ตุบ!
"โอ๊ย!"
ร่างบอบบางถูกโยนลงพื้นอย่างไม่ปรานี ตลอดเส้นทางสือลี่ผิงพยายามด่าทอทุบตีบุรุษปริศนาเสียจนสิ้นไร้เรี่ยวแรง มีอย่างที่ไหน ยกร่างสือลี่ผิงขึ้นบ่าแข็งราวแผ่นเหล็กไม่หนำใจ เขายังวางตัวของนางพาดเอาไว้บนหลังม้า ขณะที่อาชาห้อตะบึงไปเบื้องหน้าความจุกเสียดก็พลอยแล่นปร๊าดเข้ามาบริเวณช่องท้องเสียจนแทบอาเจียน
พรึบ!
ผ้าคลุมศีรษะถูกปลดออก สือลี่ผิงพยายามปรับรูม่านตาของตนเพื่อให้สามารถมองภาพเบื้องหน้าได้ชัดถนัดตา ทว่านางพิศมองเพียงใดบุรุษตรงหน้าก็ยังประดุจเงาสูงใหญ่เงาหนึ่งเท่านั้น
"ท่านเป็นใคร เหตุใดต้องทำกับข้าถึงเพียงนี้"
เจ้าของร่างสูงนั่งไขว้ขาอยู่บนเก้าอี้ไม้เนื้อดี ทว่าสือลี่ผิงกลับมองหน้าของเขาไม่ชัดนัก เนื่องจากด้านในเป็นห้องขนาดไม่กว้างมาก ซ้ำยังมืดมนทึมทึบ มีเพียงแสงสว่างจากเชิงเทียนที่ส่องสะท้อนอยู่เบื้องหลัง อีกฝ่ายมองเห็นนางได้กระจะตา เขาทอดสายตามองสตรีบนพื้นพลางเหยียดยิ้มหยามหยัน
"เจ้าหรือ สืออี้หนาน" เสียงทุ้มเอ่ยเย็นเยียบ
เสียงคุ้น ๆ ปวดหัวนัก
ความทรงจำประหลาดผุดขึ้นอีกระลอก สือลี่ผิงปวดหนึบบริเวณศีรษะจนแทบระเบิดออกมา
สือลี่ผิงนิ่วหน้า "สืออี้หนานหรือ ข้าไม่ใช่!"
"โกหก!"
สือลี่ผิงสะดุ้งตัวโยน นางเพียงสลับตัวตนกับสืออี้หนานชั่วประเดี๋ยวเท่านั้น ไยตอนนี้มีศัตรูของสืออี้หนานคิดทำร้ายนางอย่างนั้นรึ หรือว่าสืออี้หนานถูกบุรุษเบื้องหน้าชมชอบ ทว่าเมื่อไม่อาจครอบครองเขาจึงต้องการข่มเหงนาง
"เอ่อ...ท่าน นี่เป็นเรื่องเข้าใจผิดแล้ว ข้าไม่ใช่สืออี้หนาน ข้านามว่าสือลี่ผิง"
"หึ!" เสียงทุ้มแค่นยิ้ม
ชายหนุ่มยืดกายขึ้นยืนเต็มความสูง เขาย่างสามขุมเข้าใกล้สตรีบนพื้นด้วยท่าทีใจเย็น สือลี่ผิงช้อนดวงตามองอีกฝ่าย เสียงฝีเท้าใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ ยิ่งทำให้หัวใจของสือลี่ผิงเต้นดังกระหน่ำ นางพยายามกลืนน้ำลายเหนียวหนืดลงคออย่างลำบากยากยิ่ง เจ้าของร่างสูงยอบกายลง เขาเอื้อมจับปลายคางโค้งมนให้เชิดขึ้น
สือลี่ผิงเบิกตากว้างเมื่อเห็นแววตาและใบหน้าของอีกฝ่ายอย่างชัดเจน ดวงตาคมกริบ โครงหน้าเกลี้ยงเกลาหล่อเหลา ทว่ากลับแฝงไปด้วยไอสังหาร ภาพบุรุษผู้หนึ่งซ้อนทับเข้ามาดั่งสายน้ำหลาก ลมหายใจของนางติดขัดแทบไม่กล้าหายใจแรง
ลู่อี้ฝาน! เป็นเขาได้อย่างไร
สือลี่ผิงคนเดิมเคยได้พบหน้าของลู่อี้ฝานเพียงครั้งเดียวเท่านั้น ทว่าแววตาเย็นเยียบประดุจหุบเขาน้ำแข็งเช่นนี้ทำให้นางจำได้ไม่มีลืม จึงไม่แปลกที่อีกฝ่ายถูกกักเก็บไว้ในหนึ่งความทรงจำ เขาดูรังเกียจเดียดฉันท์อนุของลู่เยี่ยนฮ่าวทุกคน และแน่นอนสือลี่ผิงเองย่อมหลีกไม่พ้น
เมื่อก่อนสือลี่ผิงผู้นี้เคยเป็นอนุพ่อของเขา!
