ฤดูใบไม้ผลิกลับมาเยือนอีกครายามบ่ายมีแสงแดดอ่อนส่องละมุนไปทั่วบริเวณ สายลมอุ่นโชยพัดแผ่วเบาราวกับกำลังลบเลือนความขมขื่นในใจให้จางหายไป พร้อมกับกลีบดอกเหมยที่ร่วงหล่นอย่างเงียบงันเว่ยอี้จิบชาหอมกรุ่นจากเหม่ยฮวาในลานกลางจวน ใบหน้าหล่อเหลาสงบนิ่ง หากแต่แฝงไว้ด้วยความรู้สึกอบอุ่นอย่างยากจะบรรยายชีวิตในยามนี้…ช่างดีไม่น้อย นับตั้งแต่มีภรรยาเคียงข้าง“เหอะ!”ซ่งเหวินเห็นท่าทีของสหายแล้วก็อดแค่นเสียงเย้ยหยันไม่ได้ เขาหันไปมองเซินลี่ฮวาด้วยแววตาล้อเลียนพลางกล่าวถามสงสัยอย่างแสร้งสงสัย“ฮูหยินให้กินสิ่งใดเข้าไปหรือ...ไฉนเว่ยอี้ถึงกลายเป็นเช่นนี้ไปได้”เซินลี่ฮวาได้ยินแล้วพลันหัวเราะเบาๆ ดวงตาคู่งามที่เคยหม่นหมองมานานบัดนี้กลับเปล่งประกายอ่อนโยน ราวกับสามารถวางปล่อยความหลังได้เสียทีใบหน้าของนางระบายยิ้มบางอย่างอ่อนโยน“อาเว่ย…เป็นสามีที่ดีเจ้าค่ะ”เพียงถ้อยคำสั้นๆ เรียบง่าย กลับฟังแล้วตรึงใจซ่งเหวินมีสีหน้าเคร่งเครียดขึ้นเล็กน้อย รู้สึกราวกับว่ากลายเป็นตัวขัดจังหวะเวลาพลอดรักของคนสองคน เขาบ่นพึมพำราวกับตัดพ้อ “เหอะ! เกรงว่าข้าคงต้องรีบกลับจวนแล้วกระมัง”เว่ยอี้ยกคิ้วขึ้นอย่างยียวน กล่าวด้วย
ท่ามกลางแสงจันทร์อ่อนในค่ำคืนปลายเหมันต์ ลมหนาวพัดเอื่อยเฉื่อยพลันรู้สึกเย็นเฉียบจนบาดผิว กิ่งไม้เปลือยใบพลิ้วไหว คล้ายกำลังกระซิบกับท้องฟ้ายามราตรีเซินลี่ฮวานั่งเหยียดหลังตรงอยู่ภายในเรือนเงียบ นางรอคอยอย่างใจเย็น...พิธีการเหล่านี้นางเคยผ่านมาหมดแล้วทว่าความรู้สึกในครั้งนี้กลับแตกต่างออกไปโดยสิ้นเชิงในครานั้น นางแต่งเพราะไม่อาจปฏิเสธได้แต่ยามนี้...นางเลือกเองหาใช่เพราะเหตุผลอันใดกาสุรามงคลตรงหน้าค่อยๆ เย็นเฉียบไปตามอุณหภูมิในห้องหอที่เยือกเย็นขึ้นเรื่อยๆ ตามฤดูหนาวอันเงียบสงบเอี๊ยดด…ทันใดนั้น เสียงประตูเปิดออกอย่างแผ่วเบาก่อนจะปิดลงตามหลัง พร้อมฝีเท้าหนักแน่นที่เดินตรงเข้ามาไม่เร่งรีบทว่าเปี่ยมด้วยความหนักแน่นเขามาแล้ว…!?นางไม่เข้าใจนักว่าเหตุใดจึงรู้สึกประหม่าขึ้นมา มือทั้งสองข้างเผลอกำเข้าหากันอย่างควบคุมไม่ได้เว่ยอี้ก้าวเข้ามาในห้องหอ เขาทอดมองภรรยาหมาดๆ ในชุดแต่งงานอาภรณ์สีแดงสดอย่างพึงพอใจ สายตาคมกริบคู่นั้นไม่อาจซ่อนความตกตะลึงในความงามของนางได้แม้แต่น้อยเขาหยิบคันชั่งไม้ลงก่อนจะเดินตรงเข้ามาเลิกผ้าคลุมหน้าเจ้าสาวขึ้นด้วยมือที่มั่นคงอย่างแผ่วเบา“รอนานหรือไม่” น้ำเสีย
