล้วนมีเขาคอยอยู่เคียงข้างและปลอบประโลมนางเสมอ เดิมทีเรื่องนี้จ้าวหวินประสงค์ยื่นมือเข้าช่วยเหลือสองแม่ลูก ทว่าสือลี่ผิงผู้นี้มิอาจติดหนี้บุญคุณใครได้มากไปกว่านี้แล้ว หนนี้นางจะพามารดาของตนหนีไปยังแคว้นต้าโจว ไปตั้งหลักปักฐานใหม่ที่นั่น แม้ไม่มีทรัพย์สินใดติดเนื้อติดตัว ทว่าเครื่องประดับที่อยู่ในกรุสะสมอันน้อยนิด คงสามารถพาตนและมารดาออกเดินทางไปจนถึงเมืองต้าโจวได้อย่างแน่นอน
"ไปเจ้าค่ะ ท่านแม่ ข้าจะไม่ยอมให้เราเป็นที่รองมือรองเท้าของคนที่นี่อีกแล้ว"
"อี้ฝาน ลี่ผิง นี่คือสิ่งใดกันหรือ"ลู่อี้เหนียงยกกระดาษแผ่นหนึ่งขึ้น เอ่ยถามด้วยสีหน้าเคร่งเครียด มู่หรานซึ่งนั่งอยู่ใกล้ ๆ ก็พลอยทอดถอนใจไปตามกัน"เอ่อ..." สือลี่ผิงกล่าวอ้อมแอ้ม นางเอื้อมมือสะกิดลู่อี้ฝานเบา ๆ คนตัวสูงยืนตัวแข็งทื่อไม่ต่างกัน เขาเหลียวมองสือลี่ผิงเนิบนาบ สือลี่ผิงเอ่ยพลางขยิบตา "ทะ…ท่านบอกท่านแม่สิ"ฮูหยินทั้งสองเลิกคิ้วฉงน มองท่าทีหลุกหลิกของลูกรักพลางถอนหายใจโดยพร้อมเพรียงลู่อี้เหนียง "อี้ฝาน เจ้าว่าอย่างไร"ลู่อี้ฝานกระแอมหนึ่งหนเพื่อรวบรวมความกล้า "ท่านแม่ ท่านแม่ยาย ที่จริงแล้ว สัญญานั่นเกิดจากความเข้าใจผิด เดิมทีข้าว่าจะทำลายมันทิ้ง แต่บังเอิญว่าหาไม่เจอขอรับ""เข้าใจผิดหรือ เข้าใจผิดใดกัน ถึงขั้นต้องมีสัญญาว่าจ้างสามีภรรยา" ลู่อี้เหนียงขมวดคิ้วมุ่น"นั่นสิลี่ผิง ตกลงแล้วพวกเจ้าอยู่ด้วยกันมีความสุขหรือไม่ พวกข้าทั้งสองจะตายตาหลับได้อย่างไร ไม่ชอบก็บอกไม่ชอบ เหตุใดต้องเล่นละครตบตาคนแก่กันเล่า" มู่หรานหน้าเครียดขึ้นอีกหลายส่วนเดิมทีนางคิดว่าทั้งสองคงมีใจใ
หลายคนต่างมารวมตัวกันที่หน้าห้องของคุณชายลู่หย่วน และสิ่งที่ปรากฏเบื้องหน้าส่งผลให้สืออี้หนานขุ่นเคืองแทบแดดิ้น นางกัดฟันกรอดโพล่งเสียงดังอย่างนึกลืมตัว"เป็นเช่นนี้ไปได้อย่างไร!?"ลู่เยี่ยนฮ่าวหันขวับ "หมายความว่าอย่างไร"สาวใช้ของนางกระตุกชายเสื้อสืออี้หนานแผ่วเบา เมื่อรู้ตัวว่าตนเผลอเอ่ยสิ่งใดออกไปนางจึงส่งยิ้มแห้งขอดส่งให้เดี๋ยวนั้น "ขออภัยเจ้าค่ะ ข้าแค่ตกใจที่เห็นพี่หญิงสามและคุณชาย...เอ่อ...""พอแล้ว!" ลู่เยี่ยนฮ่าวยกมือขึ้นปรามด้วยใบหน้าเคร่งขรึม"ท่านพ่อฟังลูกก่อน" ลู่หย่วนพยายามอธิบาย"เจ้าทั้งสองไม่ต้องพูดแล้ว ลู่หย่วนสตรีทั้งเมืองเจ้าต้องการผู้ใดพ่อล้วนไม่ขัด ทว่านางเป็นอนุของข้า เรื่องบัดสีเช่นนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร" ลู่เยี่ยนฮ่าวยกมือขึ้นกุมขมับอนุสาม "ท่านพี่ แต่ว่าเมื่อคืน...""