สองสาวใช้รีบเดินกลับออกไป พ่อบ้านจิ่วเดินตามทั้งคู่ออกไปเช่นกัน ก่อนที่หลิวเว่ยหยางจะหันมาหานาง
“ไปกินข้าวเถอะ”
“เจ้าค่ะ”
บนโต๊ะอาหารที่เงียบผิดปกติ ได้ยินเพียงแค่เสียงช้อนและตะเกียบ ทั้งคู่นั่งกินอย่างเงียบ ๆ จนหลินอิงวางตะเกียบลงเขาจึงได้เอ่ยขึ้นมา
“อิ่มแล้วหรือ”
“เจ้าค่ะข้าอิ่มแล้ว เช่นนั้น…”
“มีอย่างที่ไหนกัน สามียังไม่อิ่มเจ้าก็กล้าลุกจากโต๊ะก่อนงั้นหรือ”
หลินอิงรู้สึกวูบวาบลงไปที่ท้องเมื่อเขาพูดคำว่า “สามี” ขึ้นมา ที่จริงนับจากวันที่ออกจากวังมา และเขาบอกว่าจะออกไปนอกเมือง นางก็ไม่ได้พบเขาอีกจนกระทั่งวันนี้
“ข้าอยากกินของหวาน เจ้าไปตักให้ทีสิ”
หลินอิงลุกขึ้นอย่างว่าง่าย เพราะของหวานถูกนำมาวางก่อนหน้านี้แล้ว นางหันไปตักบัวลอยน้ำขิงมาวางให้เขา และเดินกลับมานั่งที่ของตัวเอง
“ทำไมเจ้าไม่กินเสียหน่อยเล่า กินข้าวไปเพียงเท่านั้นเจ้าอิ่มงั้นหรือ”
“ข้าอิ่มแล้วจริง ๆ เจ้าค่ะ”
“ช่างเถอะ วันนี้ข้าได้ยินว่าบิดาของเจ้ามาเยี่ยมงั้นหรือ”
‘เริ่มเข้าเรื่องเสียทีสินะ’
นางคิดอยู่ในใจเมื่อแม่ทัพเอ่ยขึ้น ที่จริงเขาควรจะถามนางก่อนมื้ออาหารก็ได้ พูดจบแล้วนางก็กลับ จะได้ไม่ต้องมานั่งอึดอัดกินข้าวกับเขา จนรู้สึกว่าอาหารไม่ย่อยแบบนี้
“เจ้าค่ะ”
“น่าแปลกมาก ที่จริงต้องกลับไปเยี่ยมบ้านอยู่แล้ว แต่เหตุใดใต้เท้าเมิ่งถึงได้ใจร้อนมาหาเจ้าก่อนเวลาเช่นนี้กัน คงมิใช่ว่าเป็นห่วงบุตรสาวที่พึ่งแต่งงานออกมาหรอกกระมัง”
“มิใช่เจ้าค่ะ ก็แค่แวะมาเท่านั้น”
“งั้นหรือ เช่นนั้นคงได้ข่าวอะไรมาสินะ เช่น… เรื่องที่เจ้าเข้าวังไปรับตราตั้งระดับสี่นั่นมา”
“หากท่านแม่ทัพไม่มีอะไรแล้ว เช่นนั้นข้าขอตัวกลับ”
“เดี๋ยวก่อน”
“ยังมีสิ่งใดอีกหรือเจ้าคะ”
“หลังจากวันนี้ไป เจ้าต้องมาจัดเตรียมอาหารให้ข้าทุกมื้อ และต้องมากินข้าวพร้อมกับข้า ในฐานะฮูหยินแม่ทัพ”
“แต่ก่อนหน้านี้ท่าน...”