บรรยากาศภายในจวนสกุลโม่ยังคงปกคลุมด้วยความขุ่นมัวแม้ยามค่ำคืนจะจุดโคมสว่างไสวทั่วทุกมุม ทว่าในใจของผู้อยู่อาศัยกลับมืดมนเสียยิ่งกว่าโม่เหยียนซวี่ยังคงนอนไม่ฟื้นคืนสติร่างของแม่ทัพใหญ่ที่สง่างามเต็มไปด้วยความน่าเกรงขามทว่าบัดนี้กลับนอนแน่นิ่งไม่ได้สติไร้วี่แววที่จะลืมตาตื่นขึ้นมา…ดูราวกับไม่มีชีวิตหมอชราต่างพลางกันถอนหายใจถอนหายใจยาวเฮือกใหญ่ “แม้ยื้อชีวิตจากปรโลกกลับคืนมาได้…ชีพจรไม่แตกสลายแต่กระดูกสันหลังช่วงล่างถูกของมีคมเฉือนเข้าอย่างรุนแรง หากโชคดีอาจกลับมาเคลื่อนไหวได้แต่เกรงว่า…” เขาเว้นคำไว้เพียงเท่านี้ เมื่อเห็นแววตาพร่ามัวของไป๋หรูอี๋เบิกกว้างขึ้นมาไป๋หรูอี๋ตะคอกเสียงดัง นางถลึงตามองหมอชราตรงหน้าก่อนจะละสายตาไปมองร่างของโม่เหยียนซวี่ที่กำลังนอนแน่นิ่งอยู่ “พูดให้ชัด!...หมายความว่าเขาจะพิการใช่หรือไม่!”หมอชราแทบจะคุกเข่าแนบลงพื้น สีหน้าของเขาเต็มไปด้วยความหวาดกลัวเจ็ดส่วน “มิใช่เช่นนั้นขอรับ…”“…”“ทว่าทุกอย่างล้วนขึ้นอยู่กับสวรรค์ทั้งสิ้น:ไป๋หรูอี๋ได้ยินแล้วเซถอยอย่างหมดเรี่ยวแรง ริมฝีปากที่เคยแต้มชาดเม้มแน่นคล้ายถูกตัดลมหายใจนางไม่อาจรับได้…ขึ้นอยู่กลับสวรรค์งั้นหรือ
ณ จวนสกุลเว่ยเช้าตรู่ขนาดนี้ไม่น่าแปลกใจเท่ากับการที่นายท่านเว่ยกลับมาพร้อมสตรีแปลกหน้า ไม่ว่าใครต่อใครในจวนเห็นแล้วต่างก็อดไม่ได้ที่จะลอบมองกันด้วยความอยากรู้อยากเห็นทว่าเพียงแค่สบตานายท่านเพียงแวบเดียวเท่านั้น…ความกล้าพลันหายวับไปราวกับมีสายลมโชยมาพวกนางต่างหุบปากเงียบกริบราวถูกสาปให้เป็นใบ้ทันทีตั้งแต่ออกจากจวนสกุลโม่มา…แม้กระทั่งตอนที่อยู่ในรถม้า เซินลี่ฮวาก็ไม่เอ่ยคำใดออกมาเลยสักครึ่งคำนางเอาแต่เงียบมาตลอดทั้งทางและดูเหม่อลอยใบหน้าคนงามเฉยชาไร้อารมณ์ใดๆ ฉายออกมาแต่ทว่าดวงตาคู่งามกลับหม่นหมองราวกับซ่อนความรู้สึกมากมายที่กำลังไหลหลั่งอยู่ภายในจนยากจะจัดการเว่ยอี้เหลือบตามองนางซ้ำแล้วซ้ำเล่า มือหนึ่งโอบประคองกอดนางไว้หลวมๆ อย่างแผ่วเบาและอ่อนโยน“แม่นางเซินดูจะเหน็ดเหนื่อยไม่น้อย” เขาเอ่ยเสียงทุ้มต่ำ “ให้สาวใช้เตรียมเรือนรับรองให้นางพักก่อนดีหรือไม่…”เซินลี่ฮวาไม่ได้ตอบอันใดออกมาทันที นางเพียงเงยหน้าขึ้นมองเขาครู่หนึ่ง ดวงตาคู่งามที่เคยว่างเปล่าเหมือนไร้วิญญาณกลับสะท้อนประกายบางอย่างที่เขามองแล้วไม่อาจจับต้องได้“แล้วแต่ขุนนางเว่ยเถิด” น้ำเสียงของนางแผ่วเบาราวกับกำลังกระซิบ แ
