“ไปเดินเล่นกันไหม”
“คะ?” ถ้อยคำเชิญชวนด้วยใบหน้าที่เรียบเฉยทำเอาฉันต้องถามกลับอีกรอบให้แน่ใจ
“ไปเดินเล่นด้วยกันหรือเปล่า พวกแม่ ๆ เขาคุยกันอยู่ ไม่อยากไปขัดท่าน”
“เอ่อ... ค่ะ” ฉันพยักหน้ารับอย่างเหนียมอายก่อนจะเดินข้างพี่คิณออกไป แล้วเดินไปเรื่อย ๆ ตามทางเดินของห้างสรรพสินค้าโดยไม่รู้ว่าจะเดินไปไหนด้วยซ้ำ
“ไม่คิดเลยว่าจะเป็นเรา”
“หนูก็ไม่คิดว่าจะเป็นพี่คิณเหมือนกันค่ะ ไม่งั้นหนูก็คงไม่แต่งตัวพิลึกแบบนี้” ฉันว่าด้วยน้ำเสียงติดงอแง อีกนิดฉันจะปาดน้ำตาโชว์พี่คิณที่เดินอยู่ข้าง ๆ ฉันแล้วเนี่ย
“ก็ว่าอยู่ ไม่คิดว่าเราจะแต่งตัวแบบนี้” พี่คิณว่าอย่างขบขัน ฉันได้ยินพี่เขาหัวเราะในลำคอเล็กน้อยจนฉันต้องหันไปมองเขาอย่างประหลาดใจ
“ก็ฉันไม่อยากให้ใครมาชอบฉันนี่คะ”
“งั้นที่บอกว่าถ้ารู้ว่าเป็นพี่จะไม่แต่งตัวแบบนี้คือ...” เดี๋ยวนะ บอกแบบนี้ก็หมายความว่าอยากให้พี่คิณชอบน่ะสิ
“ไม่ค่ะ ๆ ๆ คือหนูรู้อยู่แล้วไงว่าพี่ไม่มีทางชอบหนูหรอก” ฉันรีบยกมือห้ามปรามความคิดของพี่เขาพลางส่ายหน้าระรัวด้วยความลนลานแล้วส่งยิ้มเจื่อนให้ปดปิดความลุกลี้ลุกลน
“ทำไมถึงคิดว่าพี่ไม่มีทางชอบเราล่ะ” พี่คิณหยุดฝีเท้าก่อนจะยืนนิ่ง สองมือล้วงกระเป๋าพลางหันหน้ามามองฉันอย่างเต็มตาจนฉันรู้สึกใจสั่นชอบกลเหมือนมีใครเอาที่เจาะหินมาสั่นสะเทือนอยู่ในทรวงอกแล้วหลบสายตาช่างสงสัยของพี่เขา
“ก็... พี่เป็นแฟนกับพี่เมนิลนี่คะ”
“รู้ด้วยเหรอ” ฉันค่อย ๆ หันหน้าไปมองคนถามแล้วพยักหน้าช้า ๆ ให้ตายสิรู้สึกหน้าชายังไงก็ไม่รู้
พี่คิณหัวเราะออกมาเบา ๆ ก่อนจะหันหน้าไปมองตรงแล้วเดินนำฉันออกไป ฉันรีบก้าวเท้ายาวเพื่อที่จะตามพี่เขาให้ทันพร้อมมองพี่เขาด้วยความสงสัย
“พี่คิณหัวเราะทำไมคะ” ฉันรีบเอ่ยถามอย่างร้อนใจ
“รู้ได้ยังไงว่าพี่เป็นแฟนกับเมนิล”
“ก็เพื่อนฉันเห็นพวกพี่ไปดูหนังด้วยกันถ้าไม่ได้เดตกันก็น่าจะเป็นแฟนกันอยู่ใช่ไหมคะ” ฉันเอ่ยถาม
“นี่จับตามองพี่อยู่เหรอ” พี่คิณหันมาถามพลางจ้องด้วยสายตาจับผิดทำเอาฉันรีบหันหน้าไปมองทางอื่นด้วยความเขินอายไม่กล้าจะสบตากับพี่เขาสักครั้ง
