หลังจากที่สำรวจสิ่งของติดตัวของเจ้าของร่างเดิมแล้ว หลี่เล่อเยียนก็ลุกขึ้นไปชำระร่างกาย ดูท่าทางเมื่อคืนนี้คงไม่ได้อาบน้ำเป็นแน่
" ไม่ว่าเธอจะได้ยินฉันหรือไม่ ไม่ว่าเธอจะอยู่ที่ไหน ฉันขอสัญญาว่าจะทำให้ร่างของเธอร่างนี้มีความสุข ฉันจะใช้ชีวิตให้ดี ไม่ทำให้เธอมัวหมอง ขอเธอไปสู่ภพชาติที่ดี "
หลี่เล่อเยียนให้คำมั่นกับร่างเดิม และเริ่มสำรวจตัวเองในร่างใหม่ นี่สินะคือหญิงสาวสมัยก่อนผิวพรรณหล่อนช่างขาวราวกับหิมะ ผิวนุ่มเนียนละเอียด เธอคงจะเป็นลูกรักของสวรรค์สินะ หลี่เล่อเยียน ไม่ว่าจะเป็นร่างสูงโปร่ง กะจากความรู้สึกน่าจะไม่ต่ำกว่า 165 เซนติเมตรเป็นแน่ ไหนจะเอวบางคอดกิ่วนี่อีก บนความโชคร้ายยังคงหลงเหลือความสวย ให้เธอได้รู้สึกโชคดีขึ้นบ้างล่ะนะ เมื่อชื่นชมกับร่างนี้มามากพอแล้ว ก็ได้เวลาทำความสะอาดร่างกายแล้วล่ะ เนื่องจากเหงื่อที่ขับพิษไข้ออกมานั้นเหนียวเหนอะหนะมาก
หลี่เล่อเยียนต้องการชำระล้างร่างกายโดยด่วน เธอดูข้าวของเครื่องใช้ ไม่ได้มีอะไรมากไปกว่าก้อนสบู่ ที่เพียงแค่จับก็แตกละลายไปกับมือแล้ว เนื่องจากมันแบนจนแทบจะละลายไปกับน้ำเมื่อสัมผัสมัน มีแปรงสีฟันอยู่หนึ่งอัน แล้วยาสีฟันล่ะอยู่ไหน เอาล่ะไม่หาแล้ว ใช่ว่าเธอจะไม่ได้เอามาสักหน่อย หลี่เล่อเยียนหยิบของใช้จำเป็นออกมาพร้อมแกะกล่องออกเรียบร้อยป้องกันคนมาเห็น และสอบถามแหล่งที่มา เธอยังอยากใช้ชีวิตแบบสงบสุข ไม่อยากถูกมองว่าเป็นปีศาจจิ้งจอกลงมาสิงร่างงามนี้หรอกนะ ถึงแม้ว่ามันจะไม่ต่างกันมากเท่าไหร่ก็ตาม
โชคดีที่บ้านพักหลังนี้มีห้องน้ำทำให้ไม่ต้องเดินไปหาโรงอาบน้ำให้วุ่นวาย หลี่เล่อเยียนเดินไปตามความทรงจำของร่างเดิม
เธอจัดการอาบน้ำสระผม จึงค่อยรู้สึกสดชื่นขึ้นมาหน่อย ยังดีที่เตรียมชุดชั้นในมาด้วย ไม่อย่างนั้นเธอคงทำใจไม่ได้จริง ๆ เมื่อร่างกายสะอาดแล้วท้องก็เริ่มประท้วง ดูท่าแล้วคงจะยังไม่ได้กินอะไรตั้งแต่เมื่อคืน จากนั้นหลี่เลอเยียนจึงเดินไปยังครัว ซึ่งก็ไม่ได้แตกต่างไปจากที่คิดไว้เท่าไหร่ คือแทบจะไม่เหลืออะไรให้ทำกินเลยด้วยซ้ำไป เธอจึงนำเอาไข่มาทำซุปไข่น้ำ ตามด้วยข้าวหักท่อนมาเคี่ยวเป็นโจ๊ก ถ้ามีเม็ดบัวด้วยคงจะดีไม่น้อยเลย แต่จะทำไงได้ล่ะ มันนึกไม่ออกนี่นาว่าต้องเตรียมอะไรบ้าง แต่สิ่งที่เธอไม่ลืมคือพุทราแห้ง เพราะเธอชอบกินมาก คิดได้ดังนั้นจึงนำมาใส่ในโจ๊กด้วย จากนั้นก็ใส่เครื่องปรุงเพื่อเพิ่มรสชาติเป็นอันเรียบร้อย
