รุ่งเช้าวันต่อมา
สีหน้าเรียบเฉยของคนผู้หนึ่งยืนดูเหตุการณ์ชุลมุนอยู่ข้างบนระเบียงชั้นสองของโรงเตี๊ยม เขาไม่มีทีท่าสะทกสะท้านหวาดกลัวเฉกเช่นคนทั่วไป พลันรอยยิ้มมุมปากปรากฏขึ้นเพราะแน่ใจแล้วว่าผู้ที่สร้างเรื่องทั้งหมดหวังสิ่งใด
“ตามตัวได้หรือไม่” เสียงเย็นชาถามลูกน้องคนสนิท มือข้างหนึ่งถือถ้วยชายกดื่มสบายอารมณ์
“ยังไม่พบขอรับนายท่าน” เขารายงานตามความจริง
นับตั้งแต่รับคำสั่งจากหวังเยี่ยนหลง เขาออกเดินทางสืบเสาะไปทั่วแคว้นซีเป่ย ในที่สุดก็พบว่าคนผู้นี้แอบหลบซ่อนตัวอยู่ในเมืองเฟิง ใช้วิชาของตนเองหลบหนียามเมื่อถึงคราวจวนตัว เพียงแต่ครานี้ เขากลับทิ้งร่องรอยไว้ชัดเจนมากเกินไปจนผิดสังเกต
“นายท่าน กำลังคิดสิ่งใดอยู่หรือ” ชายอีกคนเอ่ยปาก
“เห็นหรือไม่ว่าเจ้านั่นตั้งใจทิ้งร่องรอยของปราณมารเอาไว้” เขาชี้ไปยังข้างล่างที่มีทหารสี่ห้านายกำลังเก็บศพของชายขอทาน “วิชาของหลินหลีเหว่ยไม่เคยมีร่องรอยเช่นนั้น”
“เพราะเหตุใดเล่าขอรับ” ลูกน้องทั้งสองคนยังคงไม่เข้าใจ แต่เจ้านายของพวกเขากลับคาดการณ์แผนทั้งหมดได้อย่างง่ายดาย
คนผู้นี้ไม่ตอบคำถามนั้น มีเพียงรอยยิ้มมุมปากเจ้าเล่ห์คิดวางแผนตลบหลังให้สาแก่ใจ
ก่อนหน้านี้หกเดือน
หลินหลี่น่าผู้เป็นน้องสาวของหลินหลีเหว่ยใช้วิชาเปลี่ยนร่างของตนกับหญิงสาวชาวบ้านคนหนึ่ง นางสวมรอยเข้ามาเป็นบ่าวรับใช้เพื่อสืบหาความลับของหวังเยี่ยนหลง
เดิมทีนางเป็นบุตรสาวของหลินเซียวประมุขพรรคทลายฟ้า มีเงินทอง อำนาจมากพอที่จะแทรกแซงเรื่องราวในราชสำนักและอยู่เบื้องหลังความวุ่นวายต่าง ๆ
หลินเซียวถูกหวังเยี่ยนหลงที่จู่ ๆ เกิดคลุ้มคลั่งในปีนั้นสังหารอย่างเลือดเย็น ยึดพรรคทลายฟ้าเป็นของตน หลินหลีเหว่ยยังเป็นเพียงเด็กน้อยอายุห้าขวบ เขาซ่อนอยู่ในลังไม้มุมห้องจึงเห็นเหตุการณ์ทุกอย่างที่เกิดขึ้นและคับแค้นใจหวังเยี่ยนหลงนับแต่นั้นมา
แม้ว่าจะผ่านไปสิบแปดปี ความแค้นนี้ยังคงฝังใจรอวันสะสาง น้องสาวของเขาจึงอาสาปลอมตัวเข้ามาในสำนักตระกูลหวังพร้อมกับสาวใช้คนสนิทสองคน หาจุดอ่อนของหวังเยี่ยนหลงแล้วสังหารเขาด้วยมือของตนเอง แรกเริ่มจึงส่งคนสนิทเข้าไปดูลาดเลาอย่างใกล้ชิด
“นายท่านต้องการสิ่งใดหรือเจ้าคะ” เสียงหวานหยดย้อยถามคนตรงหน้า สีหน้ากระมิดกระเมี้ยนเขินอาย
“ใบหน้าของเจ้างดงามยิ่งนัก” หวังเยี่ยนหลงลูบไล้ไปตามกรอบหน้าของนาง สายตามองดูพินิจพิจารณา
