รุ่งเช้าวันต่อมา
สีหน้าเรียบเฉยของคนผู้หนึ่งยืนดูเหตุการณ์ชุลมุนอยู่ข้างบนระเบียงชั้นสองของโรงเตี๊ยม เขาไม่มีทีท่าสะทกสะท้านหวาดกลัวเฉกเช่นคนทั่วไป พลันรอยยิ้มมุมปากปรากฏขึ้นเพราะแน่ใจแล้วว่าผู้ที่สร้างเรื่องทั้งหมดหวังสิ่งใด
“ตามตัวได้หรือไม่” เสียงเย็นชาถามลูกน้องคนสนิท มือข้างหนึ่งถือถ้วยชายกดื่มสบายอารมณ์
“ยังไม่พบขอรับนายท่าน” เขารายงานตามความจริง
นับตั้งแต่รับคำสั่งจากหวังเยี่ยนหลง เขาออกเดินทางสืบเสาะไปทั่วแคว้นซีเป่ย ในที่สุดก็พบว่าคนผู้นี้แอบหลบซ่อนตัวอยู่ในเมืองเฟิง ใช้วิชาของตนเองหลบหนียามเมื่อถึงคราวจวนตัว เพียงแต่ครานี้ เขากลับทิ้งร่องรอยไว้ชัดเจนมากเกินไปจนผิดสังเกต
“นายท่าน กำลังคิดสิ่งใดอยู่หรือ” ชายอีกคนเอ่ยปาก
“เห็นหรือไม่ว่าเจ้านั่นตั้งใจทิ้งร่องรอยของปราณมารเอาไว้” เขาชี้ไปยังข้างล่างที่มีทหารสี่ห้านายกำลังเก็บศพของชายขอทาน “วิชาของหลินหลีเหว่ยไม่เคยมีร่องรอยเช่นนั้น”
“เพราะเหตุใดเล่าขอรับ” ลูกน้องทั้งสองคนยังคงไม่เข้าใจ แต่เจ้านายของพวกเขากลับคาดการณ์แผนทั้งหมดได้อย่างง่ายดาย
คนผู้นี้ไม่ตอบคำถามนั้น มีเพียงรอยยิ้มมุมปากเจ้าเล่ห์คิดวางแผนตลบหลังให้สาแก่ใจ
ก่อนหน้านี้หกเดือน
หลินหลี่น่าผู้เป็นน้องสาวของหลินหลีเหว่ยใช้วิชาเปลี่ยนร่างของตนกับหญิงสาวชาวบ้านคนหนึ่ง นางสวมรอยเข้ามาเป็นบ่าวรับใช้เพื่อสืบหาความลับของหวังเยี่ยนหลง
เดิมทีนางเป็นบุตรสาวของหลินเซียวประมุขพรรคทลายฟ้า มีเงินทอง อำนาจมากพอที่จะแทรกแซงเรื่องราวในราชสำนักและอยู่เบื้องหลังความวุ่นวายต่าง ๆ
หลินเซียวถูกหวังเยี่ยนหลงที่จู่ ๆ เกิดคลุ้มคลั่งในปีนั้นสังหารอย่างเลือดเย็น ยึดพรรคทลายฟ้าเป็นของตน หลินหลีเหว่ยยังเป็นเพียงเด็กน้อยอายุห้าขวบ เขาซ่อนอยู่ในลังไม้มุมห้องจึงเห็นเหตุการณ์ทุกอย่างที่เกิดขึ้นและคับแค้นใจหวังเยี่ยนหลงนับแต่นั้นมา
แม้ว่าจะผ่านไปสิบแปดปี ความแค้นนี้ยังคงฝังใจรอวันสะสาง น้องสาวของเขาจึงอาสาปลอมตัวเข้ามาในสำนักตระกูลหวังพร้อมกับสาวใช้คนสนิทสองคน หาจุดอ่อนของหวังเยี่ยนหลงแล้วสังหารเขาด้วยมือของตนเอง แรกเริ่มจึงส่งคนสนิทเข้าไปดูลาดเลาอย่างใกล้ชิด
“นายท่านต้องการสิ่งใดหรือเจ้าคะ” เสียงหวานหยดย้อยถามคนตรงหน้า สีหน้ากระมิดกระเมี้ยนเขินอาย