นางถึงกับขยาดกลัวขึ้นทันควัน โชคดีนักที่สวรรค์ส่งนางมายังห้วงเวลาที่สือลี่ผิงยังไม่ได้รู้จักกับลู่อี้ฝาน ทั้งยังไม่ตกเป็นอนุของผู้ใด เช่นนั้นควรเร่งตัดไฟตั้งแต่ต้นลม อย่าได้เข้าไปพัวพันกับสองพ่อลูกตระกูลลู่ให้ต้องข่มเหงจิตใจนางอีกเลย
สือลี่ผิงหลุบดวงตาฉับ เปล่งวาจาละล่ำละลักเพื่อกลบเกลื่อนความรู้สึก "คะ...คุณชาย ท่านจับผิดคนแล้วเจ้าค่ะ ข้าไม่เคยมีเรื่องบาดหมางใจใดกับท่าน หากว่าสืออี้หนานเป็นคนทำท่านก็ไปคิดบัญชีกับนางเอาเอง ขะ...ข้าคือสือลี่ผิงจริง ๆ"
"หืม เจ้าบอกว่าตนไม่ใช่สืออี้หนาน ทว่าเมื่อช่วงกลางวันก็เป็นเจ้าไม่ใช่หรือที่ร่ายรำให้ตาแก่นั่นชม" คิ้วเข้มเลิกขึ้นหยั่งเชิง
"กะ...ก็จริงอยู่ที่ว่าเป็นข้า แต่ข้าขอยืนยันว่าข้าไม่ใช่สืออี้หนาน"
นางจะเอ่ยอย่างไรดี คุณหนูรองเปลี่ยนตัวกับคุณหนูใหญ่อย่างนั้นหรือ อีกอย่างใบหน้าของนางช่วงนั้นบวมเป่งดูไม่จืด เหตุใดคนผู้นี้ยังจำได้อีกเล่าว่าเป็นนางที่ร่ายรำเมื่อช่วงบ่าย หรือเขาลอบส่งคนเข้าไปสอดส่องในจวนสกุลสือกัน
ฝ่ามือหยาบระคายพยายามเบี่ยงใบหน้าของนางแลมองซ้ายขวา "หืม...เมื่อช่วงกลางวันยังอัปลักษณ์ดูไม่ได้อยู่เลย น่าแปลก..." ชายหนุ่มซู๊ดปากหนึ่งครา เขาเอ่ยต่อ "ไยตอนนี้แปรผันเป็นสาวงามไปแล้วเล่า"
"ข้า...เอ่อ...จริง ๆ แล้วข้ามีเหตุจำเป็นต้องทำเช่นนั้น แต่ว่าข้าไม่ใช่สืออี้หนานจริง ๆ ท่านต้องการสิ่งใดจากนางกันเล่า หากข้าช่วยได้ก็จะช่วย"
"ต้องการสิ่งใดหรือ บิดาของเจ้าเป็นหนี้ตระกูลลู่เท่าใดเล่า เขาไร้ปัญญาใช้หนี้จนต้องคิดขายลูกสาวกินอย่างไร้ยางอาย ลูกสาวเช่นเจ้าก็ช่างดีเหลือเกินระริกระรี้อยากเข้ามาเสวยสุขในตระกูลลู่เสียจนเนื้อเต้นสิท่า"
สือลี่ผิงค้อนควัก "นี่คุณชาย จะต่อว่าบิดาข้าอย่างไรก็แล้วแต่ท่าน ถึงอย่างไรเขาก็ไม่เคยแยแสลูกเช่นข้า แต่ช่วยฟังข้าสักนิด ว่าข้าไม่ใช่สืออี้หนาน ข้ามีนามว่าสือลี่ผิง"
"โกหกตาใส" ชายหนุ่มกัดฟันกรอด เขาบีบคางของอีกฝ่ายไว้แน่นด้วยความกรุ่นโกรธ