“เปล่านี่คะ” ฉันรีบปฏิเสธเสียงสูง
“แค่บังเอิญเจอกัน ไม่ได้ไปด้วยกันหรอก พี่เอาของไปให้พี่ชายเฉย ๆ”
“อะไรนะคะ พี่ไม่ได้ไปกับพี่เมนิลเหรอ”
“ไม่ได้ไป”
“งั้นก็หมายความว่า...” ฉันรีบหันหน้ากลับมามองพี่เขาอย่างแปลกใจ
“พี่กับพี่เมนิล ไม่ได้เดตหรือเป็นแฟนกันอย่างที่เราคิดไง”
“จริงเหรอคะ” พี่คิณพยักหน้าเป็นการตอบรับ
“ถ้าจะพูดให้ถูกคือไม่ได้คบกันแล้วมากกว่า เพราะพี่กับเมนิลเลิกกันมานานแล้ว”
“พี่กับพี่เมนิลเคยคบกันเหรอคะ”
“ใช่ แต่ก็นานมากแล้ว แถมยังคบกันได้ไม่นานด้วย”
“ไม่น่าล่ะ พี่เมนิลเลยดูจะชอบพี่มาก” ฉันยกมุมปากอย่างที่ทำประจำเวลาที่กำลังครุ่นคิดพลางมองลอยออกไปไม่ได้จดจ้องอะไร
“เพราะงี้เหรอ เลยคิดว่าพี่ไม่มีทางชอบเรา” ฉันรีบแหงนหน้าขึ้นมามองคนพี่อย่างทันควัน
“เอ่อ... หนู... ก็ดูไม่น่าใช่แบบที่พี่ชอบนี่คะ”
“เรารู้เหรอว่าไทป์ที่ชอบเป็นยังไง” ฉันรีบส่ายหน้าระรัว
“ไม่รู้ค่ะ” พี่คิณทอดสายตามามองฉันอย่างครุ่นคิดตั้งแต่หัวจดถึงปลายเท้า
“ตามพี่มาสิ”
“คะ?” ฉันเอ่ยถามอย่างงุนงงแต่ยังไม่ทันได้หายสงสัยพี่คิณก็เอื้อมมือมาดึงข้อมือฉันไว้อย่างหลวม ๆ ก่อนจะออกแรงดึงให้ฉันเดินตาม
ฉันก้มหน้ามองมือหนาของพี่คิณที่มีเส้นเลือดขึ้นตามหลังมือขาวที่กำลังกุมข้อมือฉันไว้อยู่ยิ่งทำให้หน้าฉันเห่อร้อนขึ้นมาอย่างห้ามไม่ได้ ไออุ่นจากฝ่ามือของพี่เขามันทำให้หัวใจฉันเต้นอย่างกระชุ่มกระชวยยังไงก็ไม่รู้
พี่เขาพาฉันเดินเข้ามาในร้านเสื้อผ้าร้านหนึ่งก่อนจะเดินเข้ามาในโซนเสื้อยืดสีขาวล้วนแล้วหยิบตัวหนึ่งที่ดูจะพอดีกับฉันมาทาบที่ตัวฉันพลางมองด้วยสายตาครุ่นคิด
“พอดีแหละ” พี่เขาว่าโดยที่ไม่ได้ถามฉันเลยสักคำก่อนจะจูงฉันให้เดินไปที่เคาน์เตอร์จ่ายเงินพร้อมกับจ่ายเงินให้ฉันอย่างเสร็จสรรพ
“เอ่อพี่คิณคะ ที่จริงฉันจ่ายเองก็ได้ค่ะ” ฉันว่าอย่างเกรงใจ
“ไม่เป็นไร เอาไปเปลี่ยนเถอะ” พี่คิณยื่นเสื้อยืดสีขาวตัวนั้นมาให้ฉัน ฉันรับมันมาอย่างงุนงง “เปลี่ยนแค่เสื้อก็ดูดีแล้ว”