“เจ้าไม่รู้หรอกหรือว่า แม้แต่ในจวนแม่ทัพก็มีหูตาของท่านอ๋องอยู่ หากเจ้าอยากให้เขาสงสัย จนเรียกตราตั้งของเจ้าคืนละก็จะลองดูก็ได้นะ”
“เช่นนั้นก็ได้ ข้าจะทำหน้าที่นี้ให้ดี”
“ชาข้าหมดแล้ว เติมให้ทีสิ”
หลินอิงยกชารินให้เขา เว่ยหมิงยกชาขึ้นมาดื่มและหันมามองนาง
“รินอีกถ้วยหนึ่งสิ เจ้าไม่มีแรงแม้แต่จะยกกาน้ำชาเลยงั้นหรือ”
“เจ้าค่ะ!”
หลินอิงเริ่มโมโห กาน้ำชาที่หนักทำให้นางเริ่มเจ็บแผลที่แขน ซึ่งถูกหวังอี้จิงทำร้าย
“พอหรือไม่!”
“ยังไม่พอ”
“เช่นนั้นข้าจะไปสั่งให้คนยกชาชุดใหม่มาให้”
“เดี๋ยว!”
“โอ๊ย! … เอ่อ ปล่อยข้าก่อนข้าตกใจนะ”
มือหนาของแม่ทัพ คว้าแขนข้างที่เจ็บของนาง ทำให้หลินอิงเจ็บจนตกใจ นางรีบสะบัดแขนเขาออกทันทีเพื่อมิให้ดูผิดปกติ โชคดีที่แม่ทัพหลิวไม่ทันได้มอง สายตาเขายังคงเย็นนิ่งดุจน้ำแข็ง ไม่ต่างกับก่อนหน้านี้
“แค่รินน้ำชา เหตุใดต้องทำท่ารำคาญข้าเช่นนี้ เจ้าคงลืมไปแล้วสินะว่าฮูหยินแม่ทัพจะต้องทำตัวเช่นไร”
“ข้า…”
“ไม่ว่าจะเป็นในจวนหรือนอกจวน เจ้าก็ต้องทำตัวให้สมกับเป็นคนของจวนแม่ทัพ อย่าได้หลงลืมฐานะของตนเองจนทำให้ข้าอับอาย วางกาน้ำชาไว้เถอะ ข้าไม่อยากดื่มแล้ว เจ้าอยากกลับเรือนของเจ้าก็รีบไปเถอะ”
“เช่นนั้นข้าขอตัวก่อน”
หลินอิงวางกาน้ำชาตรงหน้าเขา และรีบเดินออกจากห้องไปทันที เมื่อนางเดินไปแล้ว เขาถึงได้เรียกจื่อรั่วและพ่อบ้านจิ่วที่ยืนอยู่หน้าห้องเข้ามา
“ฮูหยินเดินกลับเรือนหลังไปแล้วขอรับ”
“ท่านแม่ทัพ ได้ความว่าอย่างไรหรือไม่ขอรับ”
“ดูท่าว่าเมิ่งฉีจะรอไม่ไหวแล้ว ถึงกับกล้ามาที่จวนตอนข้าไม่อยู่ เพื่อมาขอตราตั้งกับนางจริง ๆ”
“ฮูหยินบอกท่านหรือขอรับ”
“นางน่ะหรือจะบอกอะไรกับข้า ทำท่าทางอย่างกับลูกแมวจะขู่เสือเช่นนั้น หึ แค่เห็นก็รำคาญยิ่งนัก”
“นายท่านเมิ่งกับฮูหยิน มาเพียงไม่ถึงหนึ่งก้านธูปก็รีบกลับ ดูเหมือนว่าพวกเขาจะยังไม่ได้ตราตั้งนั้นไป เพราะท่าทางของทั้งคู่ดูฉุนเฉียวมากกว่าตอนที่มาขอพบฮูหยินนะขอรับ”
“ข้าได้กลิ่นยาทาแผลที่ตัวของนาง”
“ท่านแม่ทัพหมายความว่า พวกเขาทำร้ายฮูหยินหรือขอรับ”
