ฉินซูหรี่ตาลงเล็กน้อย มองหญิงสาวที่ปรากฏตัวกะทันหันผู้นั้น“ข้าจำได้ เจ้ามีนามว่าเสี่ยวชิงใช่หรือไม่?”“ถูกต้องเจ้าค่ะ ท่านบุตรแห่งนักปราชญ์โปรดอภัย ท่านเจ้าสำนักมีคำสั่ง จึงหวังว่าท่านบุตรแห่งนักปราชญ์จะเมตตาไว้ชีวิต” เสี่ยวชิงประสานมือกล่าวฉินซูอุทานด้วยความประหลาดใจ “มิคาดคิดเลยว่า นางรับใช้ข้างกายซ่างกวนอวิ๋นซีจะมีวรยุทธ์แก่กล้าถึงเพียงนี้ ดูท่าแต่ก่อนข้าคงประมาทหอดารารักษ์ไปหน่อย”เสี่ยวชิงค้อมกายทำความเคารพ “ข้าน้อยมิได้ตั้งใจล่วงเกิน หวังว่าท่านบุตรแห่งนักปราชญ์จะ...”ฉินซูโบกมือขัดคำพูดนาง “เจ้าเพียงแต่ทำตามคำสั่ง ข้าจะตำหนิเจ้าได้อย่างไร แต่คนทั้งสองนี้ ข้าจำเป็นต้องทำลายพวกเขา!”ได้ยินคำกล่าวนี้ หลีฉงและสวี่ชิงเฉวียนก็พลันโอดครวญด้วยความเจ็บปวดหากรู้ว่าฉินซูมีวรยุทธ์ล้ำสวรรค์ถึงเพียงนี้ ต่อให้เย่เทียนหนิงพูดจนลิ้นด้าน พวกเขาก็ย่อมไม่มีทางกระโจนลงไปในวังวนนี้เป็นอันขาดขณะที่พวกเขากำลังมิรู้ว่าจะทำกระไรดี เสี่ยวชิงก็กล่าวขึ้นอีกครั้ง“ท่านบุตรแห่งนักปราชญ์ ท่านผู้เฒ่าเจ้าหุบเขาหลีมีคุณธรรมสูงส่งและเป็นที่เคารพนับถือ ส่วนเจ้าสำนักสวี่ก็มีชื่อเสียงด้านคุณธรรมเลื่องลือ
“ใช่แล้ว เขาคิดว่าตนเองเป็นบุตรแห่งนักปราชญ์แห่งหอดารารักษ์แล้วพวกท่านผู้เฒ่าเจ้าหุบเขาจะยั้งมืออย่างนั้นหรือ?”“น่าขัน หยิ่งผยองถึงเพียงนี้ แม้จะถูกกระทืบจนพิการ ท่านเจ้าสำนักหอดารารักษ์ก็ไม่มีทางตำหนิพวกท่านหลีหรอกน่า”“องค์รัชทายาทผู้รอวันปลดผู้นี้ วันนี้คงได้สิ้นฤทธิ์กันคราวนี้แล!”“เช่นนั้นก็ยิ่งสะใจมิใช่หรือ ฮ่าฮ่าฮ่า!”ฝูงชนกล่าวพลางหัวเราะเยาะซุนจิ้งส่งเสียงหึ “หึ อย่างเจ้าคู่ควรให้พวกเราสามคนลงมือพร้อมกันด้วยรึ? ข้าเพียงคนเดียวก็ต่อยเจ้าฟันร่วงกระจายเต็มพื้นแล้ว รับหมัดไป!”เขาตวาดเสียงดุดัน กำหมัดคู่พุ่งเข้าใส่ฉินซูทันใดนั้นเอง ปราณบริสุทธิ์ทั่วร่างของเขาก็พลันพลุ่งพล่าน ปราณอันทรงพลังของจอมยุทธ์ระดับสวรรค์ถูกปลดปล่อยออกมาอย่างไม่มีหมกเม็ดกำปั้นทั้งคู่ของเขาแข็งแกร่งดุจเหล็กกล้าจากปราณบริสุทธิ์ พายุหมัดยังก่อให้เกิดคลื่นเสียงในอากาศเป็นระลอก!“ประมุขซุน กระบวนหมัดยอดเยี่ยม!!” ผู้คนในฝูงชนส่งเสียงโห่ร้อง!เมื่อเผชิญหน้ากับซุนจิ้งที่พุ่งเข้ามาอย่างดุดัน ฉินซูก็ทำสีหน้าเย้ยหยัน แล้วส่ายหน้าเล็กน้อยเขาคิดมิเข้าใจจริง ๆ ว่า วรยุทธ์เพียงเท่านี้ เอาความกล้าจากที่ใดมาท
