สิบแปดปีต่อมา
ยามนี้หิมะแรกตกโปรยปรายราวกับละอองฝนไปทั่วทั้งแคว้นฉิน ทำให้ผู้คนที่ออกมาเที่ยวเดินชมงานรื่นเริงประจำปีต่างรู้สึกเบิกบานใจ บ้างอธิษฐานขอให้พบแต่ความสงบสุข บ้างขอให้ได้เจอคนรักในเร็ววัน มีไม่น้อยที่มัวแต่เล่นสนุกสนานอยู่บนลานน้ำแข็งที่ไม่มีวันละลาย
“ศิษย์พี่รอข้าด้วย!” เสียงเจื้อยแจ้วของเด็กอายุเจ็ดขวบดังขึ้นเพราะไสลากเลื่อนตามศิษย์พี่ของเขาไม่ทัน
“ซิ่นเฉิง ข้าจะไปรอเจ้าที่เส้นชัย รีบ ๆ ตามมาเล่า” หญิงสาวผู้หนึ่งตอบกลับ
“ศิษย์พี่หลวนเล่อ แบบนั้นไม่เรียกว่ารอแล้วขอรับ คราวนี้ท่านยอมข้าหน่อยไม่ได้หรือ” ซิ่นเฉิงรีบไสลากเลื่อนให้เร็วขึ้นกว่าเดิมเมื่อเห็นว่านางใกล้จะถึงจุดหมายแล้ว สีหน้าของเขาดูจริงจังเสียจนศิษย์อีกสองคนที่ยืนดูรู้สึกเอ็นดู
“หลวนเล่อ เจ้าโตจนป่านนี้แล้วยังชอบแกล้งเขาอยู่เรื่อย เพลา ๆ บ้างเถิด” น้ำเสียงหวานละมุนเอ่ยปากห้ามปราม
“ดูเหมือนว่าจะไม่ได้ฟังที่ศิษย์พี่พูดเลยนะขอรับ” ศิษย์น้องของนางชี้ให้ดูคนทั้งสองที่ตั้งหน้าตั้งตาไสลากเลื่อนอย่างสุดกำลัง
“เฮ้อ! ข้าเข้าใจแล้วว่าทำไมอาจารย์ถึงฝากฝังงานทุกอย่างไว้กับเจ้า เหลียนเฟิน” นางตบบ่าเขาแล้วส่ายหน้าปลงกับนิสัยไม่รู้จักโตของหลวนเล่อ
เหลียนเฟิน ศิษย์วังธาราเหมันต์อายุสิบแปดปี กำลังยืนมองศิษย์พี่ศิษย์น้องของตนเองด้วยสีหน้ายิ้มแย้มมีความสุข พลางคิดถึงอาจารย์ของเขาที่ปิดด่านกักตนเมื่อปีที่แล้ว
“คิดถึงอาจารย์หรือ” ศิษย์พี่หญิงซีหลิวถามเขา “กว่าอาจารย์จะออกด่าน เจ้าคงจะฝึกวิชาขั้นสูงผ่านแล้วกระมัง”
“ใช่ ๆ อาจารย์ต้องภูมิใจในตัวเขามากแน่ ๆ” ศิษย์พี่หญิงหลวนเล่อพูดสมทบ แม้นางจะมีอายุมากกว่าเหลียนเฟินสองปี แต่นางไม่เคยคิดว่าตนเองจะต้องเก่งกาจกว่าเขา ในเมื่อมีคนเก่งทุกอย่างแทนนางแล้ว นางขอใช้ชีวิตสบาย ๆ จะดีกว่า
ขณะที่ทั้งสี่คนกำลังพูดคุยกัน เสียงระฆังบอกเวลาย่ำค่ำก็ดังเหง่งหง่างก้องกังวาน
“ใครแพ้ต้องสละถ้วยของหวาน” ซิ่นเฉิงหันมาท้าหลวนเล่ออย่างเคยก่อนจะออกตัววิ่งนำหน้านางไปหลายก้าว
“เจ้าซิ่นเฉิง อย่ายุ่งกับถ้วยของหวานข้านะ” หลวนเล่อตะโกนตามหลัง เพราะรู้ว่าของหวานวันนี้เป็นของโปรดนาง ทำให้อีกสองคนที่เหลือได้แต่หัวเราะกับความสดใสของคนทั้งคู่