“แต่พวกเขาพบกันไม่นาน เท่าที่ข้าดูก็ไม่มีอะไรผิดปกติ หรือว่า…”
พ่อบ้านจิ่วกะพริบตาด้วยความไม่เชื่อว่า สตรีตัวเล็ก ๆ เช่นเมิ่งหลินอิงจะทนความเจ็บปวดเช่นนั้นได้ เพราะตลอดเวลาที่คุย เขาไม่ได้ยินเสียงตบตีหรือทะเลาะกัน
“หรือว่า…”
“จื่อรั่ว”
“ขอรับ”
“ให้คนของเราสืบเรื่องสกุลเมิ่ง เกี่ยวกับมารดาของเมิ่งหลินอิง รวมถึงเรื่องก่อนหน้านี้ทั้งหมด”
“ขอรับ”
“ท่านแม่ทัพ นี่หรือว่าฮูหยิน…”
“พ่อบ้านจิ่ว ท่านเองก็สงสัยเช่นเดียวกับข้าใช่หรือไม่”
“นางเป็นบุตรสาวพ่อค้า แต่เมื่อท่านสั่งให้ไปอยู่ที่เรือนหลังเล็ก ทั้งรกร้างและไร้คนอาศัย แต่นางกลับไม่ปริปากบ่นเลยสักนิด อีกอย่างยังใช้ชีวิตอยู่อย่างมีความสุข และยังลงมือปลูกผักและทำความสะอาดด้วยตัวเอง เมื่อเช้าข้าให้คนเอาเงินเดือนทั้งหมดของท่านไปมอบให้ นางก็ไม่ถามอะไรสักคำ แค่นำไปเก็บข้างใน และทำงานของตัวเองต่อเท่านั้นเอง”
“ลุงจิ่วท่านอยู่ในจวนนี้มานาน ก็คิดว่ามันแปลกสินะ”
"ขอรับ ข้าไม่เคยเห็นบุตรสาวขุนนางคนใด ที่จะทนกับสภาพเช่นนี้ได้ ยิ่งนางเป็นบุตรของเศรษฐีร่ำรวย ไม่น่าจะทนได้กับสภาพเช่นนั้น"
“วันก่อนตอนเข้าเฝ้า นางตื่นเต้นและหวาดกลัวมาก แม้แต่ตอนที่ขึ้นไปรับตราตั้งก็ยังมีสีหน้าซีดเซียว แต่เมื่อท่านอ๋องตรัสเรื่องของครอบครัว โดยเฉพาะเรื่องมารดาของนางขึ้นมา เมิ่งหลินอิงผู้นี้กลับทำเรื่องที่ข้านึกไม่ถึงขึ้นมา”
“เช่นนั้นข่าวลือที่ว่า ฮูหยินตลบหลังชิงอ๋องจนได้เงินห้าพันตำลึงทองนั้นมามอบให้กองทัพ ก็มิใช่เรื่องที่เกินจริงหรือขอรับ”
“ใช่แล้ว ทุกคนในห้องโถงเองก็ตกใจเช่นกัน ท่านอ๋องพลาดท่าให้กับนาง เพียงแค่เมิ่งหลินอิงพูดไม่กี่คำ เขาก็สูญเงินที่เอาไว้เสพสุขนั่นไปถึงห้าพันตำลึงทองเพื่อช่วยกองทัพ นางใช้ขุนนางในห้องโถงเป็นสักขีพยาน จนท่านอ๋องสิ้นหนทางแก้ตัว”
“เช่นนี้ท่านแม่ทัพก็นับว่า แต่งงานกับสตรีไม่ผิดคนแล้วนะขอรับ…เอ่อ ข้าพูดมากไปแล้ว ท่านแม่ทัพอย่าถือสาเลยขอรับ”
“ข้าจะไปห้องหนังสือสักหน่อย”
“ขอรับ”
เขาเดินมาที่ห้องหนังสือ เมื่อเดินมาที่โต๊ะก็ยกมือขึ้นมาดมกลิ่นที่ติดนิ้วทันที