ซ่างกวนอวิ๋นซีนั่งตัวตรง จ้องมองฉินซูด้วยสายตาเย็นชา!ส่วนฉินซูก็มิยอมอ่อนข้อ จ้องตอบกลับไปบรรยากาศในห้องมาคุขึ้นฉับพลัน ประหนึ่งพร้อมชักดาบ ชักธนูขึ้นประหัตประหารกันทันใดนั้น ซ่างกวนอวิ๋นซีก็เอนกายลงบนเก้าอี้ยาว กล่าวอย่างมิแยแสว่า “ได้ ยกเว้นให้เจ้าเรื่องหนึ่ง พอใจหรือยัง?”ฉินซูขมวดคิ้ว รู้สึกประหลาดใจกับการเปลี่ยนท่าทีกะทันหันของซ่างกวนอวิ๋นซีแต่ในเมื่ออีกฝ่ายยอมผ่อนปรน เขาก็วางใจ!“ได้ เช่นนั้นก็ไม่มีธุระอันใดแล้ว ข้าขอตัว!”ฉินซูกล่าวจบก็หันหลังเดินจากไปเมื่อถึงหน้าประตู เสียงของซ่างกวนอวิ๋นซีก็ดังขึ้นอีกครั้ง “อย่าถึงขั้นเอาชีวิต!”ฉินซูชะงักไปอีกครั้ง แต่เมื่อก้มมองสาส์นท้าประลองที่เพิ่งได้รับมาในมือ เขาก็เข้าใจในทันทีดังนั้นจึงกล่าวโดยมิหันหลังกลับ “คนอื่นมิล่วงเกินข้า ข้าก็มิล่วงเกินใคร หากใครล่วงเกินข้า ข้าจะสังหารให้สิ้น!”ได้ยินดังนั้น ซ่างกวนอวิ๋นซีก็ขมวดคิ้วเรียวเล็กน้อย จากนั้นก็สั่งกำชับนางรับใช้ที่หน้าประตู “ไป! ไปช่วยคนพวกนั้นด้วย”“น้อมรับบัญชา!”นางรับใช้ค้อมกายทำความเคารพ ร่างไหววูบหายลับไปจากหน้าประตู......ฉินซูออกจากหอดารารักษ์ มุ่งหน้าตรงไ
พิธีแต่งตั้งบุตรแห่งนักปราชญ์ครั้งนี้ ต้องคุกเข่าสักการะฟ้าดินมิได้มีปัญหากระไร แต่ถึงกับต้องคุกเข่าคารวะองค์จักรพรรดิแห่งเป่ยเยี่ยนและเจ้าสำนักหอดารารักษ์ เขารับมิได้จริง ๆ“มิได้ ต้องไปพูดกับยายเฒ่าบ้านั่นให้รู้เรื่องเสียก่อน จะให้ข้าคุกเข่าต่อจักรพรรดิแห่งเป่ยเยี่ยน ต้าเหยียนของข้าจะมิเสียหน้าหรือไร?”เขาพึมพำจบ ก็ตั้งใจจะขึ้นไปหาซ่างกวนอวิ๋นซีที่ชั้นบนทันใดนั้นเอง บ่าวรับใช้ผู้หนึ่งเดินเข้ามา ค้อมกายทำความเคารพ “เรียนท่านบุตรแห่งนักปราชญ์!”ฉินซูโบกมือแล้วเอ่ยถาม “มีอันใด?”“มีชาวยุทธภพรมาที่ด้านนอกขอรับ เขาให้บ่าวนำจดหมายฉบับนี้ส่งให้ท่าน”เขากล่าวพลางยื่นจดหมายในมือให้“จดหมายหรือ?”ฉินซูเปิดดูด้วยความสงสัยเล็กน้อยอ่านจบ เขาก็ขมวดคิ้วในทันที เหลือบมองไปที่ประตู “คนส่งจดหมายเล่า?”“ไปแล้วขอรับ”“ได้ เจ้าไปทำธุระของเจ้าเถิด”ฉินซูกล่าวจบ ก็ขึ้นไปหาซ่างกวนอวิ๋นซีเมื่อมาถึงชั้นเจ็ด เขาก็พบว่าซ่างกวนอวิ๋นซีกำลังเอนกายพักผ่อนอย่างเกียจคร้านบนเก้าอี้ตัวยาวชุดกระโปรงยาวสีแดงบางเบานั้น ขับเน้นรูปร่างอรชรส่วนโค้งเว้าได้รูปของนางออกมาเด่นชัดใต้ลำคอขาวผ่อง กระดูกไหปลาร้าท
