กู้เสวี่ยเจี้ยนถามด้วยความประหลาดใจอย่างยิ่ง “ท่านว่ากระไรนะ? หนานเยวี่ยถูกทำลายแล้วหรือ?”“ใช่ เพิ่งได้รับข่าวเมื่อมินานมานี้ ฉินซูใช้กลอุบายเล็กน้อยก็บีบบังคับให้ทหารหนานเยวี่ยแสนนายยอมจำนน จากนั้นยังนำทหารชั้นยอดเพียงหมื่นนายบุกเข้ายึดเมืองหลวงของหนานเยวี่ย และสังหารเชื้อพระวงศ์หนานเยวี่ยจนหมดสิ้น”“มิจริงกระมัง? ท่านแน่ใจหรือว่าข่าวนั้นเป็นความจริง?” กู้เสวี่ยเจี้ยนแสดงสีหน้าเหลือเชื่อซ่างกวนอวิ๋นซีกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ข่าวนี้เป็นความจริงทุกประการ ต้องยอมรับว่าองค์รัชทายาทผู้รอวันปลดแห่งต้าเหยียนผู้นี้พอมีฝีมืออยู่บ้าง หากเขามา บางทีอาจจะช่วยข้าได้”“ท่านต้องการให้ฉินซูช่วยท่านทำกระไรหรือ?” กู้เสวี่ยเจี้ยนมองซ่างกวนอวิ๋นซีด้วยความหวาดระแวง“ถึงเวลานั้นเจ้าก็จะรู้เอง เอาเถอะ เจ้าลงไปได้แล้ว ข้าจะฝึกวิชา”ซ่างกวนอวิ๋นซีออกคำสั่งไล่แขกดื้อ ๆกู้เสวี่ยเจี้ยนเบะปากแล้วหันหลังเดินลงบันไดไปซ่างกวนอวิ๋นซีกลับไปยังห้องฝึกตน จากนั้นก็ร่ายเวทด้วยสองมือ ตวัดนิ้วส่งพลังปราณไปยังกระจกทองเหลืองบานหนึ่งในเวลาเดียวกันภายในสำนักหอดูดาวหลวงแห่งต้าเหยียนเหลยเจิ้นกำลังนั่งสมาธิบำเพ็
“ดินแดนเป่ยเยี่ยนมีแต่อันตรายรอบด้าน พาเจ้าไปด้วยมีแต่จะทำข้าพะวง”“แต่คนมันอดคิดถึงพระองค์มิได้นี่เพคะ”เซี่ยหลานกอดฉินซูจากด้านหลังพลางซบใบหน้าลงบนแผ่นหลังกว้างหนาของเขาและสะอื้นไห้เบา ๆฉินซูอดใจอ่อนมิได้ จึงหันกลับไปโอบกอดนางไว้ในอ้อมแขน เขาเชยคางเรียวเล็กของนางขึ้นพร้อมจุมพิตลึกซึ้งจากนั้นฉินซูก็คิดจะหันหลังเดินออกไป แต่ก็กลับถูกเซี่ยหลานรั้งแขนไว้แน่นเห็นเซี่ยหลานแสดงสีหน้าอาลัยอาวรณ์ ดวงตาคู่งามที่มีน้ำตาคลอหน่วยมองเขาอย่างตัดพ้อ“ก็ได้ ช้านิดช้าหน่อยคงมิเป็นกระไรหรอก”ฉินซูตัดสินใจเด็ดขาด อุ้มเซี่ยหลานแล้วกระโดดขึ้นเตียงอย่างรวดเร็วเซี่ยหลานทั้งตกใจและดีใจ จากนั้นก็ให้ความร่วมมืออย่างชำนิชำนาญในห้องรับรองตำหนักบูรพา เหลยเจิ้นที่กำลังนั่งจิบชาคอยอยู่ ในขณะนั้นเองหูของเขาก็กระดิกเล็กน้อยแล้วตั้งตรงขึ้นวินาทีต่อมา เขาก็บ่นพึมพำออกมาด้วยความเหนื่อยหน่ายใจ “คนหนุ่มสาวสมัยนี้ มิรู้จักแยกแยะเรื่องสำคัญเร่งด่วนกระไรกันเลย นี่มันเวลาไหนแล้วยังคิดถึงเรื่องนั้นอีก เฮ้อ”สองเค่อต่อมาฉินซูก็มาปรากฏตัวต่อหน้าเขา “หัวหน้าโหรหลวง ออกเดินทางได้แล้ว”“องค์รัชทายาททรงมีกำลังวังช