เจ้าหุบปาก หญิงแพศยาเช่นเจ้าข้าเลี้ยงไว้ก็เสียข้าวสุก"อนุสามหุบปากลงเดี๋ยวนั้น ลู่หย่วนทำได้เพียงทอดถอนใจ ในเมื่อภาพทุกอย่างมันเด่นชัดเช่นนี้ต่อให้เอ่ยปฏิเสธไปก็คงไม่มีผู้ใดเชื่อ ซ้ำเ
รุ่งเช้าของวันถัดมาเสียงเอะอะเอ็ดตะโรดังสนั่นไปทั้งจวนสกุลลู่ ทว่าสือลี่ผิงและลู่อี้ฝานยังคงนอนตระกองกอดกันอยู่ไม่ห่าง เปลือกตาบางค่อย ๆ ขยับไหว ศีรษะของนางตอนนี้ชาหนึบไปเสียหมด สือลี่ผิงรู้สึกร้าวระบมไปทั้งตัว คิ้วเรียวเริ่มเคลื่อนเข้าหากันช้า ๆ เมื่อภาพบางอย่างสาดสะท้อนเข้ามายังมโนสำนึกเราฝันหรือ กำลังฝันเรื่องบัดสีใดกันร่างบอบบางขยับกายเนิบนาบ เมื่อรู้สึกประดุจมีบางสิ่งกำลังรั้งกายของตนเอาไว้ สือลี่ผิงจึงลดนัยน์ตาลงมองเนิบช้า ท่อนแขนแกร่งพาดอยู่บนเอวเปลือยเปล่าขะ...แขนใคร คงไม่ใช่...สือลี่ผิงช้อนดวงตาขึ้นด้วยหัวใจไหวระทึก นางหวังเพียงว่าเมื่อคืนสืออี้หนานทำไม่สำเร็จเป็นพอ เพียงแต่นางกำลังนอนอยู่ใต้อ้อมแขนของบุรุษหรือ เช่นนั้นเรื่องที่เกิดขึ้นคงไม่ใช่ความฝันนัยน์ตารูปหงส์กะพริบปริบ ๆ เมื่อสบประสานเข้ากับดวงตาคมปลาบเข้าพอดี"ตื่นแล้วหรือ" เสียงทุ้มเอ่ยถามสือลี่ผิงเบิกตากว้าง นางรีบหลุบดวงตาลงแล้วเบิกขึ้นอีกครั้งเรื่องจริงหรือลู่อี้ฝานขมวดคิ้ว "เป็นอะไรของเจ้า"
ลู่หย่วนรีบถลันกายเข้ามาในห้อง อนุสามเองก็เร่งตามเข้ามาเช่นเดียวกัน สบเข้ากับจังหวะที่สืออี้หนานกำลังสาละวนหยิบปล้องไม้ไผ่ขึ้น พลางยื่นให้สาวใช้คนสนิทของตนเป่ากลุ่มควันเข้ามาด้านใน โชคดีที่สือลี่ผิงรู้ตัวก่อน ทว่ากลุ่มควันเหล่านั้นกลับลอดผ่านผ้าคลุมซึ่งนางผูกเอาไว้ได้ ร่างบอบบางพยายามคลานไปหลบบริเวณใต้เตียงแค่ก แค่กทั้งอนุสามและลู่หย่วนต่างสำลักควันโขมงโฉงเฉงที่ลอยว่อนทั่วห้อง"นะ...นี่มันคือสิ่งใด" เสียงแหลมเล็กเอ่ยไปพลางปัดฝุ่นควันไปพลาง จู่ ๆ ร่างกายของพวกเขาเกิดร้อนรุ่มกะทันหันสือลี่ผิงเองก็ไม่ต่างทว่านางพยายามควบคุมสติของตนเอาไว้ สืออี้หนานมองร่างสูงของบุรุษและสตรีในห้องผ่านกลุ่มควันก็ให้ต้องเหยียดยิ้มพึงใจ ทั้งสองไม่อาจควบคุมความรู้สึกได้แล้ว ไฟกำหนัดกำลังพัดโหมอย่างบ้าคลั่งสือลี่ผิงเบิกตากว้างตะลึงลานยาปลุกกำหนัดตอนนี้สือลี่ผิงเองก็รู้สึกร้อนรุ่มไม่ต่างกัน เสียงจุมพิตจากคนบนเตียงดังขึ้นอย่างดูดดื่ม สืออี้หนานวางใจแล้วว่าแผนการของตนสำเร็จนางจึงผละกายจากไปด้วยสีหน้าสบายอารมณ์&nbs
