LOGINก๊อก ก๊อก ก๊อก.....
พูดจบฟ่านเหมยเหมยก็เดินตรงไปเคาะประตูห้องของหลี่เล่อเยียนทันที
" หลี่เล่อเยียน ออกมาเดี๋ยวนี้นะ มัวมุดหัวอยู่ทำไมออกมาเดี๋ยวนี้ " ฟ่านเหมยเหมยเพิ่มเสียงในการเรียก พร้อมกับรัวมือเคาะประตู เรียกได้ว่าเธอแทบจะพังประตูเข้าไปแล้วถึงจะถูก
เธอรู้อยู่แล้วว่า หลี่เล่อเยียนไม่สบาย และคิดว่าหล่อนคงจะลุกมาทำอาหารไม่ไหว แต่แล้วอย่างไรล่ะใครจะสนใจกัน ตอนนี้เธอเพียงคิดถึงซาลาเปาผิวเนียนขาวแสนนุ่มก้อนนั้น แถมยังมีไส้เนื้ออีกด้วย เมื่อเช้าเธอเคี้ยวมันคำแรกแทบจะกัดลิ้นตัวเองกลืนลงไปด้วยซ้ำ
รอเพียงไม่นาน หลี่เล่อเยียนก็เปิดประตูห้องออกมาพร้อมกับกลิ่นหอมอ่อนๆ ตามตัวของเธอ
' หนอยย... พวกฉันตากแดดทำงานตัวเหม็น แต่แม่นางจิ้งจอกหน้าขาวนี่กลับนอนตัวหอมสบายอยู่ที่บ้าน เจ็บใจนัก' ฟ่านเหมยเหมยได้แต่ก่นด่าอยู่ในใจ
" มีอะไรหรือถึงกับเคาะประตูแทบพัง มีใครตายหรืออย่างไร" หลี่เล่อเยียนเอ่ยออกมาอย่างเอือมๆ
" เธอน่ะสิตาย จนป่านนี้ทำไมถึงยังไม่ทำอาหารเย็นอีกเล่า " ฟ่านเหมยเหมยสวนกลับทันควัน กล้าดีอย่างไรมาว่าพวกเธอตาย
" อะ เอ่อ เล่อเยียน เธอทำแบบนี้ก็ไม่ถูกนะ เธออยู่บ้านควรจะทำอาหารรอสิถึงจะถูก" หญิงสาวอีกคนเอ่ยขึ้นซึ่งเธอจำชื่อไม่ได้เพราะไม่มีในความทรงจำของเธอเลยสักนิด
" ฉันจำได้ว่า ตั้งแต่ที่ฉันมายังไม่เคยตกลงอะไรกับใคร แล้วฉันก็ไม่เคยกินอาหารที่พวกเธอทำเลยสักครั้ง อีกอย่างในครัวมีข้าวสารอยู่ไม่ถึงกำมือเลยด้วยซ้ำ พวกเธอจะให้ฉันทำอะไรดีล่ะ " หลี่เล่อเยียนตอบออกไปเป็นฉากๆ เมื่อเช้าเธอเสียรู้เพราะเธอยังมึนงงอยู่ รวมถึงความจำเธอยังมาไม่ครบถ้วน แต่ตอนนี้เธอจำได้แล้วว่าร่างเดิมไม่เคยกินของร่วมกับคนอื่นเพราะเธอจะทำกินเองหลังจากที่สมาชิกคนอื่น ๆ ใช้ครัวเสร็จแล้วเท่านั้น
" แต่เมื่อเช้า เธอยังแบ่งซาลาเปาให้พวกเราอยู่เลยนะ " เป็นสมาชิกอีกคนพูดขึ้นมาบ้าง
" นั่นเพราะฉันไม่สบาย ทั้ง ๆ ที่ฉันป่วย แต่ฉันก็ยังแบ่งของกินให้พวกเธอ แต่ดูเหมือนฉันจะเลี้ยงหมาป่าไว้ข้างตัวแล้วล่ะ " หลี่เล่อเยียนตอบกลับไปแบบเจ็บแสบทีเดียวเลยล่ะ พวกเห็นแก่ตัวไม่มีความจำเป็นใดที่จะต้องอ่อนข้อให้
"มันจะมากไปแล้วนะ หลี่เล่อเยียน พวกเราจะไปฟ้องคณะกรรมการ " ฟ่านเหมยเหมยยกคณะกรรมการขึ้นมาขู่