ฉินซูเปิดกล่องไม้ในมือแล้วมองเข้าไปข้างใน เห็นเพียงขวดกระเบื้องขนาดเล็กที่ภายในบรรจุโอสถลูกกลอนขนาดเท่าเมล็ดถั่วนอกจากนั้น ยังมียันต์กระดาษสีเหลืองวางอยู่อีกสองสามแผ่นเมื่อเห็นดังนั้น เขาก็อดมิได้ที่จะพึมพำ “ตาเฒ่าเจ้าเล่ห์นี่ มิบอกข้าสักคำว่ายันต์พวกนี้มีประโยชน์กระไรกันบ้าง มันน่านัก”เขายกยันต์ขึ้นมาแล้วเก็บไว้ในอกเสื้อจากนั้นก็รีบมุ่งหน้าไปยังเมืองเล็ก ๆ ที่อยู่มิไกลหลังจากซื้อม้าชั้นดีตัวหนึ่งในเมืองแล้วก็ควบม้าห้อตะบึงตรงไปยังทิศทางของเป่ยเยี่ยนมิหยุดหย่อน......วันรุ่งขึ้นภายในเมืองหลวงจินหลิงแห่งเป่ยเยี่ยนหยวนหัวกำลังก้าวเดินด้วยมือไพล่หลังอย่างหยิ่งยโสไปตามถนนสายหลักของเมืองเมื่อเดินผ่านแผงลอยเล็ก ๆ แห่งหนึ่งก็เห็นเครื่องหยกบนแผงนั้นงดงามเป็นพิเศษ จึงหยิบขึ้นมาพินิจดูพ่อค้าเห็นว่าอาภรณ์ของเขามิธรรมดา จึงรีบกล่าวแนะนำว่า “คุณชายตาถึงมากขอรับ นี่คือเครื่องประดับที่แกะสลักจากหยกขาวมันแพะ ขายเพียงหนึ่งถึงสองตำลึงเงินเท่านั้นขอรับ”หยวนหัวมองเครื่องประดับในมือสองสามครั้ง แล้วกล่าวอย่างเฉยเมยว่า “ของมิเลว ข้าจะเอา”พูดจบ เขาก็ถือเครื่องหยกหันหลังเดินออกไปเมื่อ
เมื่อเหล่าผู้ติดตามของเขาได้ยินดังนั้นก็ลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพุ่งเข้าใส่หยวนหัวแต่ในขณะนั้นเอง ร่างกำยำร่างหนึ่งก็ยืนขวางทางพวกเขาไว้เห็นเพียงแสงดาบวูบวาบ ในชั่วพริบตาเหล่าผู้ติดตามของเจิ้งหยวนก็ถูกฟันล้มลงไปกองกับพื้นเจิ้งหยวนยังมิทันได้ตั้งตัว ดาบสันทองก็จ่ออยู่ที่คอของเขาแล้วคนที่ลงมือคือผู้คุ้มกันของหยวนหัวนั่นเองเขากล่าวอย่างเย็นชาว่า “มิอยากตายก็ไสหัวไป อย่ามารบกวนความสำราญของคุณชายข้าอีก มิฉะนั้นแม้เจ้ามีหัวสักสิบหัวก็มิพอให้ตัด!”เจิ้งหยวนตกใจจนหน้าซีดเผือด ทำได้เพียงมองดูบุตรีของตนถูกหยวนหัวฉุดเข้าไปในโรงเตี๊ยมเขารีบคุกเข่าลงกับพื้น ร้องไห้สะอึกสะอื้นอ้อนวอนว่า “คุณชายหยวน โปรดปล่อยบุตรสาวข้าไปเถิด หากท่านปล่อยนางไป ท่านจะให้ข้าทำกระไรก็ได้ทั้งนั้นขอรับ”“ไสหัวไป!”ผู้คุ้มกันคนนั้นเตะเจิ้งหยวนกระเด็นออกไปหากเขามิปรานี เจิ้งหยวนคงสิ้นลมหายใจไปแล้วเจิ้งหยวนลุกขึ้นจากพื้น รีบวิ่งตรงไปยังทิศทางของพระราชวังอย่างตื่นตระหนก......ภายในท้องพระโรงมู่หรงเซี่ยวเทียนกำลังหารือเรื่องบ้านเมืองกับขุนนางระดับสูงผู้หนึ่งในเวลานั้นเอง ขันทีผู้หนึ่งก็กล่าวรายงานด้วยคว
เมื่อหลิวเฟิงกล่าวจบ ก็หันไปกล่าวกับมู่หรงเซี่ยวเทียนอีกว่า “ฝ่าบาท หากทรงกังวลเรื่องเหล่าองค์หญิง เหตุใดจึงไม่มีรับสั่งให้เหล่าพระนางเก็บตัวอยู่แต่ในวัง เช่นนั้นแล้วย่อมมิเป็นที่ต้องตาคุณชายหยวนแล้วส่วนเรื่องบุตรสาวของใต้เท้าเจิ้ง ทุกสิ่งล้วนเป็นไปตามชะตาลิขิต จะให้เป่ยเยี่ยนทั้งแผ่นดินต้องมารับเคราะห์กรรมจากโทสะของอ๋องเซียงหยางเพียงเพราะคนคนเดียวนั้นย่อมมิสมควร”เจิ้งหยวนโกรธจนแทบกระอักเลือด ตะโกนว่า “หลิวเฟิง เจ้า...”