นางมัวแต่หลงหน้าตาและรอยยิ้มของเขาจนไม่รู้ตัวเลยว่ากำลังตกหลุมพราง หวังเยี่ยนหลงร่ายอาคมอ่านความคิดของนางพลางเลิกคิ้วแล้วยิ้มมุมปาก
จู่ ๆ มือข้างซ้ายที่ไล้ใบหน้าอย่างนุ่มนวลกลับเปลี่ยนมาบีบคอของนางในทันใด
“นายท่าน ปล่อยข้าเถิด” เสียงของสตรีนางนี้สิ้นหวังคิดว่าตนเองคงจะถูกเชือดในไม่ช้า จึงทำทีเป็นไร้เดียงสาเผื่อเขาจะเห็นใจคนอ่อนแออย่างนางบ้าง
“พรรคทลายฟ้า ข้าคิดว่าทำลายไปหมดแล้วเสียอีก เหตุใดผ่านมาสิบแปดปีจึงเพิ่งโผล่มาเล่า” หวังเยี่ยนหลงเอียงคอ ร่ายอาคมดึงตัวสตรีอีกคนที่กำลังวิ่งหนีอยู่ด้านนอกห้องกระชากร่างบางเข้ามายังด้านใน
“นายท่าน ปล่อยข้าไปเถิด ข้าจะไม่ทำอีกแล้ว” หญิงอีกคนโพล่งขึ้น นางไม่ได้กลัวหวังเยี่ยนหลงแม้แต่น้อย สิ่งที่เห็นล้วนเป็นมารยา อาคมของพรรคทลายฟ้าถูกร่ายไว้ตั้งแต่เมื่อหลายวันก่อน พวกนางแน่ใจว่าหวังเยี่ยนหลงไม่อาจทำลายมันได้แน่ หากเขาใช้อาคมที่เป็นภัยต่อพวกนางเมื่อใด สิ่งนั้นจะสะท้อนกลับทำลายตัวเขาในทันที
ทว่า ประมุขแสนเย็นชายังคงไม่ปล่อยมือจนพวกนางไม่อาจทนแสดงละครได้อีกต่อไป ริมฝีปากบางขยับร่ายอาคมมุ่งเป้าไปที่หวังเยี่ยนหลง
“กล้าหาญดีนี่” เขาเลิกคิ้วแกล้งปล่อยมือ
สตรีสองนางไม่พูดอันใดชิงลงมือกับศัตรูตรงหน้าด้วยความรวดเร็วเพื่อปลิดชีพ
ฉึก! เสียงอาคมบางอย่างพุ่งทะลุร่างของพวกนางในคราวเดียว ไร้เสียงร้องโหยหวน ไม่มีแม้แต่เลือดสักหยด แต่กลับทำให้ร่างบางไร้ลมหายใจไปเสียแล้ว
หวังเยี่ยนหลงลงมืออย่างเงียบ ๆ เพื่อล่อใครบางคนที่เหลืออยู่ให้มาติดกับ
เมื่อไม่ได้รับรายงานจากสาวใช้อย่างเคย หลินหลี่น่าก็เข้าใจในทันทีว่าพวกนางคงไม่รอดจากเงื้อมมือของหวังเยี่ยนหลง โฉมหน้าและรูปร่างที่นางกำลังใช้อยู่จึงไม่ปลอดภัยอีกต่อไป
นางเลือกหาเหยื่อคนใหม่ที่ดูแล้วไม่น่าเตะตาผู้ใดเพื่อสวมร่างอีกครั้ง แอบซ่อนตัวตามติดชีวิตของหวังเยี่ยนหลงเพียงลำพัง คิดในใจว่าจะต้องแก้แค้นให้สำเร็จ
จนในที่สุด หลินหลี่น่าได้ล่วงรู้ความลับเรื่องปราณมารของเขา หวังเยี่ยนหลงมักจะควบคุมปราณมารส่วนนั้นไม่ได้หากมันสะสมพลังในตัวเขามากจนเกินไปเพราะปราณมารจะเริ่มกัดกินวิญญาณและร่างกายของเขาแทน
เช่นนั้นแล้ว เขาจึงต้องหาเหยื่อเพื่อปลดปล่อยปราณมารส่วนนั้น ให้มันสวาปามผู้อื่นแทนตัวเขา
ครั้นผ่านช่วงเวลาปลดปล่อยไปแล้ว พลังปราณของหวังเยี่ยนหลงจะอ่อนแอลงกว่ายามปกติเป็นเวลาเจ็ดวัน และในตอนนั้นเอง นางจะมีโอกาสได้ลงมือ