" ดี ถ้าอย่างนั้นก็ไปเลย จะได้รู้กันไปว่าใครกันแน่ที่โดนเอาเปรียบ แต่อย่าลืมคิดถึงผลที่ตามมาด้วย ว่าคนผิดจะต้องโดนหักแต้มค่าแรง โทษฐานก่อความวุ่นวายไม่สงบ " หลี่เล่อเยียนพูดขู่ เธอไม่กลัวอยู่แล้วเพราะตนเองไม่ได้ทำอะไรผิด
" แล้วเธอจะเอาอย่างไรเล่า ของกินพวกฉันก็เอาลงกองกลางกันหมดแล้ว เหลือเพียงของเธอที่ยังไม่เอามาไว้กองกลาง " ฟานเหมยเหมยเอ่ยออกมาเสียงลอดไรฟัน
" ไม่เอาอย่างไร ต่างคนต่างอยู่ แล้วฉันก็จะไม่มีวันเอาของไปลงกองกลางอย่างแน่นอน " คนที่กินข้าวเหมือนหมูอย่างหล่อน ฉันไม่มีวันร่วมวงกินข้าวด้วยเด็ดขาด หลี่เล่อเยียนได้แต่พูดคำนี้ในใจคนเดียว เพราะจู่ ๆ ก็มีภาพของฟ่านเหมยเหมยขึ้นมาในหัวของเธอ
จริง ๆ แล้ว ไม่มีกฎให้สมาชิกในบ้านพัก นำอาหารออกมารวมเป็นกองกลาง หากแต่ความคิดนี้เป็นของฟ่านเหมยเหมย เพราะเจ้าตัวเป็นคนกินจุกินไม่เลือก จึงเห็นแก่ตัวอยากกินของคนอื่น ทุกคนในบ้านจึงเออออไปด้วยเพราะไหน ๆ ก็ต้องอยู่ร่วมชายคาเดียวกัน
แต่พอได้มาเห็นพฤติกรรมการกินของฟ่านเหมยเหมยแล้ว ต่างคนต่างเหลือข้าวสารกับแป้งไว้กับตัวเอง เพราะถ้าหากว่ากันตามความเป็นจริง พวกเธอกินเพียงครึ่งเดียวของฟ่านเหมยเหมยเท่านั้น
" ดี คนเห็นแก่ตัวแบบหล่อนฉันก็ไม่แปลกใจเท่าไหร่ถ้าหล่อนจะป่วยตายในห้องเพียงลำพัง ไปเถอะพวกเรา ต่อไปนี้เราทำกินกันเองแค่ 4 คนเพียงเท่านั้น คนอื่นไม่มีสิทธิ์ " ฟ่านเหมยเหมยเริ่มโมโห ไม่รู้โมโห หลี่เล่อเยียนหรือโมโหหิวกันแน่
" เอ่อ เหมยเหมย พวกเราก็จะแยกครัวเหมือนกันน่ะ ฉันจะทำกินเองกับหมี่เมี่ยน เพราะเรานอนห้องเดียวกัน" เป็นหม่ายวี่ไท่ที่เอ่ยบอกออกไป
"ได้..ถ้าอย่างนั้นต่อไปนี้เหลือเพียงฉันกับฟู่หลินฮุ่ยเท่านั้น แต่ฉันขอบอกไว้ก่อนนะว่า พวกฉันต้องเป็นคนได้ใช้ครัวก่อนทุกครั้ง " พูดจบไม่ทันรอฟังคำตอบ ฟ่านเหมยเหมยก็รีบจูงมือฟู่หลินฮุ่ยจากไป เธอจะเสียใครไปอีกไม่ได้ เพราะอาหารของเธอนั้นได้หมดลงแล้ว เนื่องจากฟ่านเหมยเหมยนำอาหารมาจากบ้านเดิมเพียงแค่อย่างละ 2 ชั่งเท่านั้น ทำอย่างไรได้ล่ะ ก็บ้านของเธอจนมากนี่นา กว่าที่จะได้ส่วนแบ่งอีกครั้งก็อีกประมาณ 5 วันข้างหน้า ฟ่านเหมยเหมยจึงจำเป็นจะต้องเกาะฟู่หลินฮุ่ยให้แน่นเอาไว้