เจ้าของนัยน์ตาหงส์นั่งกวาดสายตาเศร้าสลดมองใบหน้าของตนผ่านคันช่องสีอำพัน ครึ่งหนึ่งของชีวิตสตรีควรฝากฝังไว้กับบุรุษอันเป็นที่รักมิใช่หรือ แล้วดูนางตอนนี้ เหตุใดต้องตบแต่งด้วยความไม่เต็มใจอยู่เรื่อย ดูเหมือนเวรกรรมที่กระทำเอาไว้คงยังชำระให้ตระกูลลู่ไม่หมดสิ้น นางจึงได้กลายมาเป็นสือลี่ผิงอีกคน หวนมาใช้หนี้แก่บุตรชายของลู่เยี่ยนฮ่าวแทนทุกอย่างกำลังอลหม่านตบตีกันเสียจนสับสน สือลี่ผิงกำลังหมกมุ่นครุ่นคิดจึงไม่ทันได้ยินเสียงที่เยื้องย่างเข้ามาด้านในเนิบนาบจนเมื่อสตรีร่างผอมบางประชิดกายของนาง พลางโน้มลงขนาบใบหู สือลี่ผิงจึงช้อนดวงตาขึ้น ทันทีที่พบว่าเป็นผู้ใด ดวงตากลมโตถึงกับเบิกกว้าง นางหันหลังขวับ"ท่านแม่!"สือลี่ผิงโผเข้ากอดเอวผู้เป็นมารดาเดี๋ยวนั้น น้ำเสียงสดใสระคนตื่นเต้นแฝงความลิงโลด ฝ่ามือผอมแกร็นค่อย ๆ ยกขึ้นลูบไล้ศีรษะของบุตรสาวเชื่องช้า"ลี่ผิง อย่าเสียใจไปเลยนะ ที่จริงแล้วเรื่องนี้เป็นแม่เองที่ตัดสินใจแทนเจ้า"สือลี่ผิงขมวดคิ้ว นางไม่เข้าใจ พลางแหงนหน้าขึ้นมองมารดาของตน "ท่านแม่หมายความว่าอย่างไรเจ้าคะ" 
สือลี่ผิงเพลิดเพลินกับการอาบน้ำชำระร่างกายจนหลงลืมไปว่าด้านในมีเพียงอาภรณ์ตัวบางเท่านั้น นางควรทำเช่นไรดี เรียกหาซือซือหรือ เกรงว่าตอนนี้ซือซือคงไม่อยู่ที่นี่สือลี่ผิงกวาดสายตาเมียงมองด้วยความระแวดระวัง นางเกรงว่าลู่อี้ฝานยังคงอยู่ด้านใน เวลาผ่านไปไม่ถึงหนึ่งเค่อเมื่อวางใจแล้วว่าอีกฝ่ายคงไม่ย่างกรายเข้ามาเป็นแน่ นางจึงลุกขึ้นหยิบอาภรณ์ตัวบางสีขาวสวมทับลงบนเรือนร่างเปลือยเปล่า แล้วจึงย่องปลายเท้าออกจากฉากกั้นเนิบช้าสือลี่ผิงออกมาพบกับความว่างเปล่านางจึงระบายลมหายใจด้วยความโล่งอก ทว่าวางใจไม่ทันไรก็ต้องสะดุ้งโหยงอีกหน เมื่อแผ่นหลังของนางชนเข้ากับบางสิ่งเจ้าของร่างสูงยืนชิดหลังของนาง เขาโน้มกายลงเอ่ยด้วยน้ำเสียงแหบพร่า "กำลังมองหาสิ่งใดหรือ"สือลี่ผิงกระโดดโหยงทันควัน กายของนางร่วงแหมะลงไปนั่งบนเตียงเข้าพอดี "ทะ...ท่านกำลังเล่นพิเรนทร์ใด"คิ้วเข้มเลิกขึ้นหนึ่งฝั่ง "เป็นอะไรไปเล่า ทำราวกับข้าน่ากลัวถึงเพียงนั้น""แล้วไม่น่ากลัวหรือไง บุรุษตระกูลลู่น่ากลัวทุกคน" สือลี่ผิงหายใจไม่ทั่วท้อง นางถึงขั้นลอบสูดลมหายใจลึกเข