สตรีเช่นสืออี้หนานผู้ใดก็ว่านางเป็นพวกตลบตะแลงราวปีศาจจิ้งจอก ไว้ใจไม่ได้ ซ้ำยังเที่ยวหว่านเสน่ห์กับพวกบุรุษไปทั่วแคว้น เขาไม่เคยสนใจว่านางหน้าตาเช่นไร หรืออยากรู้จักมักจี่กับบรรดาสตรีตระกูลผู้ดีที่เอาแต่ผลัดหน้าขาวแต่งตัวสวยไปวัน ๆ มากนัก งานสืบคดีของหน่วยองครักษ์เสื้อแพรมีตั้งเท่าใด เรื่องไร้สาระพรรคนี้จึงไม่เคยแวบเข้ามาในมโนความคิดเขาสักกระผีกริ้น
ทว่าพิศมองจากใบหน้าของนางตอนนี้คงจริงดังว่า งดงามสะสวยไร้ที่ติเตียน สาวงามแห่งหนานโจวหรือ ก็แค่สตรีเห็นแก่เงินผู้หนึ่ง ริอ่านเอาตัวเข้าแลกกับตาแก่ตัณหากลับ ครั้งนี้นางอย่าหมายใช้มารยาเพื่อหลอกล่อเขาเลย ต่อให้บิดาของเขาเป็นพวกมักมาก กระนั้นลู่อี้ฝานกลับมีนิสัยที่ต่างจากลู่เยี่ยนฮ่าวมากนัก เว้นเพียงพี่ชายต่างมารดาของตนที่นิสัยถอดแบบมาจากลู่เยี่ยนฮ่าวไม่มีผิดเพี้ยน
แรงจากปลายนิ้วยิ่งมีมากขึ้น สือลี่ผิงเริ่มรู้สึกเจ็บปวด โชคดีที่อีกฝ่ายยังมีมโนธรรมไม่มัดมือมัดเท้าของนางเอาไว้เยี่ยงหมูเยี่ยงสุนัข ฝ่ามือเล็กจึงพยายามแกะมือที่แข็งราวคีมเหล็กออกจากปลายคางของตน ทว่ายิ่งดิ้นรนเขากลับยิ่งเพิ่มแรงขึ้นอีกทบทวีคูณ
คนป่าเถื่อน คอยดูเถอะข้าจะไปฟ้องทางการ
"เอ๊ะ!...ท่านนี่เป็นคนเช่นไรกัน ข้าบอกว่าไม่ได้โกหกอย่างไรเล่า ท่านทำเช่นนี้เป็นการลักพาตัวผู้อื่น ข้าจะไปฟ้องทางการ!" สือลี่ผิงขึงดวงตามองเขาอย่างนึกคาดโทษ
ลู่อี้ฝานยิ้มขัน เหตุใดนางจึงใจกล้าเพียงนี้เล่า "อยากฟ้องก็เอาเลย เจ้ามีชีวิตรอดจากวันนี้ให้ได้ก่อนก็แล้วกัน"
"ลู่!...เอ่อ...ท่านจะทำอะไร ข้าบอกแล้วว่าข้าไม่ใช่นาง ต้องให้ย้ำอีกกี่ครั้งกันเล่า คนงี่เง่า"
สือลี่ผิงพยายามสลัดให้ตนหลุดพ้นจากพันธนาการที่เจ็บปวด ทว่าแรงของเขาช่างมหาศาลเหลือล้น ใบหน้าหล่อเหลาโน้มใกล้ลงมาเรื่อย ๆ เสียงทุ้มเอ่ยผะแผ่ว "ทำงานใช้หนี้ วันนี้อย่าคิดจะออกไปจากที่นี่เลย"
ลู่อี้ฝานสลัดมือออกจากใบหน้างาม สือลี่ผิงหน้าหันตามแรงผลักของเขา นางผินหน้ากลับเนิบช้า
ทำงานใช้หนี้ เขาเลอะเลือนไปแล้วหรืออย่างไร
"คุณชาย ข้าสัญญาจะใช้หนี้ท่านแน่นอน แต่ว่าตอนนี้แม่ของข้ารออยู่ ปล่อยข้าไปก่อนได้หรือไม่"
สือลี่ผิงไม่มีเวลาให้คิดมากนัก ตอนนี้นางต้องเอาตัวรอดจากลู่อี้ฝานให้ได้เสียก่อน นางทั้งวิงวอนและหว่านล้อมเขาแต่ดูเหมือนเขากลับไม่แยแสต่อคำพูดของนางเลยสักนิด
"ปล่อยหรือ เจ้าฝันไปเถอะ!"