ยังมิทันกล่าวจบ มู่หรงเซี่ยวเทียนก็โบกมือ กล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่นว่า “ขุนนางเจิ้ง สิ่งที่เสนาบดีหลิวกล่าวมาก็ใช่ว่าไร้เหตุผล เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว ปล่อยให้เป็นไปเสียเถิด”“ฝ่าบาท...”“มิต้องพูดมาก หากเลวร้ายที่สุด ข้าจะประหารผู้ที่รู้เห็นเหตุการณ์ทั้งหมดเสีย เช่นนั้นแล้วชื่อเสียงของบุตรสาวเจ้าก็จะมิเสียหาย คุณชายหยวนก็เพียงแค่ต้องการความแปลกใหม่ คงมิได้คิดจะทำร้ายบุตรสาวเจ้า”เจิ้งหยวนถอนหายใจยาวเหยียดด้วยความจนใจแล้วค้อมกายถอยออกไปมู่หรงเซี่ยวเทียนเองอัดอั้นตันใจยิ่งนัก การกระทำเช่นนี้มิใช่ความต้องการของเขา แต่เพื่อเห็นแก่ส่วนรวมแล้ว เขาจึงจำต้องทำเช่นนี้
หลัวชางคารวะแล้วหมุนตัวเดินออกไปทางด้านของกู้เสวี่ยเจี้ยนยามนี้นางได้มาถึงบนท้องถนนแล้วหิมะที่ตกเมื่อคืนยังละลายมิหมด แต่บนถนนยังมีผู้คนสัญจรไปมามิน้อยเมื่อมองไปยังแผงลอยริมทางที่มีของแปลกใหม่ต่าง ๆ นางก็สำรวจดูไปทั่วราวกับเด็กน้อยช่างสงสัยสายตาของผู้คนเดินเท้าที่มองมายังนางนั้นล้วนเต็มไปด้วยความประหลาดใจกู้เสวี่ยเจี้ยนสังเกตเห็นสิ่งนี้ได้อย่างรวดเร็ว คิ้วเรียวขมวดเข้าหากันเล็กน้อย นางจึงถามพ่อค้าคนหนึ่งว่า “ท่านลุง เหตุใดผู้คนเหล่านี้จึงมองข้าด้วยสายตาเช่นนั้น? หรือว่าหน้าข้ามีสิ่งใดติดอยู่หรือ?”พ่อค้าลังเลอยู่ครู่หนึ่งแล้วกล่าวว่า “แม่นาง ท่านมิได้สังเกตหรือว่าบนถนนสายนี้มีเพียงท่านที่เป็นหญิงสาว?”เมื่อได้ยินดังนั้น กู้เสวี่ยเจี้ยนจึงมองไปรอบ ๆ อย่างพินิจพิเคราะห์จากนั้นก็ต้องตกใจเมื่อพบว่าผู้คนที่เดินขวักไขว่บนถนนเส้นนั้น ล้วนเป็นบุรุษและสตรีสูงวัยนางถามด้วยความประหลาดใจว่า “ท่านลุง หรือว่าเป่ยเยี่ยนของพวกท่านมีกฎว่าหญิงสาวห้ามออกนอกบ้าน?”“มิใช่เช่นนั้น แต่หลายวันมานี้ในเมืองมีหญิงถูกฉุดคร่าไปอยู่บ่อยครั้ง ดังนั้นหญิงสาวในเมืองจึงเก็บตัวอยู่แต่ในบ้านกัน แม่นาง ข
“ปล่อยข้า!”กู้เสวี่ยเจี้ยนกรีดร้องเสียงแหลม พยายามดิ้นให้หลุดจากการเกาะกุมแต่ก็ไร้ผล เมื่ออยู่ในเงื้อมมือของโฉวหู่ นางก็มิอาจหมุนเวียนปราณบริสุทธิ์ภายในได้นางตกใจจนหน้าถอดสี ในใจร้อนรนยิ่งนักหยวนหัวยิ้มเยาะแล้วเดินเข้ามา “หึ นางสารเลว เจ้าบังอาจตบข้า รอให้ข้าผู้นี้เบื่อหน่ายเสียก่อน จะจับเจ้าไปขายยังหอคณิกาให้เจ้าต้องอยู่อย่างทรมานทั้งเป็น ฮ่า ๆ ๆ !”กู้เสวี่ยเจี้ยนรู้สึกสิ้นหวังขึ้นมาทันที ยามนี้เรียกได้ว่าเรียกฟ้าฟ้ามิตอบ เรียกดินดินมิขานผู้คนที่มุงดูอยู่รอบข้างมิกล้าเข้าไปยุ่งเกี่ยวหยวนหัวเชิดหน้าขึ้นอย่างยโส “โฉวหู่ ผนึกเส้นปราณของนางเสีย แล้วพาขึ้นไปชั้นบนของโรงเตี๊ยม ตัวข้าจะไปหากระไรรองท้องเสียก่อน แล้วค่อยไปดูแลนางให้ทีหลัง!”“น้อมรับบัญชา!”โฉวหู่ลงมือสกัดจุดเส้นปราณของกู้เสวี่ยเจี้ยนแล้วลากนางไปยังโรงเตี๊ยมที่มิไกลออกไปส่วนหยวนหัวก็ตะโกนไปยังแผงขายของกินข้างทางว่า “มองกระไรกันนักหนา มิอยากตายก็รีบไปย่างน่องไก่มาให้ข้าสองน่อง กินอิ่มแล้วตัวข้ายังมีธุระสำคัญต้องไปทำ!”เถ้าแก่แผงขายของกินได้ยินดังนั้นก็รีบจัดแจงทันทีผู้คนที่เดินผ่านไปมามองดูกู้เสวี่ยเจี้ยนที่ถ