วันเวลาที่หลินหลี่น่ารอคอยได้มาถึง ค่ำคืนนั้น ปราณมารรุนแรงปะทุอยู่ภายในตัวของหวังเยี่ยนหลง ดวงตาของเขากลายเป็นสีแดงก่ำ รอบตัวมีไอดำสีเข้ม เขาออกหาเหยื่อจนได้พบชายหนุ่มจากต่างแคว้นนอกสำนักยามวิกาล ทำให้คนผู้นั้นต้องแบกรับปราณมารแทนหวังเยี่ยนหลงอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
แรกเริ่มมันจะกัดกินอวัยวะภายในร่างกายทีละส่วน จากนั้นค่อย ๆ แทะเล็มวิญญาณของคนผู้นั้น ความเจ็บปวดระทมมากมายเกินทน ไม่เหลือรอดหนทางหนีหรือทุเลาความทรมานนี้ไปได้ นอกเสียจากว่าลมหายใจจะสิ้นสุดลง
เช้าวันต่อมา หลินหลี่น่าตามหาเศษร่างที่เหลืออยู่ของผู้โชคร้ายจนเจอ นางจึงมั่นใจว่า เวลานี้หวังเยี่ยนหลงกำลังอ่อนแอ ในใจกระโดดโลดเต้นคิดอยากจะกำจัดเขาเสียตอนนี้ ก่อนจะส่งข่าวให้พี่ชายของนางได้รู้จุดอ่อนของศัตรู
หากแต่นางคงใจร้อนเกินไป ทั้งยังเกรงว่าจะพลาดโอกาสดีเช่นนี้จึงคิดขัดคำสั่งของพี่ชายชิงลงมือก่อนเพียงลำพัง
ขณะกำลังหาตัวหวังเยี่ยนหลง นางก็พบเจ้าตัวนอนหลับสบายอยู่ในห้อง ประตูหน้าต่างทุกบานเปิดโล่ง
“เฮอะ” นางยิ้มให้กับความไม่รู้เรื่องรู้ราวของเขา เคลื่อนกายเข้าไปใกล้ ร่ายอาคมพร้อมยกมีดสั้นเรียวแหลมขึ้นสูง สายตาจ้องไปที่หัวใจของเขา พลันหางตาเหลือบเห็นใบหน้าของหวังเยี่ยนหลงแวบหนึ่ง
เขากำลังยิ้มอยู่หรือ นางคิดในใจทวนสิ่งที่เห็นเมื่อครู่ ตายซะ! หลินหลี่น่ายกมีดขึ้นจ้วงแทง
“จับได้เสียที” เสียงงัวเงียของหวังเยี่ยนหลงดังขึ้น ไม่ได้เป็นเพราะว่าอ่อนแอจนอยากพักผ่อนแต่เขารอนางจนอยากจะหลับแล้วต่างหาก
“เจ้ารู้ได้อย่างไร” หลินหลี่น่าพยายามสะบัดมือ ยื้อแย่งอาวุธกลับมา สีหน้านางเลิ่กลั่ก แม้พลังปราณของเขาจะอ่อนกำลังลง แต่แรงกายกลับคงอยู่เท่าเดิม
“วิถีของพวกเจ้า อย่างไรก็ไม่มีวันเปลี่ยน” หวังเยี่ยนหลงตอบนางให้หายข้องใจ “สั่งลาหรือไม่”
ทันทีที่เขาพูดจบ หลินหลี่น่าก็ใจหาย เหงื่อผุดเต็มใบหน้าด้วยความกลัว สายตาของคนตรงหน้าอำมหิตยิ่งกว่าผู้ใดที่เคยพบเจอ เรื่องเล่าลือนั้นไม่ได้กล่าวเกินจริงแม้แต่น้อย
“ไม่” นางเอ่ยปากอย่างเด็ดเดี่ยวยอมรับชะตากรรม ก่อนนึกถึงพี่ชาย ท่านพี่แก้แค้นแทนข้าด้วย
หวังเยี่ยนหลงผลักร่างของนางทิ้ง พลางเรียกคนสนิทเข้ามาจัดการที่เหลือ
แม้ร่างกายภายนอกจะดูไม่เป็นอะไร แต่เขาก็บาดเจ็บไม่น้อย หลังจากสะสางเรื่องคนที่แฝงตัวมาได้จึงต้องการพักผ่อน สั่งห้ามผู้ใดมารบกวน