ใบหน้าของฉันแดงฉ่าขึ้นมาจนฉันสัมผัสได้ก่อนจะรีบเดินเบี่ยงออกไปเพราะกลัวว่าคนพี่จะได้ยินเสียงหัวใจที่เต้นแรงระรัวอยู่ในอก ทั้งใบหน้าแดงก่ำจากความเขินอาย
ฉันเดินเข้ามาในห้องลองชุด ก่อนจะรีบเปลี่ยนเสื้อลายดอกออกแล้วสวมเสื้อยืดสีขาวที่พี่คิณเลือกซื้อให้ก่อนจะสายสายเอี๊ยมทับอีกที สายตามองตัวเองที่เป็นเงาสะท้อนอยู่ในกระจก พอเอาเสื้อยืดลายดอกออกไปก็ดูดีเหมือนกันนะเนี่ย
พี่คิณก็ตาถึงนะ
ฉันคิดในใจก่อนจะเปิดประตูออกไป สายตาจับจ้องไปยังพี่คิณที่ยืนกอดอกอยู่ด้านหน้าร้าน ฉันรีบเดินเข้าไปหาพี่เขาทันที พี่คิณหันหน้ากลับมามองฉันก่อนจะยกยิ้มมุมปากอย่างพอใจ
“ดูดีนี่ น่ารักกว่าที่คิดอีก” ฉันรีบหันหน้าหนีไปมองทางอื่นเพื่อไม่ให้พี่เขาได้เห็นใบหน้าแดงระเรื่อของฉัน
“ขอบคุณค่ะ” น้ำเสียงตะกุกตะกักของฉันทำเอาพี่คิณเผลอหลุดหัวเราะออกมา ฉันได้แต่ยกมือขึ้นมาลูบท้ายทอยอย่างประหม่า
“ไปเดินเล่นต่อกันเถอะ”
“ค่ะ” ฉันตอบรับก่อนจะเดินตามพี่คิณไป พวกเราเดินไปเรื่อย ๆ ตามทางเดินของห้างที่ทั้งสองฝั่งมีร้านขายของละลานตา
ฉันเหลือบไปเห็นร้านชานมไข่มุกร้านโปรดที่ฉันชอบดื่มเป็นประจำก่อนจะเงยหน้าขึ้นไปมองหน้าคนพี่ที่กำลังมองตรงไปด้านหน้า
“พี่คะ หนูขอไปซื้อชานมก่อนนะคะ”
“ได้สิ” ฉันรีบปลีกตัวออกมาแล้วเดินไปสั่งชานมไข่มุกอย่างอารมณ์ดี เพราะฉันถือคติว่าของหวานจะช่วยเยียวยาทุกอย่างจนบางทีก็น่าจะเยียวยามากไปหน่อย
ต่อแถวได้ไม่นานชานมไข่มุกของโปรดก็มาถึงมือฉัน ฉันรีบเจาะหลอดแล้วดูดมันขึ้นมาดื่มอย่างชื่นใจกลิ่นชาหอม ๆ หวาน ๆ ติดปลายลิ้นพร้อมกับได้เคี้ยวเม็ดไข่มุกหนึบ ๆ มันทำให้อารมณ์ฉันดีขึ้นมาอย่างทันตาเห็น
“อร่อยขนาดนั้นเลยเหรอ”
“พี่ไม่เคยดื่มเหรอคะ” ฉันเอ่ยถามตาใส
“พี่ไม่ค่อยทานของหวานน่ะ”
“ลองชิมดูสิคะ นี่เจ้าโปรดหนูเอง” ฉันเผลอตัวเอ่ยชวนด้วยความคุ้นชินพร้อมกับยื่นแก้วไปให้พี่เขาอย่างดิบดีจนลืมไปว่าพี่เขาต้องใช้หลอดเดียวกันกับที่ฉันดูดไปแล้วนี่หว่า
นิดาเอ๊ยนิดาทำอะไรไม่คิดหน้าคิดหลังอีกแล้วนะ