“สองคนนั้นเล่นได้ทุกเวลาจริง ๆ เลย เหลียนเฟิน” ซีหลิวเอ่ยปาก
“ศิษย์พี่หลวนเล่อเล่นกับซิ่นเฉิงคนเดียวนี่ขอรับ กับผู้อื่นนางไม่ยอมให้ถึงเพียงนี้หรอก” เหลียนเฟินยิ้มให้เพราะรู้ว่าศิษย์พี่หญิงผู้นี้เอ็นดูซิ่นเฉิงมาก
“ซิ่นเฉิง เจ้าระวังสะดุดล้ม” ทว่านางห้ามไม่ทันแล้ว เด็กน้อยหัวทิ่มพื้นน้ำแข็งจนหน้าผากปูดแดง ทำหน้าตาเหมือนจะร้องไห้
“อย่าเพิ่งร้อง!” หลวนเล่อตะโกนก้องพร้อมร่ายอาคมหนึ่งส่งมาทางซิ่นเฉิง พลันบาดแผลเยียวยาในพริบตา “ไม่เป็นไรแล้ว”
“ไม่เจ็บแล้ว เดี๋ยวข้ายกของหวานมื้อนี้ให้ ดีหรือไม่” หลวนเล่อลูบศีรษะปลอบใจ
“ศิษย์พี่...” เขามองหน้าศิษย์พี่ทั้งสามคน รู้สึกอบอุ่นใจเมื่ออยู่กับพวกเขา
“วันนี้ข้ายอมให้เจ้าขี่หลัง มานี่สิ” เหลียนเฟินพูดแล้วนั่งลงข้าง ๆ เขา
ด้านหน้าประตูสำนัก รอยยิ้มบางปรากฏบนใบหน้าของอาจารย์อาผู้เห็นเหตุการณ์ทั้งหมด เขาส่ายหัวปนเอ็นดูเหล่าลูกศิษย์ของตนเอง สายตามองไปยังอีกฟากหนึ่งของทะเลสาบที่อยู่ไกลโพ้น “หมิงฮวา ข้าอยากให้เจ้าได้เห็นลูกศิษย์ของเจ้าในเวลานี้จริง ๆ รีบออกด่านมาหาพวกเขาเถิด”
นับตั้งแต่เกิดเรื่องวุ่นวายครั้งนั้น วังธาราเหมันต์ก็ปิดสำนักไม่ให้ผู้ใดได้เข้าใกล้สถานที่อันศักดิ์สิทธิ์ หมิงฮวายังคงเศร้าเสียใจกับการจากไปของหนิงเกอ แต่นางไม่ปล่อยให้ตัวเองอาลัยอาวรณ์นานนักเพราะรู้ว่าโลหิตมารของหวังเยี่ยนหลงร้ายกาจเพียงใด วันหนึ่งคนผู้นั้นอาจหวนกลับมาที่แห่งนี้อีกก็เป็นได้
หมิงฮวาขออาจารย์แยกตัวไปฝึกวิชาและหาวิธีแก้ทางโลหิตมารของหวังเยี่ยนหลงในถ้ำน้ำแข็งตามลำพัง สุดท้ายแล้วจึงแน่ใจว่าดอกกล้วยไม้น้ำแข็งจะทำให้ร่างกายสามารถต้านทานความเจ็บปวดจากโลหิตมารได้
ทว่า หมิงฮวายังคงมีเรื่องหนึ่งที่ค้างในใจตลอดมา นางฝึกวิชาวันแล้ววันเล่าให้ตัวเองแข็งแกร่งจนเป็นมือหนึ่งที่ไม่มีใครเทียบได้ หากวันข้างหน้ามีคนอย่างหวังเยี่ยนหลงบุกมาที่สำนักอีกครั้ง นางจะได้ปกป้องทุกคนไว้ได้
เวลาผ่านไปหลายปี ศิษย์ของนางเติบโตขึ้นมากจนนางไว้วางใจ ฝากภาระหน้าที่หลายอย่างได้ จึงขอกักตนปิดด่านเพียงลำพังอีกครั้งเพื่อหวนคำนึงคิดทบทวนเรื่องราวต่าง ๆ