ครั้นเห็นสภาพของตนเองเป็นเช่นนี้เพราะใครก็อดแค้นใจไม่ได้ แววตาเยือกเย็นเปลี่ยนเป็นโกรธเคือง สักวันเขาจะต้องเอาคืนให้ได้ ศัตรูอันดับหนึ่งในใต้หล้า ผู้ที่กล้าเผชิญหน้าแทงกระบี่ทะลุร่างของเขา “หมิงฮวา” เขาพึมพำเมื่อนึกถึงนาง
สามเดือนต่อมาเช้าวันหนึ่งเสี่ยวหยุนมองเหลียนเฟินที่กำลังนอนหลับใหลในอ้อมกอดของเขา สายตาเต็มไปด้วยความรักท่วมท้นในใจก่อนจะพึมพำร่ายอาคมอย่างหนึ่งขึ้นมาพลันกรีดปลายนิ้วจนได้เลือดหยดหนึ่งหลอมรวมกับลูกกลมสีฟ้าเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน แม้เป็นวิชาที่เขาเพิ่งคิดค้นขึ้นมาได้แต่กลับรู้สึกคุ้นเคยอย่างบอกไม่ถูกเสี่ยวหยุนตั้งชื่ออาคมนั้นว่า “พันธะวิญญาณ” อาคมที่สามารถผูกวิญญาณของพวกเขาทั้งสองไว้ด้วยกันในทุก ๆ ชาติ ไม่ว่าเหลียนเฟินจะเกิดเป็นผู้ใด อยู่ที่ไหน เขาจะรู้ได้ในทันที นับต่อจากนี้ไม่มีพรากจากลมหายใจของร่างบางในอ้อมกอดสัมผัสแผ่นอกกว้างของเขาเตือนสติให้รู้ตัว ล้มเลิกความคิดเช่นนั้น เสี่ยวหยุนยิ้มมุมปากพลางถอนหายใจเฮือกใหญ่แล้วบีบอาคมนั้นให้แตกสลายไปริมฝีปากจุมพิตหน้าผากเรียกเหลียนเฟินด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ฟูเหรินของข้า”“อืม…” เหลียนเฟินยังคงงัวเงียพลันได้รับจุมพิตที่แก้ม โลมเลียลงลำคอ สัมผัสเรียวลิ้นร้อนชื้นดูดเม้มก่อนจะถูกใครบางคนคร่อมร่างกายท่อนบนเอาไว้“ฟูเหริน ท่านยังไม่ตื่นอีกหรือ” เขาเอ่ยถามด้วยน้ำ
เหลียนเฟินนอนนิ่งบนแผ่นอกของเขา ส่วนล่างกระตุกบีบแก่นกายที่ค้างอยู่ราวกับเชิญชวนจึงถูกพลิกตัวเป็นฝ่ายนอนใต้ร่างพลางโดนเสี่ยวหยุนจับขาสองข้างยกขึ้นแล้วขย่มสะโพกเป็นจังหวะ“ข้าเพิ่งจะ…อ๊ะ...” เหลียนเฟินไม่ทันได้พูดอะไรก็ต้องเม้มปากตัวเองอีกครั้ง มือสองข้างจับหมอนที่วางอยู่ ขยำจนผ้ายับยู่ยี่ ลมหายใจร้อนหอบถี่ ฟังแล้วยิ่งกระตุ้นให้อีกฝ่ายเกิดความต้องการอย่างยิ่งยวดแก่นกายที่ครูดเข้าออกเร่งขึ้นอย่างเร่าร้อนจนน้ำที่ปล่อยเอาไว้เมื่อครู่กระเซ็นเปรอะเปื้อน คนกระทำยิ้มมุมปากชอบใจยิ่งนักที่ได้เห็นร่องรอยของเขาบนตัวคนรักเมื่อโพรงเนื้อโอบรอบจนมิดแน่นขนัดยิ่งเสียวซ่านจนตาเหลือกลอย “อือ… เหลียนเฟิน” ในใจวนเวียนแต่คำว่า อีกนิด ข้าขออีกนิดในขณะที่คนใต้ร่างแทบคุมสติตัวเองไม่อยู่ พึมพำแผ่วเบา “ข้าไม่ไหวแล้ว… อย่าเพิ่งขยับ”“จะให้ข้าหยุดจริงหรือ” เขาเอ่ยถามแต่ส่วนลับยังคงกระทุ้งเข้า ๆ ออก ๆ บดเบียดภายใน หยอกล้อเหลียนเฟินเพราะอยากเห็นสีหน้าแดงระเรื่อ สุขสม พลันวางขาทั้งสองข้างลงแล้วพลิกตัวเหลียนเฟินให้นอนคว่ำในพริบตาก่อนจะยกส