“โอ๊ะขอโทษค่ะลืมตัว” ฉันกำลังจะชักมือกลับแต่พี่คิณกลับเอื้อมมือมารั้งข้อมือของฉันไว้ก่อนจะโน้มใบหน้าลงมาดูดชานมไข่มุกในมือของฉันอย่างไม่ทันได้ตั้งตัว
ฉันเบิกตากว้างอย่างตกตะลึงพลางหัวใจได้ทำงานหนักอีกรอบเพราะคราวนี้ใบหน้าหล่อของพี่คิณมันอยู่ใกล้ฉันเพียงแต่นิดเดียวเท่านั้น ฉันได้กลิ่นแชมพูที่ติดอยู่บนเส้นผมของพี่เขาลอยเข้ามาปะทะที่จมูก กลิ่นมิ้นต์บนศีรษะของพี่เขากลบกลิ่นชาที่ลอยออกมาจากร้านขายชาเสียจนฉันตัวแข็งทื่อ
“อื้อ อร่อยดีนะ” พี่คิณที่เงยหน้าขึ้นมาพร้อมกับยังเคี้ยวไข่มุกในปากพูดขึ้นพร้อมกับยกมือขึ้นป้องริมฝีปากบาง
ฉันพยักหน้ารับก่อนจะหันไปมองทางอื่นพลางยกชานมไข่มุกขึ้นมาดื่มแก้เขิน จนนึกได้ว่าแบบนี้มันเป็นการจูบทางอ้อมนี่
“แค่ก ๆ ๆ” ไข่มุกเม็ดหนึ่งหลุดลงคอฉันไปเสียดื้อ ๆ จนฉันเกิดอาการสำลัก
“เป็นไรไหม” พี่คิณลูบหลังฉันอย่างตื่นตระหนก ฉันรีบยกมือเพื่อบอกว่าไม่เป็นอะไร
ให้ตายสิ วันนี้มีแต่เรื่องให้ขายหน้าชะมัดเลย
พวกเราเดินต่อกันมาเรื่อย ๆ พลางพูดคุยกันเล็กน้อยเพื่อไม่ให้บรรยากาศดูตึงเครียด
“ปกติเราชอบทำอะไรเหรอ”
“เวลาว่างเหรอคะ หนูชอบดูหนังดูซีรีส์ค่ะ แล้วพี่คิณล่ะคะ” ฉันเอ่ยถามกลับ
“อือ ปกติพี่ไม่ค่อยว่างอะ ต้องไปฝึกงานที่บริษัทแล้วแถมยังต้องไปศึกษางานกับพี่ชายพี่อีก”
“งั้นเหรอคะ ดูวุ่นวายจัง”
“แต่พอเวลาพี่ว่างพี่ก็ชอบไปดูหนังนะ เราชอบดูหนังแนวไหนล่ะ” ฉันรีบยิ้มร่าก่อนจะเอ่ยตอบพี่คิณ
“หนูชอบดูหนังผีค่ะ”
“หนังผีเหรอ” คนพี่ถึงกับขมวดคิ้วอย่างแปลกใจ “เราไม่กลัวผีเหรอ”
“กลัวสิคะ แต่หนูชอบดู ท้าทายตัวเองดีมั้งคะ ฮ่า ๆ ๆ” ฉันอย่างขบขันจนพี่คิณฉีกยิ้มตาม คนอะไรยิ่งยิ้มก็ยิ่งหล่อเหมือนกันนะเนี่ย “แล้วพี่ล่ะคะ ชอบดูหนังแนวไหน”
“พี่ชอบดูคอมเมดีอ่ะ”
“หา?” ฉันหันไปมองพี่คิณด้วยความประหลาดใจ ไม่คิดว่าคนที่ปกติเคร่งขรึมดูหยิ่ง ๆ กลับชอบดูหนังคอมเมดี้หนังตลกพวกนี้เหรอเนี่ย “จริงเหรอคะ”
“ทำไมอะ”
“เปล่าหรอกค่ะ แค่ดูขัดกับสไตล์อะ”
“เราก็เหมือนกันน่ะแหละ พี่คิดว่าเราจะชอบดูหนังแบบโรแมนติกอะไรพวกนี้ซะอีก”