หลังจากกินข้าวอิ่มแล้ว เธอเก็บอาหารที่เหลือ นำไปไว้ยังห้องนอนของตัวเอง ทำการถ่ายเทอาหารใส่ชามที่เธอนำออกมาจากมิติแล้วเรียบร้อย จากนั้นจึงทำความสะอาดในครัว
เมื่อท้องอิ่มแล้ว หลี่เล่อเยียนจึงเดินสำรวจรอบ ๆ บ้าน บ้านพักหลังนี้มีคนอาศัยอยู่ด้วยกันทั้งหมด 5 คน มีห้องทั้งหมด 3 ห้อง เธอเป็นตัวเศษและยอมที่จะอยู่ห้องเล็ก เดิมทีน่าจะเป็นห้องสำหรับเก็บฟืนหรือไม่ก็เก็บอาหารมากกว่าห้องพักอาศัย
หลังบ้านมีแปลงผักอยู่เล็กน้อยนั่นคือมะเขือเทศ ผักกาด และแตงกวา ซึ่งนับว่าไม่ได้ต่างจากผักสวนครัวทั่วไปสักเท่าไหร่
เวลานี้ทุกคนคงจะออกไปทำงานที่ทุ่งนากันหมดสินะ ออกไปสำรวจร้านค้าสหกรณ์ดีไหมนะ ไปดูว่าตอนนี้มีอะไรขายบ้าง แต่ยังดีกว่า..เธออยากจะจัดการกับสุขอนามัยของห้องเธอก่อน ว่าแล้วก็จัดการเลยก็แล้วกัน
ครึ่งวันที่เหลือ หลี่เล่อเยียนหมดไปกับการทำความสะอาดห้องครั้งใหญ่ เนื่องจากบ้านพักนี้เป็นบ้านดินเหนียว ยังดีที่มีหน้าต่าง ไม่สิต้องเรียกว่ารูระบายอากาศที่พอจะหายใจออกได้บ้างถึงจะถูก
เล่อเยียนนำเอาฟูกนอนออกมาพร้อมกับหมอนและผ้าห่มผืนใหม่ นำมาวางทับไว้กับผืนเก่า เพื่อที่จะไม่เป็นที่สงสัยแต่จริง ๆ แล้ว ไม่ค่อยมีใครมายุ่งวุ่นวายกับห้องนอนของเธอสักเท่าไหร่หรอก ต่างคนต่างอยู่มากกว่า
เมื่อทำความสะอาดห้องเรียบร้อย ก็เป็นเวลาที่คนอื่น ๆ กลับมาจากทำงานในทุ่งนาพอดี เพราะเสียงของฟ่านเหมยเหมยดังมาแต่ไกล
" โอ๊ย..เหนื่อย เหนื่อย ไหล่ฉันจะขาดออกจากกันอยู่แล้ว " เสียงนี้คนในบ้านฟังจนชินชาไปแล้ว
" นี่ จนป่านนี้แล้ว หลี่เล่อเยียนยังไม่ออกมาทำอาหารอีกหรือ มุดหัวอยู่แต่ในรูหรืออย่างไร ฉันหิวไส้จะขาดอยู่แล้วนะ " โวยวายเป็นที่หนึ่งน่ารำคาญนางหมูสกปรกนี้จริง ๆ เชียว หลี่เล่อเยียนได้แต่ขมวดคิ้วก่นด่าอยู่ในใจ
" เล่อเยียนไม่สบาย เดี๋ยวฉันเป็นคนทำอาหารมื้อเย็นเองแล้วกัน" เหอหมี่เมี่ยน สาวน้อยผู้แสนดีอาสาทำมื้อเย็นของวันนี้
" ไม่ได้.... หน้าที่ใครคนนั้นก็ต้องรับผิดชอบ " ฟ่านเหมยเหมยขึ้นเสียงทันที หล่อนไม่ยอมหรอก เรื่องอะไรจะให้นางจิ้งจอกหน้าสวยนั่นนอนกินแรงคนอื่น