เหลียนเฟินโอบแขนรอบคอของเสี่ยวหยุนกดแรงโน้มตัวเขาลงมาหา จ้องมองอีกฝ่ายไม่วางตาพลันยิ้มอ่อนโยน เอ่ยกระซิบยืนยันความรู้สึกของตัวเอง “ข้ารักเจ้า”คนได้ฟังคำรักน้ำตาไหลเอ่อไม่อาจกั้นด้วยความรู้สึกผิดระคนกับความรู้สึกอื่น ๆ ในใจ แม้รู้ตัวว่าไม่สมควรมายืนอยู่ข้างเขาแต่เวลานี้ก็ไม่อาจขยับกายหรือเบือนหน้าหนีอีกฝ่ายได้เลยเขารักเหลียนเฟิน ผู้เป็นฟูเหรินของเขาและไม่อยากถูกพรากจากอีกแล้ว ทั้งยังดีใจเพราะใบหน้าที่มองเขาในเวลานี้ไม่ใช่ใบหน้าของคนที่เกลียดชังเขาจนต้องจ่อปลายกระบี่เข้าหาราวกับแค้นเคืองกันมาเนิ่นนาน“เสี่ยวหยุน” เสียงเรียกหาอ่อนหวานจับใจ “ยังคงจำได้อยู่ใช่หรือไม่ว่าเวลานี้เจ้าคือฟูจวินของข้า”“…” เขาพยักหน้าเล็กน้อย เม้มปากแน่นแล้วกอดเหลียนเฟินเอาไว้ครั้นสะสางความหลัง ปรับความเข้าใจกันเรียบร้อยแล้ว ทุกอย่างพลันคลี่คลาย ไม่มีสิ่งใดติดค้างกันอีกต่อไปหวังซีซวนและพรรคพวกแวะมาหาพวกเขาเหมือนอย่างเคย สังเกตได้ว่าบรรยากาศระหว่างพวกเขาทั้งสองคนดูอึมครึมเล็กน้อย ดวงตาเสี่ยวหยุนบวมช้ำปรากฏเด่นชัดจนอดถามไม่ได้“
ครั้นเรื่องราววุ่นวายที่ใจกลางตลาดจบลงไปได้ด้วยดี เหลียนเฟินจึงพาเสี่ยวหยุนกลับมาพักฟื้นร่างกายที่บ้านหลังน้อย พลางขอให้หวังซีซวนช่วยกลั่นยาสมุนไพรให้เขาจนกว่าจะหายดีเขาหลับลึกอยู่หลายวันเพราะใช้เรี่ยวแรงร่ายวิชาอาคมโดยไม่สนขีดจำกัดของตัวเองเพียงเพราะเป็นห่วงเหลียนเฟินและไม่อยากให้สถานการณ์ยืดเยื้อใบหน้าสงบนิ่งยามหลับใหลทำให้เหลียนเฟินโล่งใจได้บ้างว่าเขาคงไม่ได้ฝันร้ายเหมือนที่ผ่านมาจึงปล่อยให้คนตรงหน้าพักผ่อนให้เต็มที่“ท่านเซียน เขาเป็นอย่างไรบ้างขอรับ” หลี่จิ้นหลิงแวะมาเยี่ยมเพราะได้ข่าวว่าเสี่ยวหยุนยังไม่ฟื้น“ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง เขาเพียงแค่ต้องนอนให้เยอะ ๆ ก็เท่านั้น” เหลียนเฟินยิ้มให้อีกฝ่ายนึกขอบคุณที่เขาช่วยหาตำราต้องห้ามจนพบ“หากท่านเซียนต้องการให้ช่วยเหลือเรื่องใด อย่าได้ลังเลใจที่จะบอกข้านะขอรับ” หลี่จิ้นหลิงพูดด้วยสีหน้าจริงจัง “เรื่องฟื้นฟูพลังชีวิตของท่าน ถ้าตำราต้องห้ามไม่ได้ผล ข้ายินดีหาหนทางอื่น”เหลียนเฟินส่ายหน้าเข้าใจดีว่าทุกคนเป็นห่วงแต่ว่าเขาเตรียมใจเอาไว้แล้ว ไม่ว่าผลที่ได้จะออกมาเป็น