“อันที่จริงหนูก็ดูได้หมดแหละค่ะ แล้วแต่ว่าเรื่องไหนน่าดู” พี่คิณพยักหน้ารับเข้าใจที่ฉันพูด
“เดือนหน้ามีหนังใหม่น่าดูอยู่ ไว้ไปดูด้วยกันไหม”
“คะ” ฉันหยุดเดินอย่างกะทันหันพลางเงยหน้าขึ้นสบตากับคนพี่ตาปริบ ๆ “พี่ชวนฉันไปดูหนังเหรอคะ”
“อื้อ เราไม่ว่างเหรอ”
“เปล่าค่ะ” ฉันรีบส่ายหน้าระรัว “ว่างค่ะ ๆ เมื่อไหร่บอกได้เลยค่ะ”
“งั้นแลกไลน์กันไว้ไหม พี่จะได้นัดวันได้” พี่คิณยื่นโทรศัพท์มือถือมาตรงหน้าฉัน ฉันรีบเอื้อมมือไปรับแล้วกดไอดีไลน์ให้พี่เขาทันทีโดยไม่ต้องรีรออะไร
นี่ฉันฝันอยู่หรือไงเนี่ย ระหว่างที่พี่คิณกำลังจ้องมองหน้าจอโทรศัพท์มือถือฉันก็แอบหยิกตัวเองเบา ๆ จนรู้สึกเจ็บแปล๊บจริง ๆ จนต้องนิ่วใบหน้า
ไม่ได้ฝัน
“พี่เพิ่มเพื่อนไว้แล้ว เดี๋ยวพี่ไปดูวันไหนแล้วพี่จะส่งข้อความไปบอกนะ”
“ค่ะได้ค่ะ” ฉันพยักหน้ารับคำพลางมองข้อความที่เด้งขึ้นมาบนหน้าจอ
พี่คิณส่งสติกเกอร์มาทักทายในห้องบทสนทนาทำเอาฉันรู้สึกเหลือเชื่อว่าตัวเองมีไลน์ของพี่คิณไว้ในเครื่องแล้วจริง ๆ
“แม่พี่ไลน์มาบอกว่าจะกลับแล้ว วันนี้พวกเราพอแค่นี้แล้วกลับกันเถอะเนอะ”
“ค่ะ”
“กลับดี ๆ นะ”
“เอ้อ พี่คิณคะ” ฉันรีบเอื้อมมือไปดึงชายเสื้อของคนพี่ไว้อย่างฉับไว
“หือ?”
“ขอบคุณสำหรับเสื้อแล้วก็ ร่มของวันนั้นด้วยนะคะ” พี่คิณส่งยิ้มอ่อนให้ก่อนจะพยักหน้ารับ ฉันรีบปล่อยมือออกจาก ชายเสื้อของพี่เขาก่อนที่ร่างสูงของพี่เขาจะเดินจากไป
ฉันรีบเม้มริมฝีปากของตัวเองที่กำลังจะฉีกยิ้มกว้างด้วยความตื้นตันใจ
กรี๊ดดดดด
ไม่อยากเชื่อเลยว่าเรื่องทั้งหมดนี่เกิดขึ้นจริง ฮืออออ
“แกมานี่เร็ว” มนกับวิรีบวิ่งมาทางฉันตั้งแต่ฉันเดินเข้ามาใกล้โต๊ะเก้าอี้ม้าหินอ่อนที่กลุ่มเรามานั่งเป็นประจำ “อะไร” ฉันเอ่ยถามอย่างตื่นตระหนกขณะที่โดนเพื่อนทั้งสองลากให้มานั่งลงบนเก้าอี้ “ดูนี่ดิ” มนรีบยื่นหน้าจอโทรศัพท์มือถือมาตรงหน้าฉันจนใบหน้าของฉันแทบจะสิงไปที่หน้าจอ “อึ้งเลยเหรอ” วิถามด้วยน้ำเสียงห่วงใย “เพื่อนเราต้องช็อกไปแล้วแน่ ๆ” “อึ้งดิ ก็มองไม่เห็นอะ” “โอ๊ย” มนถอนหายใจด้วยความหงุดหงิดก่อนจะถอยโทรศัพท์หน้าจอออกมาให้ห่างจากใบหน้าของฉัน