เมื่อเขาเห็นว่าโฉวหู่บาดเจ็บสาหัส นอกเหนือจากความตกใจแล้วในใจก็เต็มไปด้วยความโกรธแค้นกู้เสวี่ยเจี้ยนกล่าวเสียงเบาว่า “คนผู้นี้มีนามว่าหยวนหัว เป็นบุตรชายของอ๋องเซียงหยางแห่งแคว้นฉี มีนิสัยจองหอง ช่วงหลายวันมานี้ ในเมืองหลวงเป่ยเยี่ยนมีสตรีมากมายถูกเขาย่ำยี แม้แต่บุตรีของขุนนางเป่ยเยี่ยนก็ยังมิรอดพ้น”ฉินซูขมวดคิ้วเล็กน้อย มองสำรวจหยวนหัวแล้วกล่าวอย่างสนใจว่า “กล้าแสดงความโอหังเช่นนี้ใต้ฝ่าพระบาทจักรพรรดิแห่งเป่ยเยี่ยน ดูเหมือนเจ้าจะมั่นใจในอำนาจของตนมากสิท่า หรือว่ามู่หรงเซี่ยวเทียนเองก็ตามใจเจ้าด้วย?”“หึ เรื่องของข้า จักรพรรดิแคว้นเล็ก ๆ อย่างเขามิบังอาจเข้ามายุ่งเกี่ยว เจ้ากลับทำร้ายผู้คุ้มกันของข้า รีบคุกเข่าโขกหัวคำนับแล้วหักแขนทั้งสองข้างของเจ้าเสีย หากข้าอารมณ์ดี บางทีอาจจะไว้ชีวิตชั้นต่ำของเจ้าก็ได้!”หยวนหัวจ้องมองฉินซูอย่างหยิ่งยโสฉินซูกลับยิ้มโดยมิกล่าวสิ่งใด และมองหยวนหัวราวกับมองคนโง่สีหน้าของหยวนหัวพลันมืดครึ้มลง ตวาดถามว่า “เจ้ามองหาปะไร?”“มองคนโง่น่ะสิ!”“เจ้า!!” หยวนหัวกัดฟันกรอดด้วยโทสะ หากมิใช่ว่าสู้มิได้ ป่านนี้เขาคงลงมือสั่งสอนฉินซูไปแล้วในเวลานั้นเอง
ฉินซูกล่าวพึมพำ "อันดับแรก ข้าคือบุตรแห่งนักปราชญ์คนใหม่ของหอดารารักษ์ของพวกท่านอยู่แล้ว อีกอย่างมีพวกท่านเป่ยเยี่ยนคอยรับมือเป็นด่านหน้า แม้ว่าอ๋องเซียงหยางหมายจะระรานต้าเหยียน ก็ต้องผ่านด่านพวกท่านไปก่อนมิใช่หรือ?"แม้ปากจะพูดเช่นนั้น แต่ในใจก็ยังรู้สึกหวั่น ๆ อยู่มิใช่น้อยเพราะเขาเองก็มิแน่ใจว่า อ๋องเซียงหยางจะใช้อำนาจของตนเองกดดันต้าเหยียนในเรื่องอื่นหรือไม่ซ่างกวนอวิ๋นซีพูดอย่างมิค่อยสบอารมณ์นัก "เจ้าพล่ามกระไรนักหนา ตกลงคิดหาวิธีได้หรือยัง?""คิดได้แล้ว" ฉินซูพูดด้วยท่าทีจริงจัง"รีบว่ามา!""ก่อนอื่นตอนนี้ต้องปิดข่าวเรื่องการตายของหยวนหัวไปก่อน แล้วค่อยดูสถานการณ์กันต่อไป!"ซ่างกวนอวิ๋นซีขมวดคิ้ว "นี่คือวิธีที่เจ้าคิดได้หรือ?"ฉินซูพยักหน้าด้วยสีหน้าจริงจัง"ดูเหมือนเจ้าจะคิดว่า คำพูดของข้าก่อนหน้านี้แค่ขู่เจ้าเท่านั้นสินะ"เมื่อสิ้นเสียงพูด กระบองหนามแหลมก็ปรากฏขึ้นในมือของนางแล้ว!ฉินซูรีบถอยร่นไปหลายก้าว "ใจเย็นก่อน ข้ามิได้หลอกท่าน ข้าจริงจังนะ"ซ่างกวนอวิ๋นซีโบกกระบองหนามในมือ พูดด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย "เรื่องที่จะหักขาสกปรกของเจ้า เรื่องนั้นข้าก็พูดจริงเช่นกัน!"