หลายวันต่อมา
เหลียนเฟินและศิษย์รุ่นเดียวกันเข้าสนามประลองวิชาขั้นกลางเป็นวันสุดท้ายด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม เขาไม่เคยกังวลแม้แต่น้อยเพราะรู้ว่าฝีมือของตนเองไม่เป็นรองใคร ทั้งยังได้อาจารย์ที่เก่งกาจที่สุดอย่างหมิงฮวาพร่ำสอนเช้าจนค่ำ อดหลับอดนอนหลายวัน ไม่มีทางที่เขาจะสอบตกอย่างแน่นอน
“ศิษย์พี่หญิงหลวนเล่อ ท่านว่าศิษย์พี่เหลียนเฟินจะผ่านด่านหรือไม่” ซิ่นเฉิงหันหน้าไปหานางพร้อมพนันว่าเขาจะผ่านไปได้อย่างง่ายดาย
“เขาเป็นศิษย์อันดับสามของสำนักเรา เรื่องแค่นี้หลับตายังทำได้ ข้าพนันว่าผ่านแน่นอน” หลวนเล่อยิ้มอย่างมั่นใจ
“ข้าพนันว่าผ่าน ท่านต้องบอกว่าไม่ผ่านสิ มิเช่นนั้นแล้วจะเอาของรางวัลจากผู้ใดกันเล่า” ซิ่นเฉิงทำหน้าครุ่นคิดพลางหันไปทางศิษย์พี่หญิงซีหลิวและศิษย์สำนักคนอื่น ๆ แต่ทุกคนก็พร้อมใจกันส่งสายตาตอบเขาว่า “ผ่าน!”
เหลียนเฟินเรียกกระบี่เงินสลักลายออกมา ตั้งท่ารอรับการโจมตีจากคู่ต่อสู้ สายตาเฉียบแหลมทำให้เขาหลบหลีกคมกระบี่ของอีกฝ่ายได้ทุกกระบวนท่า พลันร่ายอาคมไปที่กระบี่เงินของเขา ไอเย็นแผ่ออกมาตามด้วยลำแสงสีฟ้าพาดผ่านฉับไวเฉียดหน้าของคนตรงข้ามจนเจ้าตัวถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่
“เหลียนเฟิน เจ้าเกือบทำหน้าอันหล่อเหลาของข้าเสียโฉมแล้วนะ” เสียงของศิษย์ร่วมสำนักตะโกนบอกเขา “อาจารย์ ทำไมไม่มาประลองกับเขาเองเล่า ส่งข้ามาทำไมกัน” สวีเลี่ยงหรงหันไปพูดกับอาจารย์ของเขาที่ยังคงหัวเราะไม่หยุด เจ้าศิษย์ผู้นี้ไม่ได้ห่วงว่าตนเองจะสอบตกแต่กลับห่วงหน้าตายิ่งกว่าอะไร
“ข้าผิดเองที่คำนวณฝีมือเจ้าพลาดไป เช่นนั้นลดหนึ่งขั้นให้เจ้าฝึกกับศิษย์น้องอีกหนึ่งปีก็แล้วกัน” อาจารย์อาโบกมือพร้อมเรียกเหลียนเฟิน
“มาประลองกับข้าอีกสักหนึ่งตา หากเจ้ายืนหยัดได้หนึ่งก้านธูป ข้าจะให้เจ้าสอบผ่าน”
เหลียนเฟินโค้งคำนับกำกระบี่ไว้แน่นไม่หวาดหวั่น ด้านข้างมีศิษย์พี่ศิษย์น้องเริ่มวางเดิมพันกันอีกครั้ง เพราะเห็นว่าคู่ต่อสู้เป็นถึงอาจารย์อา