ฉันค่อย ๆ เพ่งมองภาพตรงหน้าก่อนจะขมวดคิ้ว นั่นมันภาพของฉันตอนที่กำลังวิดีโอคอลกับพี่คิณนี่นา ฉันเคลื่อนลูกตาขึ้นไปมองยังชื่อของเจ้าของโพสต์ “พี่คิณโพสต์รูปฉันทำไม” “โธ่เอ๊ยยายซื่อบื้อ” วิว่าก่อนจะรีบเลื่อนลงมาด้านล่างให้ดูความคิดเห็นของคนที่เข้ามาว่ากล่าวฉันต่าง ๆ นานา โดยส่วนมากจะไม่มีรูปโพรไฟล์เป็นเหมือนบุคคลนิรนามที่สร้างบัญชีขึ้นมาเพื่อใช้ด่าคนไปวัน ๆ ‘พี่คิณไม่ได้คบกับพี่เมนิลหรอกเหรอ’ ‘เสียดายจัง ฉันว่าพี่เมนิลเหมาะกว่ายายนี่ตั้งเยอะ’ ‘ถ้ายายนี
ฉันเดินกลับเข้ามาในห้องนอนพลางยกผ้าขนหนูขึ้นเช็ดผมที่เปียกหมาด ๆ ก่อนจะทิ้งตัวลงนั่งบนเตียงนอน เวลานี้ก็ดึกมากแล้ว ฉันยังทำงานที่อาจารย์สั่งไม่เสร็จเลยตั้งใจว่าจะนั่งทำงานต่ออีกสักนิด ดึกสงัดแบบนี้แถมลมข้างนอกยังแรงเพราะฝนกำลังจะตกอีก บรรยากาศแบบนี้เหมือนอยู่ในหนังผีไม่มีผิดเพี้ยนเลย ฉันได้แต่เช็ดผมอย่างหวาดระแวงขนแขนลุกชันด้วยความกลัว นอกหน้าต่างมืดสนิทแต่เงาสะท้อนบนบานกระจกมันเหมือนมีอะไรตะคุ่มอยู่ข้างนอกตลอดเวลาฉันรีบก้าวไปปิดผ้าม่านจนมิดเพื่อความสบายใจก่อนจะมานั่งบนโต๊ะทำงานเปิดแล็ปท็อปแล้วเริ่มทำรายงานตามที่อาจารย์สั่งต่อ ความเงียบงันจนได้ยินเพียงเสียงลมแรงด้านนอกพัดวีทั้งยังเสียงเครื่องปรับอากาศพัดโชยเบา ๆ ก็ทำหัวใจฉันเต้นเป็นจังหวะถี่ ๆ ภาพตอนที่นั่งดูภาพยนตร์ยังคงติดตา ทั้งใบหน้าสยดสยองของผีในหนัง เสียงประกอบที่ดังจนทำเอาสะดุ้งจนตัวโยน สายตาฉันชอบไปจดจ้องเงาสะท้อนบนหน้าจอแล็ปท็อปที่ทำให้เห็นด้านหลังของฉันแบบแวบ ๆ แวม ๆ ถ้าตอนนี้มีผีโผล่มาแบบในหนังจะทำยังไง ความคิดโผล่เข้ามาในหัวยิ่งทำฉันนั่งเกร็งหลังตรงพยายามพิมพ์งานต่อโดยท