ฉินซูจึงได้กระจ่างในทันที แล้วถามด้วยความสงสัยอีกว่า “แล้วท่านเล่าอยู่ในระดับใด?”“ข้ามิเหมือนจอมยุทธ์! ยิ่งกว่านั้น ข้าอยู่ในระดับใดนั้นมิได้เกี่ยวข้องกับวิธีการที่เจ้าจะใช้รับมือกับอ๋องเซียงหยาง”“จะมิเกี่ยวข้องได้อย่างไร หากพลังของท่านแข็งแกร่งกว่าอ๋องเซียงหยางผู้นั้น ท่านก็มิจำเป็นต้องเสียแรงคิดหาวิธีรับมือแล้ว ท่านแค่ลงมือสังหารเขาเสียก็สิ้นเรื่องแล้ว”ซ่างกวนอวิ๋นซีส่ายหน้า “แค่ระดับเหนือมนุษย์ ข้ามิได้เห็นอยู่ในสายตา ทว่าเจ้าคิดกระไรตื้น ๆ ในฐานะอ๋องแห่งแคว้นฉีผู้กุมอำนาจทางการทหารและการปกครอง มีหรือที่จะไม่มีกลุ่มอำนาจแข็งแกร่งคอยหนุนหลัง”ฉินซูถามด้วยความประหลาดใจว่า “หมายความว่ากลุ่มอำนาจเบื้องหลังอ๋องเซียงหยางมีผู้ที่แข็งแกร่งกว่าท่านหรือ?”แม้ซ่างกวนอวิ๋นซีจะมิอยากยอมรับ แต่สิ่งที่ฉินซูคาดเดานั้นเป็นความจริงดังนั้นนางจึงทำได้เพียงพยักหน้าเล็กน้อยเมื่อเห็นดังนั้น สีหน้าของฉินซูก็พลันเคร่งขรึมขึ้นผู้ที่แข็งแกร่งกว่าซ่างกวนอวิ๋นซี เกรงว่าคงมีเพียงหัวหน้าโหรหลวงเท่านั้นที่สามารถรับมือได้ในตอนนี้เอง ซ่างกวนอวิ๋นซีก็กล่าวขึ้นอีกว่า “อีกอย่างยังมิต้องกล่าวถึงว่าอำนาจเ
มู่หรงเซี่ยวเทียนต้องการพบฉินซู!ซ่างกวนอวิ๋นซีกลับกล่าวอย่างอ้อมค้อมว่า “บุตรแห่งนักปราชญ์เพิ่งมาถึงหอดารารักษ์ เดินทางมาเหน็ดเหนื่อย บัดนี้หลับใหลไปแล้ว วันพรุ่ง วันพรุ่งหม่อมฉันจะพาเขาเข้าวังไปเข้าเฝ้าฝ่าบาทด้วยตนเอง!”เมื่อได้ยินคำกล่าวนี้ มู่หรงเซี่ยวเทียนก็โกรธขึ้งในทันทีข้ารออยู่ที่นี่ตั้งนานสองนาน บัดนี้เจ้ากลับให้ข้ารอถึงวันพรุ่งอีกรึ?แม้ในใจจะเดือดพล่านเพียงใด แต่ด้วยฐานะของซ่างกวนอวิ๋นซี เขาจึงทำกระไรมิได้ดังนั้นเขาจึงกล่าวเสียงเรียบว่า “ถ้าเช่นนั้น วันพรุ่งข้าจะคอยท่านเซียนมาเยือน!”พูดจบก็ลุกขึ้นยืนเมื่อมู่หรงเซี่ยวเทียนเดินมาถึงประตูก็หยุดฝีเท้าลงกะทันหัน และหันกลับไปพูดด้วยน้ำเสียงแฝงความนัยว่า “ท่านเซียนซ่างกวน ข้ายังอยากเตือนท่านอีกสักครั้ง อ๋องเซียงหยางกุมอำนาจทางการทหารและการปกครอง อีกทั้งวรยุทธ์ยังลึกล้ำเกินหยั่งถึง การยั่วยุคนเช่นนี้ มิใช่สิ่งที่ปราชญ์พึงกระทำ!”พูดจบก็สะบัดแขนเสื้อจากไปด้วยความขุ่นเคืองซ่างกวนอวิ๋นซีขมวดคิ้วเรียวสวย รู้สึกจนปัญญาอยู่เล็กน้อยที่ฉินซูลงมือกับหยวนหัวถึงตายนั้นเป็นสิ่งที่นางคาดมิถึงแต่เมื่อเรื่องมาถึงขั้นนี้นางก็ทำได้