เย่เทียนหนิงกล่าวความจริงปนเท็จว่า “ช่วงนี้ท่านเจ้าสำนักเอาแต่กักตนบำเพ็ญเพียร และยังมีกิจการร้อยพันให้จัดการในแต่ละวัน จะเอาเวลาที่ไหนมาสั่งสอนเขาเล่า พวกเราเห็นแล้วก็อดรนทนมิได้ เพียงแต่วรยุทธ์มิถึงขั้น ซ้ำยังโดนเขาดูถูกกลับมาอีกขอรับ!”เซี่ยจื่อผิงรีบเข้าเรื่องทันที “ท่านทั้งหลายล้วนแล้วแต่เป็นยอดฝีมือที่นับนิ้วได้แห่งเป่ยเยี่ยนของเรา อย่างไรเล่า จะมิลงมือสั่งสอนฉินซูผู้นี้หน่อยหรือขอรับ?”ชายชราชุดเทาผู้นั้นกล่าวโดยมิยั้งคิด “เด็กนั่นอวดดีจองหองถึงเพียงนี้ อย่างไรก็ต้องสั่งสอนให้เข็ดหลาบ มิเช่นนั้นเขาจะนึกว่าชาวยุทธภพเป่ยเยี่ยนของเรามีแต่คนขี้ขลาด!”ชายชุดขาวอีกคนก็กล่าวบ้าง “ในเมื่อท่านผู้เฒ่าเจ้าหุบเขาหลีกล่าวเช่นนั้น ซุนจิ้งผู้นี้จะอยู่เฉยได้อย่างไร นับข้าด้วยอีกคน!”ชายวัยกลางคนหนวดเคราเฟิ้มผู้นั้นดูสุขุมกว่ามากเขาย่นคิ้วเล็กน้อยพลางถามว่า “ท่านจอมยุทธ์ทั้งสอง แม้พวกท่านจะมิอาจเอาชนะฉินซูได้ แล้วเหล่าผู้อาวุโสในหอดารารักษ์ของพวกท่านเล่า? เหตุใดพวกเขาจึงมิลงมือสั่งสอนบ้าง?”เย่เทียนหนิงทำทีทอดถอนใจอย่างจนใจ “ท่านเจ้าสำนักสวี่มิทราบกระไร ฉินซูเป็นถึงบุตรแห่งนักปราชญ์คนใหม่
ครู่ต่อมาก็มีเสียงโครมดังขึ้น ฉินซูร่วงลงมาจากชั้นเจ็ดกระแทกลานจนเกิดเป็นหลุมยุบ!“ว้าย ตาเถรหกตกใต้ถุน!”หวังจื่อโหรวซึ่งกำลังเดินผ่านมาพอดี ตกใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกะทันหันนี้ นางลูบหน้าอกป้อย ๆ ด้วยความตกใจฉินซูรู้สึกราวกับร่างกายกำลังจะแตกเป็นเสี่ยง ๆ ตะโกนเรียกหวังจื่อโหรว “นั่นใคร ช่วยดึงข้าขึ้นไปได้หรือไม่?”หวังจื่อโหรวลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แต่ก็ยังยื่นมือหยกอ่อนนุ่มดุจต้นหอมให้กับฉินซู แล้วดึงเขาขึ้นมาจากหลุม“แค่ก ๆ ขอบคุณ” ฉินซูสูดหายใจลึก ๆ สองสามครั้ง จึงค่อยฟื้นคืนกำลัง“มิเป็นกระไร ว่าแต่… เจ้าตกลงมาได้อย่างไร?”“ถูกยายเฒ่าบ้าผู้นั้นโยนลงมาอย่างไรเล่า จื่อโหรว เจ้าเป็นคนดี อย่าได้เลียนแบบความรุนแรงของคนบางคนเชียว!”เพียงสิ้นคำฉินซู เสียงเย็นชาของซ่างกวนอวิ๋นซีก็ลอยลงมาจากเบื้องบน“หากเจ้ายังเจ็บตัวมิพอ ข้าจะสนองให้เจ้าอีกครา!”ฉินซูเงยหน้ามองไปยังชั้นเจ็ด กล่าวอย่างคับแค้นใจ “ดี! ท่านลองลงมืออีกทีสิ ข้าจะคอยดูว่าพิธีใหญ่ของท่านในอีกสามวันข้างหน้าจะเป็นอย่างไร!”ชั้นบนพลันเงียบสงัดเห็นดังนั้น หวังจื่อโหรวก็มองฉินซูด้วยความเลื่อมใส กล่าวกระซิบกระซาบว่า “เจ้าน