“ศิษย์พี่หลวนเล่อ ครั้งนี้ข้าพนันว่าชนะ” ซิ่นเฉิงเอ่ยท้านางอีกรอบ แต่ศิษย์สำนักทุกคนกลับหันมาหาเขาพร้อมบอกอย่างพร้อมเพรียง “ข้าก็ด้วย ชนะแน่นอน”
แต่แล้วก็มีเสียงหนึ่งตะโกนก้อง “เช่นนั้น ข้าพนันว่าเขาแพ้” ทุกคนจึงหันมามองยังต้นเสียง ผู้ใดกันมั่นใจนัก ไม่รู้หรือว่าเหลียนเฟินเก่งกาจเพียงใด ต่อให้หนึ่งชั่วยามก็สามารถยันพลังของอาจารย์อาได้
ครั้นพอได้เห็นต้นเสียง ซิ่นเฉิงก็โวยวายขึ้นมาในทันที “อาจารย์อา ท่านพนันเข้าข้างตนเองมากเกินไปแล้ว อยากต่อเวลาอีกสักนิดหรือไม่ขอรับ”
“อาจารย์อา อย่าได้ฟังเสียงพวกนั้นนักเลยขอรับ ข้าพร้อมแล้ว” ฉับพลันสายตาของเหลียนเฟินก็เปลี่ยนไป
หมิงฮวา ลูกศิษย์เจ้าช่างเหมือนเจ้าจริง ๆ เขาคิดในใจรู้ดีว่าเหลียนเฟินต้องทำได้อย่างแน่นอน
ท่าเรือเมืองเฟิง “เหลียนเฟิน เจ้ารีบออกมาได้แล้ว ข้าหิว” หลวนเล่อตะโกนบอกเขา สายตาจ้องไปยังร้านค้าต่าง ๆ ที่อยู่ไกลลิบ “เรียบร้อยแล้วขอรับ” เขาเดินออกมาหานาง ก้มมองดูเสื้อผ้าชุดใหม่ ท่าทางไม่ค่อยคุ้นชิน เหลียนเฟินเปลี่ยนมาสวมชุดเสื้อผ้าพื้นเมือง เดิมทีมักจะมัดผมสูงสวมกวานสีเงินเด่นสง่า เวลานี้เกล้าผมจุกเล็ก ๆ ถักเปียห้อย มีลูกปัดสีทองสะบัดไปมายามลมพัดไหว “ทำไมศิษย์พี่แต่งเป็นบุรุษเล่า” เขาเพิ่งจะเห็นว่าหลวนเล่อแต่งกายเหมือนกันไม่ผิดเพี้ยน “อยู่ต่างบ้านต่างเมือง ข้าเป็นเพียงผู้หญิงตัวเล็ก ๆ เกรงว่าเปิดเผยตัวตนมากไปจะเกิดอันตราย” หลวนเล่อยิ้มกว้าง “แต่เหลียนเฟิน เอาหนวดไปติดดีหรือไม่ เจ้าแต่งเป็นบุรุษเหมือนกับข้าก็จริง เหตุใดถึงดูราวกับเป็นน้องสาวข้าไปได้ หรือว่าเจ้าจะลองเปลี่ยนโฉมเป็นสตรีแสนงดงามแทน” “ศิษย์พี่ล้อข้าเล่นอีกแล้ว รีบเข้าไปข้างในตัวเมืองกันก่อนฟ้าจะมืดเถิด” ทั้งคู่ตรงดิ่งไปที่ร้านขายบะหมี่ สั่งอาหารมาคนละสองชาม นั่งซดน้ำซุปแสนอร่อยไม่สนใจสิ่งอื่นใดอีกต่อไป คล้อยหลังตะวันลับฟ้า บ้านเรือนร้านค้า
รุ่งเช้าวันต่อมา สีหน้าเรียบเฉยของคนผู้หนึ่งยืนดูเหตุการณ์ชุลมุนอยู่ข้างบนระเบียงชั้นสองของโรงเตี๊ยม เขาไม่มีทีท่าสะทกสะท้านหวาดกลัวเฉกเช่นคนทั่วไป พลันรอยยิ้มมุมปากปรากฏขึ้นเพราะแน่ใจแล้วว่าผู้ที่สร้างเรื่องทั้งหมดหวังสิ่งใด “ตามตัวได้หรือไม่” เสียงเย็นชาถามลูกน้องคนสนิท