ไป๋หรูอี๋มั่นใจว่า นางมีที่ยืนมั่นคงในใจของโม่เหยียนซวี่ทว่าเมื่อเห็นสายตาของเขาที่ยังคงทอดมองสตรีผู้นั้นด้วยความอาลัยอาวรณ์ราวกับไม่อยากปล่อยนางจากไปแล้ว...หัวใจของนางก็พลันเย็นเฉียบลงทันทีตลอดหลายวันมานี้ เซินลี่ฮวาทำให้นางขุ่นเคืองอยู่มากจนแทบระเบิดอยู่ทุกเมื่อ มิหนำซ้ำยังให้คนขับไล่นางออกจากเรือนใหญ่เหมือนเป็นเพียงหัวขโมยไร้ค่าและยิ่งไปกว่านั้น...โม่เหยียนซวี่ที่เคยเชื่อฟังนางนักหนา กลับทำเป็นไม่รับฟังคำใดของนางเสียแล้วเหตุใดทุอย่างจึงไม่ได้ดั่งใจไปเสียหมด!นางแค่นเสียงฮึดฮัดในลำคอ ความรู้สึกน้อยใจเปลี่ยนเป็นโทสะที่พร้อมจะระเบิดในพริบตา ความคิดบางอย่างพลันแล่นเข้ามาในหัวทันที“อ๊ะ…!” น้ำเสียงหวานร้องแผ่วเบา...แต่กลับดังก้องในจวนที่เงียบงันคล้ายมีเจตนาให้ทุกคนได้ยินไป๋หรูอี๋เอนตัวโอนเอนไปมาคล้ายกับจะเป็นลม ร่างระหงเซจะทรุดฮวบลงกับพื้นในพริบตาแต่ทว่าโม่เหยียนซวี่กลับไม่แม้แต่จะปรายตาชำเลืองมองเลยแม้แต่น้อย!นั่นยิ่งทำให้นางโกรธจนแทบคลั่ง!เซินลี่ฮวาเห็นละครตื้นเขินตรงหน้าแล้วก็ได้แต่กลั้นยิ้มไว้แก้ว่าอีกฝ่าจะเก้อเขินเอาได้ นางขบริมฝีปากแน่น มือไม้คันยุบยิบอยากจะฟาดให้สักฉาดแต่สุด
“ฮูหยินใหญ่เจ้าคะ!...ขุนนางเว่ยมาหาเจ้าค่ะ!” น้ำเสียงสาวใช้หน้าประตูเอ่ยแจ้งด้วยท่าทางรีบร้อน นางกึ่งเดินกึ่งวิ่งมาจนแทบจะสะดุดชายกระโปรงล้มลงไปกับพื้นพอได้ยินประโยคนี้ เซินลี่ฮวาปรายสายตาหันไปมองทันที ดวงตาคู่งามฉายแววงุนงงและสงสัยเล็กน้อย ก่อนจะเลิกคิ้วเอ่ยถามสาวใช้ผู้นั้นเสียงเรียบ “เขามาทำไม”นางส่ายหน้าไปมาพลางสูดลมหายใจเฮือกใหญ่ด้วยความเหนื่อยหอบ “บ่าว…บ่าวมิอาจทราบเจ้าค่ะ แต่ดูท่าทีเร่งร้อนนัก”ทันใดนั้น หางตาซ้ายของนางกระตุกริกๆ ทันทีราวกับเป็นลางบอกเหตุ เซินลี่ฮวาลุกขึ้นนั่งเหยียดหลังตรง ใบหน้าคนงามเชิดขึ้นเล็กน้อยท่าทางสงบนิ่งหากเป็นเช่นนี้…เกรงว่าคงเป็นข่าวดีแน่“พาเขาเข้ามาเถอะ…ข้าจะรออยู่ที่นี่”“เจ้าค่ะ!”เซินลี่ฮวาค่อยๆ ลุกขึ้นจากเบาะนั่ง ก่อนจะขยับมือจัดชายแขนเสื้อให้เรียบร้อย แล้วจึงยกขึ้นลูบไล้เรือนผมเบา ๆ คล้ายกำลังเตรียมตัวรับแขกสำคัญนางเอ่ยเสียงเรียบแต่แฝงด้วยความหมาย “ผิงอันไปเตรียมน้ำชาดีๆ มาสักกาหนึ่งพร้อมขนมอีกถาดให้ข้าทีได้หรือไม่”ผิงอันที่ยืนอยู่ด้านหน้ามองเห็นแล้วถึงกับไม่อยากเชื่อมิใช่ผู้เป็นนายเคยกล่าวเอาไว้ว่าที่ทำไปก็เพื่อผลประโยชน์ในภายภาคหน้าเท่า