ใกล้ถึงกำหนดส่งขนมตามที่นัดกันเอาไว้แล้ว ทั้งสามคนเริ่มตามแผนการคือ เล่อเยียนแกล้งป่วยขอลางาน หมี่เมี่ยนขอลาด้วยให้เหตุผลว่าไม่มีคนดูแลเล่อเยียน ส่วนหม่ายวี่ไท่ลากเหมยเหมยและฮุ่ยหลินออกจากบ้านพักตั้งแต่เช้า ก่อนที่เสียงระฆังจะเตือนให้ลงพื้นที่ด้วยซ้ำจากนั้นเล่อเยียนเริ่มขนอุปกรณ์ รวมถึงวัตถุดิบออกมาจากห้อง พร้อมทั้งบอกหมี่เมี่ยนว่าซื้อมาตั้งแต่ติดเกวียนของลุงในหมู่บ้านเข้าเมือง หมี่เมี่ยนถามเล่อเยียนว่าไม่กลัวเธอจะขโมยสูตรไปทำขายบ้างหรือ" ถ้าเธออยากทำขายฉันก็ไม่ขัดหรอก ขอแค่อย่าแย่งลูกค้ากันก็พอ " แต่ความจริงแล้วมันเป็นไปไม่ได้เลยที่ หมี่เมี่ยนจะทำขายได้ เพราะทุกอย่างต้องใช้เงินลงทุน อาศัยเพียงแค่สูตรอย่างเดียวไม่มีทางเป็นไปได้ทั้งสองช่วยกันอย่างขยันขันแข็ง กลิ่นของขนมโก๋ช่างหอมยั่วยวนเหลือเกิน กลิ่นมันหอมไปทั่วบริเวณบ้าน เพราะพวกเธอทำในปริมาณที่มาก วันแรกผ่านไปด้วยดีทั้งสองคนช่วยกันทำจัดขนมใส่กล่องเวลาในการทำขนมแต่ละครั้งใช้เวลานึ่งประมาณ 45 นาที นึ่งครั้งหนึ่งได้ประมาณครั้งละ 6 ชิ้น เมื่อนับแล้ววันนี้ทำขนมได้ทั้งหมด 50 กล่อง เป็นแบบนี้ทำไม่ทันแน่นอนเพราะเธอทำได้แค่เฉพาะกลางวันเพ
เมื่อจัดการทุกอย่างที่บ้านหลี่เรียบร้อยแล้ว หยางหมิงเฉิงก็ต้องเข้ากรมแลกวันหยุดกับเพื่อน เพื่อที่จะเดินทางไปหาหลี่เล่อเยียนอีกครั้ง ครั้งนี้เขามั่นใจเต็มสิบส่วน ว่าคนที่เจอที่ร้านบะหมี่คือเธอแน่นอน แต่อาจจะต้องสืบอีกทีว่าเธออยู่ที่หมู่บ้านไหนเขาได้เรียนรู้แล้วว่าการที่เขาเงียบไม่ได้ช่วยแก้ปัญหาทุกอย่าง อย่างน้อยที่สุดตอนนี้พ่อของเล่อเยียนก็เข้าใจลูกสาวแล้ว และเสียใจกับการตัดสินใจที่ผิดพลาดในครั้งนี้ หลี่ฮ่าวตูอาสาจะเป็นคนไปแทนเล่อเยียน แล้วให้น้องสาวของเขากลับมามีชีวิตที่ดี ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่ายเลยว่าจะทำได้ส่วนสองแม่ลูกหนูนั้นก็ถูกคาดโทษ เพราะการกระทำของคนเป็นแม่ เธอสารภาพว่าแผนการทุกอย่าง เธอนั้นลงมือทำเองคนเดียว ลูกสาวอย่างหรูฟางเซียนนั้นไม่รู้เห็นเรื่องนี้กับเธอด้วยกล่าวตามที่แม่เลี้ยงหรูรับสารภาพ ว่าเธอทำเรื่องน่าอายในงานเลี้ยงฉลองตำแหน่งใหม่ของ หยางหมิงเฉิงและซุยเถาหยวน ทั้งสองมาเลี้ยงฉลองที่บ้านของตระกูลหลี่ เพราะมีข่าวแว่วมาว่าทางการจะเกณฑ์พวกนักศึกษาจบใหม่ หรือที่กำลังเรียนอยู่นั้นไปเข้าค่ายชนบทห่างไกล เพื่อทำงานแลกแต้มค่าแรงว่ากันตามตรงคือคนที่เหมาะสมที่สุดคงหนีไม่พ้นหลี่