“ยาทาแผลสดไม่ผิดแน่ แต่ข้าใช้ให้นางตักของหวานและเติมชาอยู่หลายครั้ง ไม่มีท่าว่าจะเจ็บนอกจากตอนที่ข้าเผลอไปบีบแขน แสดงว่าแผลไม่หนักมาก เมิ่งหลินอิง… ความเป็นมาของเจ้าเป็นอย่างไรกันแน่”
เรือนหลัง
“ท่านบอกว่า… ต้องไปกินข้าวกับท่านแม่ทัพทุกวันหรือเจ้าคะ"
“ใช่แล้วเขาสั่งมาแบบนั้น”
“เช่นนั้นก็ยอดไปเลยนะเจ้าคะ”
“ฮูหยินท่านไม่ต้องกลัวท่านแม่ทัพถึงขนาดนั้นเจ้าค่ะ แม้ว่าท่านแม่ทัพจะดูเคร่งขรึมและเย็นชา แต่เพราะหน้าของเขาเป็นเช่นนั้นเอง ที่จริงแล้วท่านแม่ทัพเป็นคนมีน้ำใจมาก โดยเฉพาะกับพวกคนในจวน”
“หึหึ นั่นสินะ แต่คงไม่ใช่กับข้าแน่ ๆ”
“ทำไมท่านคิดเช่นนั้นเล่าเจ้าคะ พวกท่านแต่งงานกันแล้ว ถึงอย่างไรก็ได้ชื่อว่าเป็นฮูหยินของเขา เหตุใดท่านจึงคิดว่าท่านแม่ทัพจะไม่รักท่านเล่าเจ้าคะ”
“นั่นคงเพราะว่า ข้ามิใช่สตรีในใจของเขา ที่อยากจะแต่งงานด้วยตั้งแต่แรกกระมัง”
เขาบอกเพียงให้นางรับรู้เท่านั้น เพราะหลังจากนี้หลินอิงก็ไม่มีสิทธิ์ปฏิเสธ ท่านอ๋องดุดันทุกสนามรบอยู่แล้ว แม่แต่ศึกรักก็มิได้ว่างเว้น เมื่อได้เริ่มขึ้นแล้ว เขาก็ไม่มีทางหยุดง่าย ๆ “อ๊ะ ท่านพี่เพคะ ตรงนี้ไม่ได้ อยู่ใกล้ห้องลูกเกินไป”“เช่นนั้นไปที่หน้าต่างกัน เจ้าชอบระเบียงมิใช่หรือ”“ท่านมันช่าง…อ๊าา อย่าสอดเข้ามาโดยไม่บอกเช่นนี้สิ หลิวเว่ยหยางคน…นิสัยเสีย อึ๊ยย อ๊าา ลึกไปแล้ว อ๊าาา"สะโพกของนางเบียดกับเขาจนแทบจะเป็นเนื้อเดียวกัน ไม่นานเขาก็ยกตัวนางขึ้น และตอกกระแทกเข้ามาที่เอว พระชายาเอนหงายตามแรงที่ถูกกระแทก นางอ้าปากเพื่อระบายหาอากาศหายใจ เมื่อถูกเข้ารุกเร้าเข้ามาไม่ยั้ง ตอนนี้ท่านอ๋องพานางมานั่งที่เตียง โดยให้นางนั่งคร่อมอยู่บนตัวเขา“อื้อ อ๊าาา อย่าดูดแรงสิเพคะ มัน เสียว…อ๊าา”“เช่นนั้นก็กระแทกลงมาให้แรงกว่านี้สิ เจ้าจะได้รู้สึกดีกว่านี้”เขาช่วยจับที่สะโพกของนาง และขยับขึ้นลงเป็นจังหวะ ลิ้นหนายังคงวนอยู่ที่สองเต้างามตรงหน้า ซึ่งเปียกไปด้วยน้ำลายและเริ่มมีรอยจ้ำแดงเต็มไปหมดทั้งตัว“ไปล้างตัวกันเถิด”“แน่ใจหรือเพคะว่าแค่ล้างตัว”ห้องอาบน้ำเขาใช้อ่างไม้ขนาดใหญ่เพื่อพานางมาล้างตัว