วันที่ 18 ธันวาคม หิมะแรกของปีก็มาถึง และตกหนักมากจนหลี่หานไม่สามารถไปโรงเรียนได้ หลี่เล่อเยียนให้น้องชายหยุด เพราะกลัวจะเกิดอุบัติเหตุระหว่างทาง ทางเขตของชนบทเริ่มมีข่าวการเกิดภัยพิบัติกันหนาหูมากขึ้น เธออดเป็นห่วงสามีและพี่ชายไม่ได้เลยป่านนี้ไม่รู้ว่าทั้งสองจะเป็นยังไงบ้าง"พี่ หลานของผมเป็นไงบ้างครับ" หลี่หานจะคอยถามไถ่และพาพี่สาวไปโรงพยาบาลตามนัดของหมอทุกครั้ง พี่สาวของเขาเป็นคนเข้มแข็งมาก ไม่รู้ว่าพี่เขยเป็นอย่างไรบ้าง พวกเขาไม่ได้ข่าวอะไรจากทางเหนือเลย"ดิ้นเก่งมากเลยล่ะ เพิ่งจะหยุดไปสักพักนี้เองตอนที่พี่นั่งพักน่ะ" หลี่เล่อเยียนตอบยิ้มๆ เธอมีความสุขทุกครั้งที่ลูกขยับตัวในท้อง เธอคุยพร้อมกับเล่านิทานให้ลูกในท้องฟังทุกวัน กินแต่ของที่มีประโยชน์ น้ำเต้าหู้เธอกินทุกวัน ผลไม้ไม่เคยขาดตามด้วยนมผงรสมอลต์ก่อนนอนวันที่ 1 มกราคม 1957 หลี่เล่อเยียนและน้องชายฉลองปีใหม่กันเพียงสองคนเพราะหิมะตกหนักมาก หลี่หานที่ตอนนี้อายุ 15 ปีบริบูรณ์เขาสูงถึง 170 เซนติเมตร ขึ้นไปกวาดหิมะบนหลังคา แม้ว่าบ้านจะเพิ่งสร้างเสร็จแต่ปริมาณหิมะที่ตกลงมาก็ไม่สามารถวางใจได้ เพราะไม่มีแดดเลยข่าวการขาดแคลนอาหารเริ่มม
นับจากวันที่บ้านของหลี่เล่อเยียนเริ่มทำกำแพง นี่ก็เป็นเวลา 3 เดือนแล้ว ที่หยางหมิงเฉิงออกไปปฏิบัติภารกิจ เขาให้ลูกน้องมาแจ้งข่าวว่าต้องลงไปทางเหนือ เพราะที่นั่นมีภัยพิบัติทางธรรมชาติค่อนข้างรุนแรง จึงไม่สามารถกลับบ้านได้ให้เธอดูแลตัวเองให้ดี รอเขากลับมาบ้านของพวกเขาเสร็จทันก่อนหิมะแรกจะมาถึง อีกทั้งยังเป็นไปด้วยดีสำหรับแบบบ้าน นับว่าแข็งแรงถูกใจเธอเป็นอย่างมาก เวลาที่หิมะตกลงมาคงไม่ต้องกังวลว่าหลังคาจะถล่มลงมาวันไหนท้องของหลี่เล่อเยียนใหญ่ขึ้นมาก ตอนนี้เธอรับรู้ได้ว่าลูกอยู่กับเธอแล้วจริง ๆ เพราะเขาจะดิ้นประท้วงทุกครั้งที่เริ่มหิว เธอเริ่มเดินเหินลำบากโชคดีที่มีน้องชายหลี่มาอยู่เป็นเพื่อน ทำให้คลายเหงาลงบ้าง อีกทั้งเขายังดูแลเธอเป็นอย่างดียามที่น้องชายไปเรียนหลี่เล่อเยียนแอบหยิบของในมิติมาเติมจนแน่นห้องเก็บอาหาร ทุกครั้งที่เธอนอนเตียงอุ่นๆ เธออดเป็นห่วงสามีไม่ได้ จากนั้นดึงเอาที่นอนแสนนุ่มออกมาจากในมิติ ผ้าห่มหนัก 7 ชั่ง 2 ผืนมาเผื่อน้องชายเธอด้วย หน้าหนาวปีนี้ถือว่ารุนแรงเหลือเกิน และข่าวที่ว่าคนไม่มีบ้าน ล้มตายเพราะความหนาวก็มีมาทุกวันวันนี้เป็นวันที่ 15 ธันวาคม จะเป็นวันทำงานวั
"พี่ครับรั้วเสร็จแล้วพี่จะทำบ้านต่อเลยหรือเปล่าครับ" หลี่หานมาอยู่บ้านพี่สาวเป็นเวลา 5 วันแล้ว อีก 3 เดือนจะเข้าหน้าหนาว เขาคิดว่าพี่สาวควรจะมีบ้านที่แข็งแรงเมื่อเข้าสู่ฤดูหนาว เพราะหิมะตกหนักทุกปี"พี่ว่าจะไปหาพ่ออยู่พอดี วันนี้เดี๋ยวพี่ไปส่งนายที่โรงเรียน แล้วจะไปหาพ่อที่ที่ทำงานเลยแล้วกัน" หลี่เล่อเยียนเดิมทีกะว่าจะรอ หยางหมิงเฉิงกลับจากปฏิบัติภารกิจซะก่อน แต่ดูท่าทางแล้วถ้ามัวแต่รอไม่รู้ว่าเขาจะกลับมาวันไหน เธอจึงตัดสินใจไปขอให้พ่อช่วยดีกว่า พ่อเธอน่าจะรู้จักคนมากไม่น้อยทางด้านบ้านใหญ่หยางหลังจากที่หยางซีฮันพูดออกไปวันนั้น วันถัดมาก็มีเจ้าหน้าที่มาวัดแบ่งเขตชัดเจน สร้างความไม่พอใจให้กับน้าสะใภ้อย่างมาก หล่อนได้แต่สาปแช่งหลี่เล่อเยียนอยู่ในใจ เพราะไม่สามารถพูดอะไรออกไปได้ ส่วนเจินเจินน้อยได้แต่คอยแอบมองอาสะใภ้อยู่ไกล ๆ ไม่กล้าเข้าไปทักทาย เพราะพ่อของเธอสั่งห้าม เจินเจินรู้สึกดีไม่น้อยที่ได้รู้ว่าน้องชายของอาสะใภ้มาอยู่เป็นเพื่อน"ดูเอาเถอะค่ะหลานรักของคุณ พอคุณบอกว่าจะแบ่งที่ให้รีบเอาเจ้าหน้าที่มาวัดแบ่งเขต ช่างละโมบโลภมากเสียจริง ชิ" หยางซิงเยียนเบะปากทำท่าทางรังเกียจ" เขาทำถู
ภายในห้องปีกซ้ายของหยางเหยาอิน เขาเดินอุ้มลูกสาวเข้าห้อง วันนี้ผู้เป็นแม่ประกาศชัดเจนว่างดข้าวเย็น ใครอยากจะกินก็ให้ไปหากินเองห้ามมายุ่งกับส่วนกลางเด็ดขาด"คุณไม่คิดจะเรียกร้องสิทธิ์เพื่อฉันกับลูกบ้างเลยหรือคะ" จู้หลี่นาพูดด้วยน้ำเสียงน้อยใจ หยางเหยาอินถอนหายใจไปครั้งหนึ่งพร้อมกับบอกเธอว่า" ผมเป็นลูกชายคนโตคนเดียวของบ้าน สมบัติทุกอย่างสุดท้ายก็ต้องตกเป็นของผมอยู่แล้ว ยังจะต้องเรียกร้องอะไรอีก อีกอย่างน้องเล็กหล่อนไม่มีทางอยู่ที่บ้านหลังนี้ต่อไปแน่ ถ้าหล่อนมีที่ไป" เขาจะต้องกลัวอะไรกัน มีบ้านซุกหัวนอนก็ดีแค่ไหนแล้ว ตามท้องถนนมีขอทานนอนตายข้างทางทุกวันเขานั้นโชคดีเพียงไหนกัน"ฉันหมายถึงสิ่งที่น้องกับแม่คุณดูถูกฉันน่ะค่ะ ทำไมคุณถึงไม่ปกป้องฉันบ้าง"" แม่ผมก็เหมือนแม่คุณเหมือนกัน คุณแต่งเข้าบ้านหยางเป็นคนตระกูลหยางแล้วระวังคำพูดด้วย" หยางเหยาอินทำงานมาเหนื่อยๆ แถมมาเจอภรรยางี่เง่า เขาเริ่มจะอารมณ์เสียบ้างแล้ว"คนตระกูลหยางอย่างนั้นหรือคะ แล้วพวกเขาเห็นฉันเป็นคนในครอบครัวหรือไม่ละคะ คุณรู้หรือไม่คะว่าแต่ละวันฉันใช้ชีวิตกันเช่นไรลูกต้องคอยหลบอาแท้ๆ ของพวกเขา ที่ไม่รู้ว่าเธอจะระเบิดอารมณ์ใ