“ใบหน้าของเจ้างดงามยิ่งนัก” หวังเยี่ยนหลงลูบไล้ไปตามกรอบหน้าของนาง สายตามองดูพินิจพิจารณา
นางมัวแต่หลงหน้าตาและรอยยิ้มของเขาจนไม่รู้ตัวเลยว่ากำลังตกหลุมพราง หวังเยี่ยนหลงร่ายอาคมอ่านความคิดของนางพลางเลิกคิ้วแล้วยิ้มมุมปาก
จู่ ๆ มือข้างซ้ายที่ไล้ใบหน้าอย่างนุ่มนวลกลับเปลี่ยนมาบีบคอของนางในทันใด
“นายท่าน ปล่อยข้าเถิด” เสียงของสตรีนางนี้สิ้นหวังคิดว่าตนเองคงจะถูกเชือดในไม่ช้า จึงทำทีเป็นไร้เดียงสาเผื่อเขาจะเห็นใจคนอ่อนแออย่างนางบ้าง
“พรรคทลายฟ้า ข้าคิดว่าทำลายไปหมดแล้วเสียอีก เหตุใดผ่านมาสิบแปดปีจึงเพิ่งโผล่มาเล่า” หวังเยี่ยนหลงเอียงคอ ร่ายอาคมดึงตัวสตรีอีกคนที่กำลังวิ่งหนีอยู่ด้านนอกห้องกระชากร่างบางเข้ามายังด้านใน
“นายท่าน ปล่อยข้าไปเถิด ข้าจะไม่ทำอีกแล้ว” หญิงอีกคนโพล่งขึ้น นางไม่ได้กลัวหวังเยี่ยนหลงแม้แต่น้อย สิ่งที่เห็นล้วนเป็นมารยา อาคมของพรรคทลายฟ้าถูกร่ายไว้ตั้งแต่เมื่อหลายวันก่อน พวกนางแน่ใจว่าหวังเยี่ยนหลงไม่อาจทำลายมันได้แน่ หากเขาใช้อาคมที่เป็นภัยต่อพวกนางเมื่อใด สิ่งนั้นจะสะท้อนกลับทำลายตัวเขาในทันที
ทว่า ประมุขแสนเย็นชายังคงไม่ปล่อยมือจนพวกนางไม่อาจทนแสดงละครได้อีกต่อไป ริมฝีปากบางขยับร่ายอาคมมุ่งเป้าไปที่หวังเยี่ยนหลง
“กล้าหาญดีนี่” เขาเลิกคิ้วแกล้งปล่อยมือ
สตรีสองนางไม่พูดอันใดชิงลงมือกับศัตรูตรงหน้าด้วยความรวดเร็วเพื่อปลิดชีพ
ฉึก! เสียงอาคมบางอย่างพุ่งทะลุร่างของพวกนางในคราวเดียว ไร้เสียงร้องโหยหวน ไม่มีแม้แต่เลือดสักหยด แต่กลับทำให้ร่างบางไร้ลมหายใจไปเสียแล้ว
หวังเยี่ยนหลงลงมืออย่างเงียบ ๆ เพื่อล่อใครบางคนที่เหลืออยู่ให้มาติดกับ
เมื่อไม่ได้รับรายงานจากสาวใช้อย่างเคย หลินหลี่น่าก็เข้าใจในทันทีว่าพวกนางคงไม่รอดจากเงื้อมมือของหวังเยี่ยนหลง โฉมหน้าและรูปร่างที่นางกำลังใช้อยู่จึงไม่ปลอดภัยอีกต่อไป
นางเลือกหาเหยื่อคนใหม่ที่ดูแล้วไม่น่าเตะตาผู้ใดเพื่อสวมร่างอีกครั้ง แอบซ่อนตัวตามติดชีวิตของหวังเยี่ยนหลงเพียงลำพัง คิดในใจว่าจะต้องแก้แค้นให้สำเร็จ
จนในที่สุด หลินหลี่น่าได้ล่วงรู้ความลับเรื่องปราณมารของเขา หวังเยี่ยนหลงมักจะควบคุมปราณมารส่วนนั้นไม่ได้หากมันสะสมพลังในตัวเขามากจนเกินไปเพราะปราณมารจะเริ่มกัดกินวิญญาณและร่างกายของเขาแทน
เช่นนั้นแล้ว เขาจึงต้องหาเหยื่อเพื่อปลดปล่อยปราณมารส่วนนั้น ให้มันสวาปามผู้อื่นแทนตัวเขา