ห้าปีถัดมา / ตำหนักพระชายา"ข้าว่าปักเลื่อมลงที่ปกเสื้ออีกหน่อย น่าจะสวยนะ"“ข้าก็คิดเช่นนั้นเพคะ”“เสด็จแม่!”“เฉินเอ๋อร์ เจ้ามาได้อย่างไร มิใช่ว่าวันนี้เจ้าไปประชุมกับเสด็จพ่อมิใช่หรือ”“ข้ากลับมาแล้วพ่ะย่ะค่ะ”“เช่นนั้นเหตุใดจึงไม่ไปอาบน้ำ แล้วนี่เสด็จพ่อของเจ้าเล่า”“คุยกับท่านอาจื่อรั่วอยู่ข้างนอก ข้าวิ่งมาหาท่านก่อน”“เช่นนั้นก็พอดีเลย มานี่สิแม่กำลังตัดชุดใหม่ให้เจ้า ไหนลองสวมดูหน่อยสิว่าพอดีหรือไม่”พระชายาเริ่มสวมเสื้อให้กับท่านชายน้อย “หลิวซือเฉิน" ซึ่งเป็นโอรสองค์โตของท่านอ๋อง เขามีน้องสาวอีกคนซึ่งตอนนี้อายุได้เพียงสองปี โดยมีแม่นมเลี้ยงอยู่ในตำหนัก“พอดีเลย เหลือแค่ปักลายอีกนิดหน่อย ก็จะสวมทันฤดูหนาวนี้แล้ว”“ข้าจะทันได้สวมไปล่าสัตว์ฤดูหนาว กับเสด็จพ่อหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”“เจ้าเด็กน้อย อายุเท่านี้ก็อยากจะไปล่าสัตว์แล้วหรือ”“ข้าเริ่มฝึกดาบแล้ว ท่านแม่ตอนนี้ข้าเริ่มเก่งแล้วนะพ่ะย่ะค่ะ”“จ้า ๆ ลูกแม่เก่งที่สุดอยู่แล้ว เอาล่ะเจ้าถอดเสื้อออกมาก่อน แม่ยังตัดเย็บไม่เสร็จ”“พ่ะย่ะค่ะ”ท่านอ๋องที่เสด็จเข้ามาพร้อมกับจื่อรั่ว ทันได้เห็นพระชายาที่กำลังถอดเสื้อให้กับหลิวซือเฉินพอดี เมื่อ
กว่าสามเดือนแล้ว ที่ทั้งสองย้ายเข้ามาอยู่ในวังหลวงของต้าเฟิง ตำหนักใหม่นี้ถูกสร้างขึ้น หลังจากที่ท่านอ๋องตัดสินใจว่าจะสร้างตำหนักชั้นเดียว เพื่อมิให้พระชายาต้องเดินขึ้นลง แม้ว่าจะอำนวยความสะดวกทุกอย่างเช่นนั้น แต่พระองค์ก็ยังคงไม่ไว้วางพระทัยทุกครั้งหลังจากประชุมเช้าเสร็จ ก็ต้องรีบกลับมาดูอาการของพระชายาเสียก่อน หากรู้เพียงนิดว่าพระชายาเกิดวิงเวียนศีรษะ หรือได้รับอุบัติเหตุ ต่อให้เพียงเล็กน้อย ท่านอ๋องก็รีบเสด็จมาทันทีห้องบรรทม“พอเถิดเพคะ ไหนว่าช่วงบ่ายจะเสด็จไปที่กรมกลาโหม คุยเรื่องเสบียงกองทัพอย่างไรเล่า”“เดี๋ยวก่อนสิ ขอฟังเสียงลูกอีกหน่อย เจ้าไม่เข้าใจหรอกว่าข้ากำลังคุยกับลูกอยู่”“เฮ้อ ไม่คิดว่าท่านพี่จะอาการหนักถึงขั้นนี้ เช่นนั้นให้หม่อมฉันไปด้วยเลยดีไหมเพคะ”“ไม่ได้นะ เจ้าจะเดินมาก ๆ หาได้ไม่ อีกอย่างวันนี้เจ้าดื่มยาแล้วหรือยัง เห็นว่าตอนเช้าอาเจียนอีกแล้ว”“ผู้ใดขยันฟ้องถึงเพียงนี้กันนะ”จื่อรั่วที่ยืนอยู่นอกห้อง จามออกมาโดยไม่ทันรู้ตัว นับตั้งแต่เข้าวังมาท่านอ๋องก็แทบจะไม่เป็นอันทำอะไรเลย หลังจากที่ขึ้นครองบัลลังก์ก็เริ่มส่งมอบงานให้แต่ละฝ่าย แม้ว่าทุกฝ่ายเขาจะดูแลเป็นอย่
หลินอิงนิ่งอึ้งไปพักใหญ่ กว่าจะทำความเข้าใจกับเรื่องที่เขาพูด แม้ว่าก่อนหน้านี้นางจะเคยรู้มาก่อนแล้วว่า ที่จริงผู้ที่จะขึ้นเป็นท่านอ๋องปกครองเมืองต้าเฟิง เดิมทีก็ต้องเป็นหลิวเว่ยหยางอยู่แล้ว แต่เขาไม่ยอมรับตำแหน่ง ฝ่าบาทจึงต้องให้ชิงอ๋องมาปกครองแทนก็ตาม“ท่านหมายความว่า”“จากฮูหยินตราตั้ง เจ้าก็จะกลายเป็นพระชายาหลิวอ๋องแห่งต้าเฟิงแทนอย่างไรเล่าเด็กโง่”“ขะ ข้าหรือเจ้าคะ”“ถูกต้องแล้ว อีกอย่างบุตรที่กำลังจะเกิดมา ก็จะเป็นท่านชายน้อยและท่านหญิงน้อยด้วย”“นี่มัน…เรื่องอันใดกัน”“เอาล่ะตอนนี้อย่าพึ่งคิดมากเลยนะ ทุกอย่างก็จบลงไปแล้ว จริงสิข้าลืมบอกเจ้าอีกอย่างหนึ่ง วันก่อนข้าสั่งให้คนนำป้ายวิญญาณของท่านแม่เจ้า ไปไว้ที่เรือนหลังเล็ก กำลังจะถามเจ้าว่า จะทำที่นั่นเป็นที่เก็บป้ายวิญญาณของท่านแม่เจ้าเลยดีหรือไม่”“แต่ว่าท่านแม่มิใช่คนสกุลหลิวนะเจ้าคะ”“แม่ภรรยาไม่ต่างกับแม่ตัวเอง หรือเจ้ามีที่ที่เหมาะกว่านั้นเล่า”“ข้าไม่ขัดข้องเจ้าค่ะ ตามใจท่าน”“อีกอย่างเราเองก็คงต้องย้ายเข้าไปในวังหลวงเร็ว ๆ นี้แล้ว จวนนี้คงจะมาได้เป็นครั้งคราวเท่านั้น”“เช่นนั้นหรือเจ้าคะ”“ตอนนี้เจ้านอนพักเสียก่อน รอให้ร่า
หลินอิงก้มหน้าลง แต่เขากลับใช้นิ้วจับคางนางขึ้นมา“เจ้ายอมรับโทษเสียแต่โดยดีเสียเถิด โทษหนักจะได้เป็นเบา”“ข้ามิได้ทำผิดอะไรนี่เจ้าคะ อีกอย่างข้าบอกท่านแล้วว่าจะไปหาท่านแม่ ข้ารู้ว่า…”นางเริ่มน้ำตารื้นอีกครั้ง เขาดึงนางเข้ามากอด ครั้งนี้นางยอมให้เขากอดแต่โดยดี และยังกอดตอบอีกด้วย “ข้ารู้ดีที่สุด