“ปล่อยคุณหนูหลี่” เหลียนเฟินพูดด้วยสีหน้าเรียบเฉยก่อนจะเห็นอีกฝ่ายเคลื่อนไหวรวดเร็ว เขากำกระบี่ในมือไว้แน่นพลันยกขึ้นมากันท่าไม่ให้เสิ่นหยางพุ่งตัวเข้าใกล้ระยะประชิดก่อนจะม้วนตัวแล้วถีบคนตรงหน้ากระเด็นไปอีกทางด้วยแรงที่ออมไว้สามส่วน“ฝีเท้าหนักใช่เล่น” เขาเอ่ยชม รอยยิ้มกวนประสาทราวกับถูกใจอย่างยิ่งยวด “อย่าขัดขืนนักเลย เมื่อครู่ข้าเพียงยั้งมือเอาไว้เท่านั้นเพราะไม่อยากทำให้ร่างกายของท่านเซียนมีบาดแผล”เสิ่นเหยา แฝดผู้พี่ที่จับตัวหลี่ฮวาเอาไว้ลูบปลายจมูกตัวเอง “หากท่านเซียนยินยอมมากับพวกข้า ข้าจะคืนสตรีนางนี้เป็นการแลกเปลี่ยน”“เช่นนั้นปล่อยนางก่อน” เหลียนเฟินไม่ตกลงง่าย ๆ และเป็นห่วงความปลอดภัยหลี่ฮวาที่เวลานี้กำลังกลั้นน้ำตาไม่ร้องไห้เสียงดังด้วยความหวาดกลัว“ท่านเซียนคงไม่รู้ว่าข้าเป็นผู้ใดจึงพยายามเล่นแง่ยืดเวลาออกไปใช่หรือไม่ แต่ข้ายืนยันได้เลยว่าสองชั่วยามต่อจากนี้ไม่มีผู้ใดเข้ามาก้าวก่ายที่แห่งนี้ได้อย่างแน่นอนและหากทุกสิ่งไม่เป็นอย่างที่ข้าต้องการ ข้าจะทำลายหมู่บ้านให้ราบคาบ” เสิ่นหยางประกาศก้อง คำพูดของเขาทำให้ชาวบ้านขวัญ
ครั้นพูดคุยเรื่องตำราต้องห้ามเสร็จเรียบร้อยแล้ว พวกเขาก็กลับมายังบ้านหลังน้อยจึงได้เห็นว่าหลี่จิ้นหลิงกำลังนั่งเล่นอยู่ตั่งไม้กับเหลียนเฟินแววตาเสี่ยวหยุนเปลี่ยนไปเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยถามว่า “เจ้ามาทำอะไรที่นี่”“ข้าเห็นว่าท่านเซียนเมาหลับไป วันนี้จึงอยากมาดูให้แน่ใจว่ามีอาการใดหรือไม่” เขายักไหล่พูดด้วยสีหน้าสบายอารมณ์หากแต่เสี่ยวหยุนอารมณ์ดีจึงไม่ใส่ใจแล้วเดินไปนั่งข้างเหลียนเฟิน เอ่ยกับเขาว่า “ข้าต้องไปหอสมุดวังหลวง คุณชายหวังซีซวนบอกว่าที่นั่นมีตำราเก็บไว้อยู่ อาจช่วยฟื้นฟูพลังชีวิตของท่านได้”“เขาไม่ได้บอกหรือว่าที่แห่งนั้นห้ามให้คนนอกเข้าไป” เหลียนเฟินหรี่ตามองคนตรงหน้าที่ทำท่าเหมือนรู้ทุกอย่าง “หากคิดไปขโมยตำรามาก็หยุดแต่เพียงเท่านั้นเถิด พลังชีวิตของข้ามีแค่ครึ่งเดียวแล้วอย่างไร ไม่เห็นหรือว่าข้ายังแข็งแรงดี”“ไม่อยากอยู่กับข้านานกว่านี้หรือ” สีหน้าของเขาเศร้าสร้อยหากต้องล้มเลิกความตั้งใจ รู้ว่าบำเพ็ญคู่จะสามารถยืดอายุขัยออกไปได้ แต่หากพลังชีวิตของเขากลับมาเหมือนเดิม ย่อมมีโอกาสได้อยู่ด้วยกันนานมากขึ้นไปอีกเ