หลังจากที่ดูการแข่งขันบาสเกตบอลจบฉันและเพื่อนอีกสองคนก็เดินออกมาจากโรงยิมพร้อมกับกลุ่มรุ่นพี่เพื่อนๆ ของพี่คิณ “นี่พวกเราไปไหนกันต่ออะ” พี่รามิลหันมาถามพวกฉันที่เดินออกมาพร้อมกัน “ยังไม่รู้เหมือนกันค่ะพี่มิล” ฉันตอบกลับ “นิดา” เสียงเรียกจากด้านหลังเรียกให้ฉันและเพื่อน ๆ ต่างรีบหันไปมอง พี่คิณวิ่งมาพร้อมกับสภาพเนื้อตัวที่เปียกโชกไปหมด “พี่คิณมีอะไรหรือเปล่าคะ” ฉันหยุดเดินก่อนจะหันไปมาถามหนุ่มรุ่นพี่ พี่คิณชำเรืองสายตาไปยังกลุ่มเพื่อนจนฉันต้องหันไปมองตาม “เออ พวกกูกลับก่อนนะพอดีว่ามีธุระ เนอะไอ้กร” พี่รามิลกระทุ้งศอกใส่แขนของพี่กร เจ้าตัวหันมามองเพื่อนรักด้วยสายตางงงวยก่อนจะทำท่าเหมือนนึกอะไรบางอย่างออก “เออใช่ ๆ กูมีคุยกันเรื่องงานที่บริษัท พวกกูไปนะ” พี่กรและพี่มิล รีบเดินออกไปอย่างร้อนรนแปลก ๆ “พวกมึงอะธิดา ต้นคิด” พี่คิณเอ่ยถามเพื่อนอีกสองคน “กูไม่มีธุระ แต่กูว่า” พี่ธิดาเว้นช่วงก่อนจะหันมามองเพื่อนสาวของฉันอีกสองคนแล้วยกมือขึ้นคล้องแขนหญิงสาวสองคนให้เข้ามาแนบชิด “กูจะพาน้องมนน้องวิไปช็อปปิงอะ” “ส่วนกูจะ
“แก ๆ ๆ” ฉันรีบวิ่งหน้าตื่นหน้าตั้งมาหาเพื่อนสนิททั้งสองที่นั่งอ่านหนังสืออยู่ที่โต๊ะในโรงอาหาร “มีอะไรวิ่งหน้าตั้งมาเลย” มนเงยหน้าขึ้นมาเอ่ยถามด้วยความงุนงง “มนแกมัวแต่ทำอะไรอยู่ถึงไม่รู้ว่าวันนี้คณะวิศวะฯ แข่งบาสเกตบอลกับคณะแพทย์” น้ำเสียงเหนื่อยหอบระคนตื่นเต้น ฉันหอบหายใจพลางรีบลากเพื่อนทั้งสองให้ลุกขึ้น “เชี่ย ศึกแดงเดือด” มนอุทานก่อนจะรีบโกยหนังสือลงกระเป๋าเป้โดยมีวิที่เงยหน้าขึ้นมามองตาใส “จะไปกันเหรอ” “แกไม่อยากมีแฟนคณะแพทย์หรือไง พี่หมอน่ะไทป์แกไม่ใช่เหรอ ไปเร็ว” ฉันรีบหยิบหนังสือใส่กระเป๋าผ้าของเพื่อนรักแล้วจูงมือเพื่อนทั้งสองให้วิ่งตามอย่างเร่งรีบ ทั้งมนและวิต่างรีบวิ่งตามฉันให้ทันโดยมีฉันวิ่งนำอยู่ไม่ไกล ฮือ ถ้าชีวิตมีพี่คิณเป็นเส้นชัย นิดาก็พร้อมสับจนเท้าแหลก พอมาถึงโรงยิมพวกเราก็รีบเข้าไปข้างในพลางบดเบียดสอดแทรกผู้คนให้มาอยู่ด้านหน้า “น้องนิดามาแล้ว” ฉันหูผึ่งทันทีเมื่อได้ยินเสียงเรียก พี่ธิดาเพื่อนสาวในกลุ่มพี่คิณรีบกวักมือเรียกฉันและเพื่อน ๆ “น้องนิดามาดูด้วยเหรอ” พี่มิลพ่อหนุ่มจอมแพรวพราวเอ่