อยากจะบ้า บุรุษตระกูลลู่เป็นพวกเอาแต่ใจกันทุกคนหรืออย่างไร
"อี้ฝาน ลี่ผิง นี่คือสิ่งใดกันหรือ"ลู่อี้เหนียงยกกระดาษแผ่นหนึ่งขึ้น เอ่ยถามด้วยสีหน้าเคร่งเครียด มู่หรานซึ่งนั่งอยู่ใกล้ ๆ ก็พลอยทอดถอนใจไปตามกัน"เอ่อ..." สือลี่ผิงกล่าวอ้อมแอ้ม นางเอื้อมมือสะกิดลู่อี้ฝานเบา ๆ คนตัวสูงยืนตัวแข็งทื่อไม่ต่างกัน เขาเหลียวมองสือลี่ผิงเนิบนาบ สือลี่ผิงเอ่ยพลางขยิบตา "ทะ…ท่านบอกท่านแม่สิ"ฮูหยินทั้งสองเลิกคิ้วฉงน มองท่าทีหลุกหลิกของลูกรักพลางถอนหายใจโดยพร้อมเพรียงลู่อี้เหนียง "อี้ฝาน เจ้าว่าอย่างไร"ลู่อี้ฝานกระแอมหนึ่งหนเพื่อรวบรวมความกล้า "ท่านแม่ ท่านแม่ยาย ที่จริงแล้ว สัญญานั่นเกิดจากความเข้าใจผิด เดิมทีข้าว่าจะทำลายมันทิ้ง แต่บังเอิญว่าหาไม่เจอขอรับ""เข้าใจผิดหรือ เข้าใจผิดใดกัน ถึงขั้นต้องมีสัญญาว่าจ้างสามีภรรยา" ลู่อี้เหนียงขมวดคิ้วมุ่น"นั่นสิลี่ผิง ตกลงแล้วพวกเจ้าอยู่ด้วยกันมีความสุขหรือไม่ พวกข้าทั้งสองจะตายตาหลับได้อย่างไร ไม่ชอบก็บอกไม่ชอบ เหตุใดต้องเล่นละครตบตาคนแก่กันเล่า" มู่หรานหน้าเครียดขึ้นอีกหลายส่วนเดิมทีนางคิดว่าทั้งสองคงมีใจใ
หลายคนต่างมารวมตัวกันที่หน้าห้องของคุณชายลู่หย่วน และสิ่งที่ปรากฏเบื้องหน้าส่งผลให้สืออี้หนานขุ่นเคืองแทบแดดิ้น นางกัดฟันกรอดโพล่งเสียงดังอย่างนึกลืมตัว"เป็นเช่นนี้ไปได้อย่างไร!?"ลู่เยี่ยนฮ่าวหันขวับ "หมายความว่าอย่างไร"สาวใช้ของนางกระตุกชายเสื้อสืออี้หนานแผ่วเบา เมื่อรู้ตัวว่าตนเผลอเอ่ยสิ่งใดออกไปนางจึงส่งยิ้มแห้งขอดส่งให้เดี๋ยวนั้น "ขออภัยเจ้าค่ะ ข้าแค่ตกใจที่เห็นพี่หญิงสามและคุณชาย...เอ่อ...""พอแล้ว!" ลู่เยี่ยนฮ่าวยกมือขึ้นปรามด้วยใบหน้าเคร่งขรึม"ท่านพ่อฟังลูกก่อน" ลู่หย่วนพยายามอธิบาย"เจ้าทั้งสองไม่ต้องพูดแล้ว ลู่หย่วนสตรีทั้งเมืองเจ้าต้องการผู้ใดพ่อล้วนไม่ขัด ทว่านางเป็นอนุของข้า เรื่องบัดสีเช่นนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร" ลู่เยี่ยนฮ่าวยกมือขึ้นกุมขมับอนุสาม "ท่านพี่ แต่ว่าเมื่อคืน...""เจ้าหุบปาก หญิงแพศยาเช่นเจ้าข้าเลี้ยงไว้ก็เสียข้าวสุก"อนุสามหุบปากลงเดี๋ยวนั้น ลู่หย่วนทำได้เพียงทอดถอนใจ ในเมื่อภาพทุกอย่างมันเด่นชัดเช่นนี้ต่อให้เอ่ยปฏิเสธไปก็คงไม่มีผู้ใดเชื่อ ซ้ำเ