ฉินซูเหลือบมองเขาผาดหนึ่งแล้วจูงมือกู้เสวี่ยเจี้ยนขึ้นไปยังชั้นบนด้วยกันหานฉีกลอกตาไปมา สุดท้ายก็แค่นเสียงอย่างดูแคลนออกมาห้องโถงชั้นบนฉินซูเลิกคิ้วถามว่า “ซ่างกวนอวิ๋นซี บัดนี้ข้าก็มาถึงแล้ว เจ้ากักตัวเสวี่ยเจี้ยนไว้ก็หาได้มีประโยชน์ไม่ ปล่อยนางกลับต้าเหยียนไปเถิด”“จะไม่มีประโยชน์ได้อย่างไร? หากนางอยู่และเกิดเรื่องอันใดขึ้นกับหอดารารักษ์ของข้า เหลยเจิ้นย่อมมิอาจอยู่เฉยได้!”“ดูท่านพูดจาเข้าสิ หอดารารักษ์ของท่านเป็นดินแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งเป่ยเยี่ยน ใครเลยจะกล้ามาหาเรื่องพวกท่านเล่า?”ซ่างกวนอวิ๋นซีจ้องมองฉินซูด้วยสายตาเย็นชา “เจ้าคนสารเลว เจ้าสังหารบุตรชายของอ๋องเซียงหยาง มิหนำซ้ำยังกล่าวต่อหน้าธารกำนัลว่าเจ้าคือบุตรแห่งนักปราชญ์คนใหม่ของหอดารารักษ์ โยนความผิดทั้งหมดมาให้หอดารารักษ์ของข้าแล้วยังคิดจะให้พวกข้ารับมือกับความโกรธเกรี้ยวของอ๋องเซียงหยางแต่เพียงผู้เดียวหรือ?”ฉินซูกางมือออก “ข้ากล่าวความจริงมิใช่หรือ แล้วที่ท่านขู่เข็ญให้ข้ามา ก็เพราะอยากให้ข้าเป็นบุตรแห่งนักปราชญ์คนใหม่ของพวกท่านมิใช่หรือไร?”“ถึงจะเป็นเช่นนั้น เจ้าก็มิอาจอวดดีเช่นนี้ เจ้ารู้หรือไม่ว่าเจ้าก่อเรื่อ
ภายในท้องพระโรงแห่งพระราชวังเป่ยเยี่ยนหลังจากฟังรายงานของแม่ทัพกองกำลังรักษาเมืองแล้ว มู่หรงเซี่ยวเทียนที่นั่งอยู่บนบัลลังก์มังกรก็ลุกขึ้นพรวด“เจ้าว่าอย่างไรนะ? คุณชายหยวน… ตายแล้วรึ?!”“พ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท เขาถูกคนผู้นั้นบิดคอตายคาที่พ่ะย่ะค่ะ!”เหล่าขุนนางที่อยู่ข้าง ๆ ต่างก็มีสีหน้าตื่นตระหนกในทันใด!“เกิดเรื่องแล้ว คราวนี้เกิดเรื่องใหญ่หลวงแล้ว คุณชายหยวนตาย อ๋องเซียงหยางไม่มีปล่อยผ่านเป็นแน่!”“ฝ่าบาท สิ่งที่สำคัญที่สุดในยามนี้คือรีบจับตัวคนร้ายแล้วส่งตัวให้อ๋องเซียงหยางแห่งแคว้นฉีจัดการพ่ะย่ะค่ะ!”“ใช่แล้ว ๆ มีเพียงวิธีนี้เท่านั้นที่จะทำให้ราชสำนักเป่ยเยี่ยนของเราพ้นจากเรื่องนี้ได้”ทุกคนกล่าวขึ้นพร้อมเพรียงมู่หรงเซี่ยวเทียนซักถามแม่ทัพผู้นั้นต่อ “ผู้ที่ลงมือคือผู้ใดกันแน่? จับตัวเขาได้หรือไม่?”“ฝ่าบาท คนผู้นั้นมีวรยุทธ์แข็งแกร่งยิ่งนัก ตบผู้คุ้มกันคนสนิทของคุณชายหยวนจนกลายเป็นหมอกเลือดด้วยฝ่ามือเดียว พวกข้าน้อยหาได้มีความสามารถพอที่จะจับกุมเขาได้ไม่ เพียงแต่คนผู้นั้นกล่าวในยามนั้นว่า เขาคือบุตรแห่งนักปราชญ์คนใหม่แห่งหอดารารักษ์...”“บุตรแห่งนักปราชญ์คนใหม่?!”เมื่อได