มือข้างหนึ่งถือถ้วยชายกดื่มสบายอารมณ์ “ยังไม่พบขอรับนายท่าน” เขารายงานตามความจริง นับตั้งแต่รับคำสั่งจากหวังเยี่ยนหลง เขาออกเดินทางสืบเสาะไปทั่วแคว้นซีเป่ย ในที่สุดก็พบว่าคนผู้นี้แอบหลบซ่อนตัวอยู่ในเมืองเฟิง ใช้วิชาของตนเองหลบหนียามเมื่อถึงคราวจวนตัว เพียงแต่ครานี้ เขากลับทิ้งร่องรอยไว้ชัดเจนมากเกินไปจนผิดสังเกต “นายท่าน กำลังคิดสิ่งใดอยู่หรือ” ชายอีกคนเอ่ยปาก “เห็นหรือไม่ว่าเจ้านั่นตั้งใจทิ้งร่องรอยของปราณมารเอาไว้” เขาชี้ไปยังข้างล่างที่มีทหารสี่ห้านายกำลังเก็บศพของชายขอทาน “วิชาของหลินหลีเหว่ยไม่เคยมีร่องรอยเช่นนั้น” “เพราะเหตุใดเล่าขอรับ” ลูกน้องทั้งสองคนยังคงไม่เข้าใจ แต่เจ้านายของพวกเขากลับคาดการณ์แผนทั้งหมดได้อย่างง่ายดาย คนผู้นี้ไ
สุดท้ายแล้ววันนั้นเหลียนเฟินก็ผ่านการสอบมาได้ กลายเป็นศิษย์ที่เหล่าอาจารย์และเพื่อนพ้องร่วมสำนักภาคภูมิใจ อาจารย์อาจึงตกรางวัลเขาด้วยวันหยุดพักผ่อนห้าวันพร้อมอัฐอีกหนึ่งถุงใหญ่เอาไว้ใช้จ่ายส่วนตัว กระนั้นความฝันที่จะได้นอนเล่นอยู่เงียบ ๆ ก็สลายไปเมื่อศิษย์พี่หญิงหลวนเล่อวิ่งหน้าตั้งเข้ามาหา สีหน้าตื่นเต้นเหมือนจะได้ออกไปนอกสำนัก “เหลียนเฟินนนน” นางเรียกศิษย์น้องพร้อมรอยยิ้มเลศนัย เหลียนเฟินจึงรีบหันหน้าไปอีกทางเตรียมวิ่งหนีเพราะรู้ดีว่าสีหน้าเช่นนั้นหมายความว่าอะไร “เหลียนเฟิน ถ้าเจ้าหนี ข้าจะฟ้องอาจารย์ว่าเจ้าไม่ดูแลข้า” หลวนเล่ออ้างคำสั่งของหมิงฮวาที่ฝากฝังเอาไว้ เขาจึงถอนหายใจรอรับฟังสิ่งที่นางจะเอ่ย “ข้าเดาว่า ข้าต้องช่วยทำอะไรสักอย่างใช่หรือไม่” เหลียนเฟินถาม ในใจภาวนาว่าอย่าให้ตรงกับวันว่างของเขาเลย “อาจารย์อาสั่งให้ข้าไปตรวจหาสาเหตุการตายของชาวบ้านที่เมืองเฟิง ศิษย์พี่ใหญ่กับศิษย์พี่รองไม่อยู่ ศิษย์พี่ซีหลิวมีงานรัดตัว ข้าเลยขอพาเจ้าไปด้วย อาจารย์อาอนุญาตแล้ว” หลวนเล่อร่ายยาวเรื่องราวตั้งแต่ต้นจนจบ นางรู้ดีว่าศิษย์น้องผ