รุ่งเช้าของวันถัดมาเสียงเอะอะเอ็ดตะโรดังสนั่นไปทั้งจวนสกุลลู่ ทว่าสือลี่ผิงและลู่อี้ฝานยังคงนอนตระกองกอดกันอยู่ไม่ห่าง เปลือกตาบางค่อย ๆ ขยับไหว ศีรษะของนางตอนนี้ชาหนึบไปเสียหมด สือลี่ผิงรู้สึกร้าวระบมไปทั้งตัว คิ้วเรียวเริ่มเคลื่อนเข้าหากันช้า ๆ เมื่อภาพบางอย่างสาดสะท้อนเข้ามายังมโนสำนึกเราฝันหรือ กำลังฝันเรื่องบัดสีใดกันร่างบอบบางขยับกายเนิบนาบ เมื่อรู้สึกประดุจมีบางสิ่งกำลังรั้งกายของตนเอาไว้ สือลี่ผิงจึงลดนัยน์ตาลงมองเนิบช้า ท่อนแขนแกร่งพาดอยู่บนเอวเปลือยเปล่าขะ...แขนใคร คงไม่ใช่...สือลี่ผิงช้อนดวงตาขึ้นด้วยหัวใจไหวระทึก นางหวังเพียงว่าเมื่อคืนสืออี้หนานทำไม่สำเร็จเป็นพอ เพียงแต่นางกำลังนอนอยู่ใต้อ้อมแขนของบุรุษหรือ เช่นนั้นเรื่องที่เกิดขึ้นคงไม่ใช่ความฝันนัยน์ตารูปหงส์กะพริบปริบ ๆ เมื่อสบประสานเข้ากับดวงตาคมปลาบเข้าพอดี"ตื่นแล้วหรือ" เสียงทุ้มเอ่ยถามสือลี่ผิงเบิกตากว้าง นางรีบหลุบดวงตาลงแล้วเบิกขึ้นอีกครั้งเรื่องจริงหรือลู่อี้ฝานขมวดคิ้ว "เป็นอะไรของเจ้า"
ลู่หย่วนรีบถลันกายเข้ามาในห้อง อนุสามเองก็เร่งตามเข้ามาเช่นเดียวกัน สบเข้ากับจังหวะที่สืออี้หนานกำลังสาละวนหยิบปล้องไม้ไผ่ขึ้น พลางยื่นให้สาวใช้คนสนิทของตนเป่ากลุ่มควันเข้ามาด้านใน โชคดีที่สือลี่ผิงรู้ตัวก่อน ทว่ากลุ่มควันเหล่านั้นกลับลอดผ่านผ้าคลุมซึ่งนางผูกเอาไว้ได้ ร่างบอบบางพยายามคลานไปหลบบริเวณใต้เตียงแค่ก แค่กทั้งอนุสามและลู่หย่วนต่างสำลักควันโขมงโฉงเฉงที่ลอยว่อนทั่วห้อง"นะ...นี่มันคือสิ่งใด" เสียงแหลมเล็กเอ่ยไปพลางปัดฝุ่นควันไปพลาง จู่ ๆ ร่างกายของพวกเขาเกิดร้อนรุ่มกะทันหันสือลี่ผิงเองก็ไม่ต่างทว่านางพยายามควบคุมสติของตนเอาไว้ สืออี้หนานมองร่างสูงของบุรุษและสตรีในห้องผ่านกลุ่มควันก็ให้ต้องเหยียดยิ้มพึงใจ ทั้งสองไม่อาจควบคุมความรู้สึกได้แล้ว ไฟกำหนัดกำลังพัดโหมอย่างบ้าคลั่งสือลี่ผิงเบิกตากว้างตะลึงลานยาปลุกกำหนัดตอนนี้สือลี่ผิงเองก็รู้สึกร้อนรุ่มไม่ต่างกัน เสียงจุมพิตจากคนบนเตียงดังขึ้นอย่างดูดดื่ม สืออี้หนานวางใจแล้วว่าแผนการของตนสำเร็จนางจึงผละกายจากไปด้วยสีหน้าสบายอารมณ์&nbs