ซ่างกวนอวิ๋นซีเอื้อมมือไปคว้าคอเสื้อของเขาแล้วยกตัวเขาขึ้น!ฉินซูรีบร้องว่า “เดี๋ยว ๆ ท่านทำกระไร ท่านเป็นสตรี ช่วยสุภาพกว่านี้หน่อยได้หรือไม่ ข้าก็แค่...”เขายังมิทันกล่าวจบ ซ่างกวนอวิ๋นซีก็เหวี่ยงเขากระเด็นออกไปอย่างแรง ร่างของเขากระแทกเข้ากับหินก้อนใหญ่ข้างทางราวกับลูกปืนใหญ่โครม!เสียงดังสนั่น หินก้อนนั้นก็แตกกระจายเป็นเสี่ยง ๆ ในทันทีส่วนฉินซูนั้นราวกับกระดูกหักทั้งตัว นอนแผ่อยู่บนพื้นด้วยสีหน้าเจ็บปวดสุดขีด พยายามจะลุกแต่ก็ลุกมิขึ้น“องค์รัชทายาท!”กู้เสวี่ยเจี้ยนตกใจจนอกสั่นขวัญแขวน รีบเข้าไปประคองฉินซูโบกมือแล้วกล่าวว่า “อย่า อย่าขยับตัวข้า เอวข้าเหมือนจะหัก”กู้เสวี่ยเจี้ยนร้อนใจจนแทบจะร้องไห้!นางหันไปตำหนิซ่างกวนอวิ๋นซีว่า “พวกเราจะกลับไปกับท่านอยู่แล้ว เหตุใดท่านต้องลงมือรุนแรงถึงเพียงนี้ ท่านมันโหดเหี้ยมทารุณ!”“เขาสามารถตบยอดฝีมือระดับสวรรค์ให้กลายเป็นหมอกเลือดได้ด้วยฝ่ามือเดียว แค่กระทบกระเทือนครั้งเดียว เจ้าเชื่อจริง ๆ หรือว่าเอวเขาจะหัก?”“หา? มิหักหรอกหรือ?” กู้เสวี่ยเจี้ยนงุนงงเล็กน้อยซ่างกวนอวิ๋นซีจ้องมองฉินซูด้วยสายตาเย็นชา “ข้าจะนับถึงสาม หากเจ้ามิ
จากนั้น ฉินซูก็พากู้เสวี่ยเจี้ยนควบม้าเร็วลงใต้มุ่งตรงไปยังทิศทางของต้าเหยียนมินานนัก ร่างอรชรก็ปรากฏตัวขึ้นที่นอกประตูเมืองหลวงจินหลิงทิศใต้อย่างเงียบเชียบนางสวมอาภรณ์บางเบา มีเพียงกระโปรงยาวสีม่วงตัวเดียว!ดูโดดเด่นเป็นพิเศษท่ามกลางสายลมเหมันต์ที่พัดโชยมานอกเมืองคนผู้นั้นคือเจ้าสำนักหอดารารักษ์ ซ่างกวนอวิ๋นซี!นางมองไปยังถนนหลวงอันไกลโพ้น กำลังจะออกตัวตามไปในเวลานั้นเองกลับได้ยินเสียงสนทนาของพ่อค้าสองสามคนที่อยู่ใกล้ ๆ โดยบังเอิญ“นี่ ๆ เจ้าหนุ่มเมื่อครู่นี้ ดูท่าทางเหมือนมาจากต้าเหยียนนา”“เหมือนกระไรกันเล่า? ฟังจากสำเนียงก็รู้ว่าเป็นคนต้าเหยียน!”“ว่าแต่เขาพาสาวงามราวบุปผาผู้นั้นหนีไปไหนกันนะ หรือว่ากำลังหลบหนีศัตรู?”“อาจจะเป็นเช่นนั้น แต่พวกเขาก็ฉลาดพอตัว ที่มิหนีไปตามถนนหลวง แต่กลับไปตามทางเล็ก ๆ หญ้ารกครึ้มทางนั้น สองข้างทางก็มีแต่พุ่มไม้ ศัตรูของพวกเขาคงหาตัวได้ยาก!”เมื่อได้ยินคำพูดดังนี้ ซ่างกวนอวิ๋นซีก็เผยรอยยิ้มเย็นเยียบแล้วมุ่งหน้าไปยังทางเล็ก ๆ ข้างทางหลังจากนางจากไปมินาน พ่อค้าเหล่านั้นก็ดื่มน้ำแล้วกล่าวอีกครั้ง“นี่ ๆ เจ้าหนุ่มเมื่อครู่นี้ ดูท่าทางเหมื