" อืม ฉันจะไปคุยกับคุณลุงเอง " หยางหมิงเฉิงคิดตำหนิตัวเองที่ไม่ยอมทำอะไรให้ชัดเจน ปล่อยให้เรื่องราวเลวร้ายจนทำลายชีวิตของหญิงสาวคนหนึ่งรอจนเวลาพลบค่ำ หลี่ฉินผู้เป็นพ่อของหลี่เล่อเยียนก็กลับมาถึงบ้าน ทันทีที่เขาเจอกับหยางหมิงเฉิงก็ตกใจไม่น้อยเพราะระหว่างเขาและหมิงเฉิงนั้นมีสัญญาใจกันอยู่ แต่จะให้เขาทำเช่นไรได้ล่ะ เพราะลูกสาวของตนเป็นคนไม่ดีเอง เขาผู้เป็นคนกลางจึงต้องให้ความยุติธรรมที่สุด" สวัสดีครับคุณลุง ไม่เจอกันนานสบายดีนะครับ " หยางหมิงเฉิงเป็นฝ่ายกล่าวทักทายผู้ใหญ่ก่อน พ่อของเล่อเยียนดูผอมลงเล็กน้อยเหมือนคนที่พักผ่อนไม่เพียงพอ" นั่งสิ กลับมาถึงตั้งแต่เมื่อไหร่ล่ะ " หลี่ฉินตั้งสติได้ก็เริ่มบทสนทนา ท่าทางสุขุมของเขาที่ต้องทำงานพบปะผู้คนมากมาย พอจะช่วยลดอาการประหม่า เวลาที่เจอกับผู้ชายตรงหน้าเขาได้ รังสีของชายชาติทหารมันแผ่ออกมาโดยที่หยางหมิงเฉิงนั้นไม่ต้องทำอะไรเพียงแค่นั่งเฉยๆ ก็ดูน่าเกรงขาม" ครับ พึ่งมาถึงเมื่อคืนผมเห็นว่าดึกแล้วน่ะครับเลยไม่ได้มาหาคุณลุงก่อน " หลี่ฉินพยักหน้าเข้าใจ ก่อนจะถอนหายใจแล้วเข้าเรื่อง" เธอไปแล้วล่ะ ฉันขอโทษที่ทำตามสัญญาไม่ได้ " หลี่ฉินเอามือประสานกั
กล่าวถึงนายทหารหนุ่มที่ร้อนใจขออนุญาตผู้บังคับบัญชา มุ่งหน้ากลับสู่เมืองหลวงก่อนกำหนดเดิม โดยรายงานว่ามีเหตุจำเป็นสำคัญ นายทหารยศใหญ่เดิมทีชอบในฝีมือและผลงานของเขา อีกทั้งยังหมายตาให้เป็นว่าที่ลูกเขย จึงพยายามที่จะสนับสนุนเต็มที่ ครั้งนี้จึงไม่มีปัญหาในการขอลากิจด่วน อีกอย่างภารกิจก็สำเร็จลุล่วงไปด้วยดี ไม่มีอะไรน่ากังวลหยางหมิงเฉิงเดินทางโดยรถไฟ ถึงแม้ว่าการเดินทางจะยากลำบากไปบ้าง แต่เพื่อให้หายขับข้องใจถึงอย่างไรเขาต้องรู้ให้ได้ว่าเกิดอะไรขึ้น ในเมืองชนบทเขาพยายามตามหาเธอจนทั่วทุกที่ที่เขาคิดว่าเธอจะไป แม้กระทั่งในค่ายชนบทของเหล่าปัญญาชน เขาไม่แน่ใจว่าเธอจะอยู่ในค่ายนั้นหรือไม่ เพราะคิดว่าครอบครัวของเธออย่างไรก็คงไม่ปล่อยให้มาเป็นแน่เธอมีพี่ชายที่ทั้งรักและหวงแหนเธอดั่งแก้วตาดวงใจขนาดนั้น เขาจะทนให้เธอมาลำบากได้อย่างไรกัน แต่เขาคิดไม่ตกสำหรับผู้หญิงที่เจอที่ร้านบะหมี่ ทำไมเขาถึงไม่เดินไปหาเธอให้รู้เรื่องกันนะ ไม่อย่างนั้นตอนนี้คงไม่ต้องมานั่งร้อนใจ เพราะเป็นห่วงเช่นนี้ระยะเวลา 3 วัน 3 คืน ที่เขานั้นเดินทางมา ในที่สุดก็ถึงปักกิ่ง แต่ขอบอกว่าเวลานี้นั้น ปักกิ่งไม่น่าอยู่เลยสักนิด ม