“นี่ข้าวเช้า” ตั้งแต่วันนั้นพี่คิณก็เอาข้าวเช้ามาส่งให้ฉันทุกวันที่ฉันมีเรียนในตอนเช้า “ขอบคุณค่ะ” ฉันยิ้มรับพลางมองตามแผ่นหลังกว้างของหนุ่มรุ่นพี่เดินออกไป “พี่คิณเขาไม่ไปฝึกงานเหรอ เห็นมาที่คณะได้ทุกวัน” มนเอ่ยถามขณะนั่งดื่มกาแฟอยู่ฝั่งตรงข้ามกับฉัน “เห็นพี่คิณบอกว่ามาหาเพื่อนอะเลยแวะเอาข้าวเช้ามาให้” ฉันหันมายิ้มอย่างอารมณ์ดีกับเพื่อนสนิทก่อนจะเปิดกล่องข้าวดู วันนี้เป็นข้าวผัดกุ้งแบบจุก ๆ พอฉันบอกพี่คิณเมื่อคืนว่าอยากกินกุ้งพี่เขาเลยบอกว่าจะทำข้าวผัดกุ้ง อย่าเรียกว่าข้าวผัดกุ้งเลยกุ้งผัดข้าวดีกว่าแทบมองไม่เห็นเม็ดข้าวแล้วเนี่ย “เพื่อนพี่เขาก็น่าจะไปฝึกงานปะ พี่ปีสี่อยู่ติดมหาวิทยาลัยที่ไหน” วิว่าก่อนจะกัดแซนด์วิชที่ตัวเองเตรียมมาจากบ้านพลางไถหน้าจอโทรศัพท์ไปมาอย่างไม่ได้ใส่ใจ “แกพูดอย่างนี้แกกำลังให้ความหวังว่าพี่เขาตั้งใจเอาข้าวมาให้ฉันอยู่นะ” ฉันหันไปทำตาประกายใส่เพื่อนรักที่หันกลับมามองฉันด้วยหางตา “ก็น่าจะจริงปะ ดูจากดาวอังคารผู้ชายทำแบบนี้ให้ก็น่าจะคิดว่าพี่เขาจีบแกแล้วไหม” เพิ่งเคยเห็นเทวิกาของเราพูดด้วยน้ำเสียงปนหงุดหง
“ไปดูตัวมาเป็นยังไงบ้างจ๊ะเพื่อนสาว ไม่ทักมาเลยนะ แสดงว่าไม่ต้องการความช่วยเหลือใช่ปะ” ประโยคทักทายจากมนที่เงยหน้าจากหน้าจอโทรศัพท์มือถือยามที่เห็นฉันเดินมานั่งฝั่งตรงข้ามบนโต๊ะไม้ในโรงอาหาร “นั่นสิ เงียบไปเลยเกิดไรขึ้นไหม” วิถามเสริมด้วยความอยากรู้ “ผิดคาดมากเวอร์” ฉันนั่งลงก่อนจะรีบสุมหัวกับเพื่อนสนิททั้งสอง “ทำไมอะ เขาหล่อเหรอ” “หรือว่าเขาเกิดชอบแกขึ้นมา” “หรือว่าแกไปถูกตาต้องใจเขา” “หรือเขาเป็นคนที่พวกเรารู้จัก” “เดี๋ยว พวกแกใจเย็น ๆ” ฉันรีบยกมือห้ามปรามความคิดของทั้งสองก่อนที่จะไปกันใหญ่มากกว่านี้ ทั้งสองเม้มริมฝีปากแน่นแล้วตั้งใจฟังอย่างใจจดใจจ่อ “เล่ามาเลย ๆ ไว” มนเร่งเร้าอย่างตื่นเต้น “คืองี้ ลูกชายของเพื่อนแม่ที่ฉันไปเจออะ คือพี่คิณ” “อะไรนะ” ทั้งสองอุทานออกมาเสียงดังลั่นพร้อมกันอย่างแตกตื่นจนฉันตั้งรีบยกมือขึ้นปิดริมฝีปากของสองเพื่อนรักเอาไว้ไม่ให้เสียงดัง แล้วหันไปมองคนอื่น ๆ ในโรงอาหารพลางค่อมศีรษะขอโทษขอโพยด้วยความเกรงใจ “ก็อย่า