"ว่ากระไรนะ?!?"สีหน้าของซ่างกวนอวิ๋นซีบิดเบี้ยวในทันใด!นางกัดฟันพูดว่า "เจ้าคนสารเลวนี่ ข้าว่าแล้วเชียว คิดว่ามีดีกระไรถึงได้กล้าฆ่าบุตรชายของอ๋องเซียงหยางแห่งแคว้นใหญ่ มิหนำซ้ำยังกล้าท้าทายองค์จักรพรรดิอย่างเปิดเผย ที่แท้ก็ปัดสวะมาให้หอดารารักษ์ของเรา มันน่ารังเกียจยิ่งนัก!""ท่านเจ้าสำนัก แย่แล้ว องค์รัชทายาทผู้รอวันปลดกับกู้เสวี่ยเจี้ยนออกจากเมืองไปแล้ว เกรงว่าจะหนีกลับต้าเหยียนไปแล้วขอรับ"ศิษย์คนหนึ่งของหอดารารักษ์รีบร้อนเข้ามาแจ้งข่าวสีหน้าของหานฉีและหลัวชางพลันมืดครึ้มลง"ท่านเจ้าสำนัก จะปล่อยเขาไปเช่นนี้มิได้นะขอรับ!""ใช่แล้ว พวกเราจะตามล้างตามเช็ดเรื่องวุ่นวายที่เขาก่อไว้มิได้นะขอรับ"หากมิใช่เพราะสู้มิไหว พวกเขาสองคนคงออกไปตามฉินซูนานแล้วซ่างกวนอวิ๋นซีส่งเสียงหึ "หึ สร้างความเดือดร้อนให้หอดารารักษ์ของข้าถึงขั้นนี้แล้วคิดจะสะบัดก้นหนีไปง่าย ๆ อย่างนั้นรึ? ฝันไปเถอะ!"ทันทีที่สิ้นเสียง นางก็หายตัวไปจากตรงนั้นหานฉีและหลัวชางต่างก็ชินเรื่องเช่นนี้เสียแล้วด้านนอกประตูทางทิศใต้ของเมืองหลวงจินหลิง ฉินซูและกู้เสวี่ยเจี้ยนขี่ม้าห้อตะบึงไปตลอดทางมินานนัก พวกเขาก็มาถ
ฉินซูไพล่สองมือไว้ด้านหลังพร้อมกล่าวอย่างองอาจว่า “ข้าคือบุตรแห่งนักปราชญ์คนใหม่แห่งหอดารารักษ์! จากนี้ไป หากพวกเจ้าได้รับความอยุติธรรมใด ๆ ที่ราชสำนักมิกล้าจัดการ ก็มายังหอดารารักษ์ได้ หอดารารักษ์จะจัดการให้พวกเจ้าเอง!”ผู้คนจึงได้ตระหนักในทันที!“อ้า! ที่แท้ก็คือบุตรแห่งนักปราชญ์คนใหม่แห่งหอดารารักษ์ มิน่าเล่าถึงได้องอาจเพียงนี้!”“คิดดูแล้วก็จริง ท่านเจ้าสำนักหอดารารักษ์มีฐานะสูงส่ง แม้แต่องค์จักรพรรดิก็ยังมิกล้าแสดงท่าทีต่อหน้า ดังนั้นผู้ที่กล้าจัดการเรื่องนี้ได้ก็มีเพียงหอดารารักษ์เท่านั้น”“หอดารารักษ์ช่างเกรียงไกร ลงมือสังหารเจ้าหยวนหัว เจ้าคนสารเลวที่สมควรตายสักพันครั้ง นับว่าขจัดภัยให้แก่ราษฎรแล้ว”มีผู้หนึ่งกล่าวด้วยความกังวลใจว่า “แต่… หยวนหัวเป็นบุตรชายของอ๋องเซียงหยางแห่งแคว้นใหญ่ บัดนี้เขาตายในเมืองหลวงเป่ยเยี่ยนของเรา อ๋องเซียงหยางคงมิยอมปล่อยผ่านเป็นแน่!”“ใช่แล้ว หากถึงเวลานั้นเขานำทัพใหญ่มาประชิดเมือง คนที่ซวยจะมิใช่พวกชาวบ้านตาดำ ๆ อย่างพวกเราหรอกหรือ?”“เฮ้อ ครานี้หอดารารักษ์มุทะลุเสียจริง”“นั่นสิ ลงโทษเพียงเล็กน้อยก็พอแล้ว เหตุใดจึงต้องลงมือถึงตายด้วยเล่า”