อี้หยางที่นั่งนิ่งๆ ตักข้าวกินไปด้วยพร้อมกับสังเกตเล่อเยียนไปด้วย เขารู้สึกสงสารเธอจับใจ นี่มันแร้งลงโต๊ะกินข้าวหรืออย่างไรกัน ทำไมถึงเป็นกันได้เพียงนี้ ไม่เว้นแม้แต่คนในครอบครัวของเขา นี่พวกเขาอดอยากกันมากถึงเพียงนี้เชียวหรือแม่เฒ่าเว่ยเก็บอาการโมโหไว้ในใจ ลำพังพวกบรรดาลูกสะใภ้หล่อนจัดการสั่งสอนทีหลังได้ แต่แม่หนูฟ่านเหมยเหมยนี่อะไรกัน หล่อนเป็นหมูมาเกิดหรืออย่างไร ทำไมถึงได้กินมูมมามเสียงดังเพียงนี้ ทั้งยังกินแต่จานเนื้อ ไม่สนใจใครเลยด้วยซ้ำ หนูเล่อเยียนรึหล่อนหยิบแต่จานผัก อาหารที่หล่อนนำมาเธอยังไม่เห็นว่าที่ลูกสะใภ้แตะมันเลยแม้แต่น้อย"นี่พวกเธอไปอดอยากจากที่ไหนมากัน ไม่อายแขกของฉันกับอี้หยางบ้างเลยหรืออย่างไร " สุดท้ายแม่เฒ่าเว่ยก็ทนไม่ไหว จำต้องแสดงด้านโหดออกมาให้เล่อเยียนเห็น" เหลือไว้ให้คนอื่นเขากินบ้าง อาหารในปากก็เคี้ยวให้หมดเสีย ก่อนที่มันจะติดคอเพราะยัดไม่เลือก" แม่เฒ่าเว่ยโมโหจนตัวสั่น อีกทั้งเธอยังว่ากระทบฟ่านเหมยเหมยอีกด้วย ถึงแม้ว่าจะไม่กล้าว่าต่อหน้าก็ตาม" ไม่เป็นไรค่ะ ทุกคนกินกันเลยค่ะ ฉันไม่ค่อยชอบเนื้อเท่าไหร่ " หลี่เล่อเยียนตอบออกมายิ้มแบบฝืนๆ ใจจริงเธออยากจะบอ
เมื่อไปถึงบ้านเว่ย แม่เฒ่าเว่ยก็ออกมารอต้อนรับอยู่ที่หน้าบ้านแล้ว วันนี้เธอจะต้องได้กินข้าวร่วมโต๊ะกับว่าที่ลูกสะใภ้คนนี้ให้ได้เธอให้ลูกสะใภ้ทั้งสองเตรียมอาหารเนื้อชุดใหญ่ เพราะลูกชายเธอเป็นคนซื้อเนื้อมาเอง ถึงแม้ว่าเว่ยอี้หยางจะยังไม่แยกบ้าน แต่เขาก็พอมีเงินเก็บส่วนตัวบ้าง ไม่ได้ส่งให้แม่ไปจนหมดเผื่อกรณีฉุกเฉินจะได้ไม่ลำบากเมื่อทั้งสามคนไปถึง อาหารก็ขึ้นโต๊ะพร้อมกินได้แล้วสมาชิกบ้านเว่ยมีทั้งหมด 10 คน ผู้ใหญ่ 7 คน เมื่อหลี่เล่อเยียนและฟ่านเหมยเหมยมาร่วมกินด้วย เด็ก ๆ จึงแยกโต๊ะ รวมถึงลูกสาวคนเล็กคนเดียวของบ้านเว่ยด้วย แม้ว่าเธอจะมีอายุเท่ากับเล่อเยียนก็ตาม" กับข้าววันนี้พี่เขาซื้อมาจากในเมือง หนูเล่อเยียนกินให้อร่อยนะจ๊ะ""จริงสิแล้วนี่ใครกันหรือ ป้าเหมือนจะเคยเห็นหน้า แต่ไม่รู้จักชื่อเพื่อนของหนูเล่อเยียนเองหรอกหรือจ๊ะ" แม่เฒ่าเว่ยว่าจะถามตั้งแต่เข้ามาในบ้าน แต่ก็มัวลืมรีบพาเล่อเยียนไปนั่งที่โต๊ะอาหาร กลัวว่าหล่อนจะลุกวิ่งหนีไปอีกเหมือนกับครั้งที่ผ่านมา"หนูชื่อฟ่านเหมยเหมย เป็นเพื่อนของเล่อเยียนค่ะคุณป้า เอ่อ..พอดีหนูมาเป็นเพื่อนเธอน่ะค่ะ ให้เล่อเยียนมาคนเดียวเห็นจะดูไม่เหมาะสัก