ครั้นผ่านช่วงเวลาปลดปล่อยไปแล้ว พลังปราณของหวังเยี่ยนหลงจะอ่อนแอลงกว่ายามปกติเป็นเวลาเจ็ดวัน และในตอนนั้นเอง นางจะมีโอกาสได้ลงมือ
วันเวลาที่หลินหลี่น่ารอคอยได้มาถึง ค่ำคืนนั้น ปราณมารรุนแรงปะทุอยู่ภายในตัวของหวังเยี่ยนหลง ดวงตาของเขากลายเป็นสีแดงก่ำ รอบตัวมีไอดำสีเข้ม เขาออกหาเหยื่อจนได้พบชายหนุ่มจากต่างแคว้นนอกสำนักยามวิกาล ทำให้คนผู้นั้นต้องแบกรับปราณมารแทนหวังเยี่ยนหลงอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
แรกเริ่มมันจะกัดกินอวัยวะภายในร่างกายทีละส่วน จากนั้นค่อย ๆ แทะเล็มวิญญาณของคนผู้นั้น ความเจ็บปวดระทมมากมายเกินทน ไม่เหลือรอดหนทางหนีหรือทุเลาความทรมานนี้ไปได้ นอกเสียจากว่าลมหายใจจะสิ้นสุดลง
เช้าวันต่อมา หลินหลี่น่าตามหาเศษร่างที่เหลืออยู่ของผู้โชคร้ายจนเจอ นางจึงมั่นใจว่า เวลานี้หวังเยี่ยนหลงกำลังอ่อนแอ ในใจกระโดดโลดเต้นคิดอยากจะกำจัดเขาเสียตอนนี้ ก่อนจะส่งข่าวให้พี่ชายของนางได้รู้จุดอ่อนของศัตรู
หากแต่นางคงใจร้อนเกินไป ทั้งยังเกรงว่าจะพลาดโอกาสดีเช่นนี้จึงคิดขัดคำสั่งของพี่ชายชิงลงมือก่อนเพียงลำพัง
ขณะกำลังหาตัวหวังเยี่ยนหลง นางก็พบเจ้าตัวนอนหลับสบายอยู่ในห้อง ประตูหน้าต่างทุกบานเปิดโล่ง
“เฮอะ” นางยิ้มให้กับความไม่รู้เรื่องรู้ราวของเขา เคลื่อนกายเข้าไปใกล้ ร่ายอาคมพร้อมยกมีดสั้นเรียวแหลมขึ้นสูง สายตาจ้องไปที่หัวใจของเขา พลันหางตาเหลือบเห็นใบหน้าของหวังเยี่ยนหลงแวบหนึ่ง
เขากำลังยิ้มอยู่หรือ นางคิดในใจทวนสิ่งที่เห็นเมื่อครู่ ตายซะ! หลินหลี่น่ายกมีดขึ้นจ้วงแทง
“จับได้เสียที” เสียงงัวเงียของหวังเยี่ยนหลงดังขึ้น ไม่ได้เป็นเพราะว่าอ่อนแอจนอยากพักผ่อนแต่เขารอนางจนอยากจะหลับแล้วต่างหาก
“เจ้ารู้ได้อย่างไร” หลินหลี่น่าพยายามสะบัดมือ ยื้อแย่งอาวุธกลับมา สีหน้านางเลิ่กลั่ก แม้พลังปราณของเขาจะอ่อนกำลังลง แต่แรงกายกลับคงอยู่เท่าเดิม
“วิถีของพวกเจ้า อย่างไรก็ไม่มีวันเปลี่ยน” หวังเยี่ยนหลงตอบนางให้หายข้องใจ “สั่งลาหรือไม่”
ทันทีที่เขาพูดจบ หลินหลี่น่าก็ใจหาย เหงื่อผุดเต็มใบหน้าด้วยความกลัว สายตาของคนตรงหน้าอำมหิตยิ่งกว่าผู้ใดที่เคยพบเจอ เรื่องเล่าลือนั้นไม่ได้กล่าวเกินจริงแม้แต่น้อย