" หลี่เล่อเยียน ออกมาเดี๋ยวนี้นะ หล่อนคิดว่าตัวเองเป็นใคร ถึงกล้าทำกับลูกสาวของฉันเช่นนี้" ซิงเยียนไม่คิดไว้หน้าใครอีก ในเมื่อไม่เห็นหัวกันเพียงนี้ ก็อย่าได้มานับญาติกันอีกเลย" มีธุระอะไรกับภรรยาผมหรือครับ " หยางหมิงเฉิงลุกขึ้นไปเปิดประตูทันที หลังจากที่ได้ยินเสียงของน้าสะใภ้ ส่วนเจินเจินนั้นได้ยินเสียงย่าก็สะดุ้งตกใจกลัว รีบไปอยู่ในอ้อมกอดของแม่ในทันที" อ้อ...มาแล้วหรือ นายปล่อยให้นางจิ้งจอกนั่นรังแกน้องสาวตัวเองได้อย่างไรกัน ตั้งแต่แต่งแม่นั่นเข้ามา บ้านนี้หาความสุขไม่ได้เลย ชีวิตมีแต่ความฉิบหาย เฮงซวย เฮงซวยจริงๆฉันเลี้ยงลูกของฉันมาอย่างดี เฝ้าทะนุถนอมไม่เคยลงไม้ลงมือสักครั้ง ลูกสาวฉันเป็นนักศึกษาระดับมหาวิทยาลัย หล่อนกล้าดีเช่นไร นังเล่อเยียน ออกมาเดี๋ยวนี้นะหมาป่าตาขาวหลบอยู่ในบ้านทำไม ออกมาซิ วันนี้ถ้าเลือดหัวหล่อนไม่ออก อย่ามาเรียกฉันว่าซิงเยียนอีกเลย หึ" น้าสะใถ้โมโหเลือดขึ้นหน้า ถ้าไม่มีคนแต่งลูกสาวเธอเข้าบ้าน งานนี้จะต้องมีคนรับผิดชอบ"ก็ลองดูครับ ถ้าคิดว่าจะทำร้ายภรรยาของผมได้ ผมก็จะไม่เกรงใจใครเหมือนกัน ถ้าใจเย็นลง คิดได้แล้วค่อยมาคุยกันครับ เพราะผมก็มีเรื่องจะคุยกับน้า
" ไม่จริงค่ะ อาเจินบอกแล้วว่าน้องสะใภ้ซื้อให้ แต่น้องเล็กไม่เชื่อกล่าวหาว่าลูกของพี่พูดโกหก ดีที่น้องสะใภ้มาทัน ไม่อย่างนั้นเจินเจินคง....ฮึก " สะใภ้ใหญ่พูดขึ้นบ้าง เป็นตายร้ายดีอย่างไรเธอจะไม่มีวันยอมเด็ดขาด ทำไม่ดีกับเธอ เธอทนได้ แต่จะมาทำกับลูกของเธอแบบนี้ เธอไม่ยอมแน่ ๆ เป็นไงเป็นกัน หากวันนี้สามียังไม่ยอมเข้าข้างเธออีก เธอจะพาลูกกลับไปยังบ้านเดิมที่จากมา" พี่สะใภ้คอยให้ท้ายลูกจนเสียคน แบบนี้นี่เองเจินเจินถึงไม่เกรงกลัวใคร หล่อนคงกลัวว่าฉันจะไปแย่งหล่อนกินน่ะค่ะ แหม...ฉันโตขนาดนี้แล้วจะไปกินนมแบบนั้นได้อย่างไรกันไม่มีอะไรแล้วล่ะค่ะ พี่กลับบ้านไปพักผ่อนเถอะ เรื่องวันนี้ถือว่าเป็นการเข้าใจผิดกันก็แล้วกัน อีกอย่างฉันก็ยังไม่ได้ทำอะไรเจินเจินเลยสักนิดถือว่าแล้วกันไปละกันค่ะส่วนเรื่องที่ภรรยาของพี่ทำหัวฉันแตก ฉันยอมไม่ได้จริง ๆ ค่ะ หล่อนตั้งใจโยนมาใส่หัวฉันเต็มๆ แรง แบบนี้เจตนาฆ่ากันชัดๆ เลยค่ะ " หยางเซินซินหน้าซีดขึ้นมาทันทีที่เห็นสีหน้าของพี่ชาย เธอยอมจบเรื่องสองแม่ลูกนั่นก็ได้ เพราะเธอผิดเต็มๆ ที่ไม่ยอมฟังเหตุผลของเจินเจิน แต่เรื่องที่หัวเธอแตกวันนี้ยอมไม่ได้แน่นอน ถึงบอย่างไรก็ต