สิบแปดปีต่อมา ยามนี้หิมะแรกตกโปรยปรายราวกับละอองฝนไปทั่วทั้งแคว้นฉิน ทำให้ผู้คนที่ออกมาเที่ยวเดินชมงานรื่นเริงประจำปีต่างรู้สึกเบิกบานใจ บ้างอธิษฐานขอให้พบแต่ความสงบสุข บ้างขอให้ได้เจอคนรักในเร็ววัน มีไม่น้อยที่มัวแต่เล่นสนุกสนานอยู่บนลานน้ำแข็งที่ไม่มีวันละลาย “ศิษย์พี่รอข้าด้วย!” เสียงเจื้อยแจ้วของเด็กอายุเจ็ดขวบดังขึ้นเพราะไสลากเลื่อนตามศิษย์พี่ของเขาไม่ทัน “ซิ่นเฉิง ข้าจะไปรอเจ้าที่เส้นชัย รีบ ๆ ตามมาเล่า” หญิงสาวผู้หนึ่งตอบกลับ “ศิษย์พี่หลวนเล่อ แบบนั้นไม่เรียกว่ารอแล้วขอรับ คราวนี้ท่านยอมข้าหน่อยไม่ได้หรือ” ซิ่นเฉิงรีบไสลากเลื่อนให้เร็วขึ้นกว่าเดิมเมื่อเห็นว่านางใกล้จะถึงจุดหมายแล้ว สีหน้าของเขาดูจริงจังเสียจนศิษย์อีกสองคนที่ยืนดูรู้สึกเอ็นดู “หลวนเล่อ เจ้าโตจนป่านนี้แล้วยังชอบแกล้งเขาอยู่เรื่อย เพลา ๆ บ้างเถิด” น้ำเสียงหวานละมุนเอ่ยปากห้ามปราม “ดูเหมือนว่าจะไม่ได้ฟังที่ศิษย์พี่พูดเลยนะขอรับ” ศิษย์น้องของนางชี้ให้ดูคนทั้งสองที่ตั้งหน้าตั้งตาไสลากเลื่อนอย่างสุดกำลัง “เฮ้อ! ข้าเข้าใจแล้วว่าทำไมอาจารย์ถึงฝากฝังงาน
รุ่งเช้าของอีกวัน หวังเฉิงเย่พร้อมบุตรชายเดินทางกลับจากถ้ำที่อยู่อีกฝั่งของป่า ไม่ทันจะได้เข้าใกล้สำนักกลับได้กลิ่นเลือดโชยมาจากทุกทิศทาง บรรยากาศอึมครึมหมองหม่น เยือกเย็น ทั้งสองคนก้าวเข้ามาด้านในสำนักด้วยความระมัดระวัง สิ่งที่ปรากฏต่อหน้ามีเพียงซากศพของบรรดาคนในสำนัก ทั้งศิษย์สำนัก อาจารย์ ทาสรับใช้ “เจ้าไปดูทางโน้น” หวังเฉิงเย่สั่งการบุตรชาย เขาเดินไปเรือนของตนเองเพื่อค้นหาผู้รอดชีวิตมาถามไถ่เรื่องราว “ขอรับ” หวังซีซวนเห็นภาพที่เกิดขึ้นจึงรีบตรงดิ่งไปที่เรือนใบไผ่ก่อนอันดับแรก เพราะหางตาเหลือบเห็นร่องรอยของปราณมาร&
ราวกับหวังเยี่ยนหลงกำลังตกอยู่ในภวังค์จึงไม่ได้ยินสิ่งที่เซี่ยฟานพูด เขาเสพสมกามารมณ์หลายท่วงท่าตลอดทั้งคืนจนรุ่งเช้า โอบกอดร่างบางของเซี่ยฟานแล้วนอนหลับด้วยความอ่อนเพลีย ช่วงสายของวัน เขาลืมตาตื่นขึ้นเพราะได้ยินเสียงนกร้องอยู่ริมหน้าต่าง แสงแดดบาง ๆ ส่องมาที่เตียงนอน หวังเยี่ยนหลงยังคงกอดเซี่ยฟานไว้อย่างเช่นเคย พลันรู้สึกได้ว่าร่างกายของเซี่ยฟานเริ่มเย็น สีหน้าตระหนกปรากฏขึ้น เขาตรวจเส้นชีพจรของคนที่ยังนอนหลับใหล “เซี่ยฟาน” คนที่ถูกเรียกไม่ขานตอบ เขาจึงนำยาที่อยู่ในขวดมาให้เซี่ยฟานดื่มแล้วนั่งเฝ้าไม่ห่าง&nbs