แต่ไม่คิดเลยว่าจะเกิดเรื่องในวังขึ้นพร้อมกันเช่นนี้ ตั้งแต่วันที่แปลงผักของเจ้าถูกทำลาย ข้าก็รู้ตัวแล้วว่าทำไม่ถูก และกำลังทำร้ายเจ้าทางอ้อมมากขึ้น จึงรีบตัดสินใจที่จะไม่หาจวนให้พวกนาง และติดต่อไปที่ผู้เฒ่าสกุลว่านทันที”“นางคงอยากให้ท่านเป็นบิดาของเฟิงหลานจริง ๆ”“ไม่ใช่หรอก นางเพียงแค่ทำเพื่อตัวเองเท่านั้น ข้ารู้ดีว่านางมีจุดประสงค์ใด แต่ก็ยังใจอ่อนยอมให้นางพักอยู่ที่จวน เพราะทนเห็นหลานชายตัวเล็กซึ่งเป็นลูกของสหาย ออกไปลำบากข้างนอกไม่ได้ จนเผลอทำร้ายจิตใจเจ้า เกือบจะสายเกินไปเสียแล้ว อิงเอ๋อร์ข้าขอร้องเจ้าอย่างหนึ่งได้หรือไม่”“อะไรหรือเจ้าคะ”นางค่อย ๆ คลายอ้อมกอดมามองเขาอีกครั้ง สายตาอ้อนวอนของเขา ทำให้หัวใจนางอ่อนยวบลงมาในที่สุด“จากนี้ไปต่อให้จะทะเลาะกันเช่นไร ข้ายอมให้เจ้าโกรธ ตบตีข้า
จวนแม่ทัพหลินอิงกะพริบตาตื่นขึ้นมา ก็มองเห็นเพดานในห้องที่คุ้นเคย ดูเหมือนว่าที่นี่จะเป็นจวนแม่ทัพ และเป็นห้องนอนของนางและเขาบนเรือนใหญ่ นางได้ยินเสียงคนที่คุยกันอยู่ใกล ๆ แต่ก็แทบจะขยับตัวไม่ได้“นะ น้ำ”“อิงเอ๋อร์! ท่านหมอนางฟื้นแล้ว”ไม่นานเสียงฝีเท้าของคนไม่ต่ำกว่าสามคน ก็พากันเดินเข้ามา นางรู้สึกได้ว่าพื้นเรือนสั่น และมือหนาที่อบอุ่นก็หันมาจับนางเอาไว้“อิงเอ๋อร์เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง หิวน้ำหรือ”“อือ…”นางพูดได้เพียงเท่านั้น เสียงรินน้ำและส่งให้และค่อย ๆ ยกป้อนนางนั้นช่างอ่อนโยนยิ่งนัก“เจ้ารู้สึกอย่างไรบ้าง ท่านหมอบอกว่าเจ้ามีไข้ และอ่อนเพลียเพราะพักผ่อนน้อย”“ข้าอยากกลับเรือนหลัง”“ไม่ได้ ที่นั่นไม่ปลอดภัย อีกอย่างที่นี่ก็เป็นห้องของเรา จะย้ายไปที่อื่นอีกทำไม”“ข้าไม่อยากอยู่ที่นี่”"ท่านหมอ อาการของนางเป็นอย่างไรบ้าง รีบตรวจเถอะเร็วเข้า"“ขอรับท่านแม่ทัพ”เมื่อท่านหมอเอาผ้ามารองที่แขนของนาง ก็เริ่มจับชีพจรโดยมีเขาที่พยุงนางอยู่ข้าง ๆ ก่อนหน้านั้นมัวแต่ยุ่งเรื่องทำแผล และคุยกับท่านแม่ทัพ เขาเลยยังมิได้มาตรวจนางอย่างละเอียด เมื่อหันมามองหน้านางสลับกับท่านแม่ทัพก็เริ่มหันมายิ้ม“ฮ