เจ้าของนัยน์ตาหงส์นั่งกวาดสายตาเศร้าสลดมองใบหน้าของตนผ่านคันช่องสีอำพัน ครึ่งหนึ่งของชีวิตสตรีควรฝากฝังไว้กับบุรุษอันเป็นที่รักมิใช่หรือ แล้วดูนางตอนนี้ เหตุใดต้องตบแต่งด้วยความไม่เต็มใจอยู่เรื่อย ดูเหมือนเวรกรรมที่กระทำเอาไว้คงยังชำระให้ตระกูลลู่ไม่หมดสิ้น นางจึงได้กลายมาเป็นสือลี่ผิงอีกคน หวนมาใช้หนี้แก่บุตรชายของลู่เยี่ยนฮ่าวแทนทุกอย่างกำลังอลหม่านตบตีกันเสียจนสับสน สือลี่ผิงกำลังหมกมุ่นครุ่นคิดจึงไม่ทันได้ยินเสียงที่เยื้องย่างเข้ามาด้านในเนิบนาบจนเมื่อสตรีร่างผอมบางประชิดกายของนาง พลางโน้มลงขนาบใบหู สือลี่ผิงจึงช้อนดวงตาขึ้น ทันทีที่พบว่าเป็นผู้ใด ดวงตากลมโตถึงกับเบิกกว้าง นางหันหลังขวับ"ท่านแม่!"สือลี่ผิงโผเข้ากอดเอวผู้เป็นมารดาเดี๋ยวนั้น น้ำเสียงสดใสระคนตื่นเต้นแฝงความลิงโลด ฝ่ามือผอมแกร็นค่อย ๆ ยกขึ้นลูบไล้ศีรษะของบุตรสาวเชื่องช้า"ลี่ผิง อย่าเสียใจไปเลยนะ ที่จริงแล้วเรื่องนี้เป็นแม่เองที่ตัดสินใจแทนเจ้า"สือลี่ผิงขมวดคิ้ว นางไม่เข้าใจ พลางแหงนหน้าขึ้นมองมารดาของตน "ท่านแม่หมายความว่าอย่างไรเจ้าคะ" 
สือลี่ผิงเพลิดเพลินกับการอาบน้ำชำระร่างกายจนหลงลืมไปว่าด้านในมีเพียงอาภรณ์ตัวบางเท่านั้น นางควรทำเช่นไรดี เรียกหาซือซือหรือ เกรงว่าตอนนี้ซือซือคงไม่อยู่ที่นี่สือลี่ผิงกวาดสายตาเมียงมองด้วยความระแวดระวัง นางเกรงว่าลู่อี้ฝานยังคงอยู่ด้านใน เวลาผ่านไปไม่ถึงหนึ่งเค่อเมื่อวางใจแล้วว่าอีกฝ่ายคงไม่ย่างกรายเข้ามาเป็นแน่ นางจึงลุกขึ้นหยิบอาภรณ์ตัวบางสีขาวสวมทับลงบนเรือนร่างเปลือยเปล่า แล้วจึงย่องปลายเท้าออกจากฉากกั้นเนิบช้าสือลี่ผิงออกมาพบกับความว่างเปล่านางจึงระบายลมหายใจด้วยความโล่งอก ทว่าวางใจไม่ทันไรก็ต้องสะดุ้งโหยงอีกหน เมื่อแผ่นหลังของนางชนเข้ากับบางสิ่งเจ้าของร่างสูงยืนชิดหลังของนาง เขาโน้มกายลงเอ่ยด้วยน้ำเสียงแหบพร่า "กำลังมองหาสิ่งใดหรือ"สือลี่ผิงกระโดดโหยงทันควัน กายของนางร่วงแหมะลงไปนั่งบนเตียงเข้าพอดี "ทะ...ท่านกำลังเล่นพิเรนทร์ใด"คิ้วเข้มเลิกขึ้นหนึ่งฝั่ง "เป็นอะไรไปเล่า ทำราวกับข้าน่ากลัวถึงเพียงนั้น""แล้วไม่น่ากลัวหรือไง บุรุษตระกูลลู่น่ากลัวทุกคน" สือลี่ผิงหายใจไม่ทั่วท้อง นางถึงขั้นลอบสูดลมหายใจลึกเข