“ไม่” นางเอ่ยปากอย่างเด็ดเดี่ยวยอมรับชะตากรรม ก่อนนึกถึงพี่ชาย ท่านพี่แก้แค้นแทนข้าด้วย
หวังเยี่ยนหลงผลักร่างของนางทิ้ง พลางเรียกคนสนิทเข้ามาจัดการที่เหลือ
แม้ร่างกายภายนอกจะดูไม่เป็นอะไร แต่เขาก็บาดเจ็บไม่น้อย หลังจากสะสางเรื่องคนที่แฝงตัวมาได้จึงต้องการพักผ่อน สั่งห้ามผู้ใดมารบกวน
ครั้นเห็นสภาพของตนเองเป็นเช่นนี้เพราะใครก็อดแค้นใจไม่ได้ แววตาเยือกเย็นเปลี่ยนเป็นโกรธเคือง สักวันเขาจะต้องเอาคืนให้ได้ ศัตรูอันดับหนึ่งในใต้หล้า ผู้ที่กล้าเผชิญหน้าแทงกระบี่ทะลุร่างของเขา “หมิงฮวา” เขาพึมพำเมื่อนึกถึงนาง
รุ่งเช้าวันต่อมา สีหน้าเรียบเฉยของคนผู้หนึ่งยืนดูเหตุการณ์ชุลมุนอยู่ข้างบนระเบียงชั้นสองของโรงเตี๊ยม เขาไม่มีทีท่าสะทกสะท้านหวาดกลัวเฉกเช่นคนทั่วไป พลันรอยยิ้มมุมปากปรากฏขึ้นเพราะแน่ใจแล้วว่าผู้ที่สร้างเรื่องทั้งหมดหวังสิ่งใด “ตามตัวได้หรือไม่” เสียงเย็นชาถามลูกน้องคนสนิท มือข้างหนึ่งถือถ้วยชายกดื่มสบายอารมณ์ “ยังไม่พบขอรับนายท่าน” เขารายงานตามความจริง นับตั้งแต่รับคำสั่งจากหวังเยี่ยนหลง เขาออกเดินทางสืบเสาะไปทั่วแคว้นซีเป่ย ในที่สุดก็พบว่าคนผู้นี้แอบหลบซ่อนตัวอยู่ในเมืองเฟิง ใช้วิชาของตนเองหลบหนียามเมื่อถึงคราวจวนตัว เพียงแต่ครานี้ เขากลับทิ้งร่องรอยไว้ชัดเจนมากเกินไปจนผิดสังเกต “นายท่าน กำลังคิดสิ่งใดอยู่หรือ” ชายอีกคนเอ่ยปาก “เห็นหรือไม่ว่าเจ้านั่นตั้งใจทิ้งร่องรอยของปราณมารเอาไว้” เขาชี้ไปยังข้างล่างที่มีทหารสี่ห้านายกำลังเก็บศพของชายขอทาน “วิชาของหลินหลีเหว่ยไม่เคยมีร่องรอยเช่นนั้น” “เพราะเหตุใดเล่าขอรับ” ลูกน้องทั้งสองคนยังคงไม่เข้าใจ แต่เจ้านายของพวกเขากลับคาดการณ์แผนทั้งหมดได้อย่างง่ายดาย
สุดท้ายแล้ววันนั้นเหลียนเฟินก็ผ่านการสอบมาได้ กลายเป็นศิษย์ที่เหล่าอาจารย์และเพื่อนพ้องร่วมสำนักภาคภูมิใจ อาจารย์อาจึงตกรางวัลเขาด้วยวันหยุดพักผ่อนห้าวันพร้อมอัฐอีกหนึ่งถุงใหญ่เอาไว้ใช้จ่ายส่วนตัว กระนั้นความฝันที่จะได้นอนเล่นอยู่เงียบ ๆ ก็สลายไปเมื่อศิษย์พี่หญิงหลวนเล่อวิ่งหน้าตั้งเข้ามาหา สีหน้าตื่นเต้นเหมือนจะได้ออกไปนอกสำนัก “เหลียนเฟินนนน” นางเรียกศิษย์น้องพร้อมรอยยิ้มเลศนัย เหลียนเฟินจึงรีบหันหน้าไปอีกทางเตรียมวิ่งหนีเพราะรู้ดีว่าสีหน้าเช่นนั้นหมายความว่าอะไร “เหลียนเฟิน ถ้าเจ้าหนี ข้าจะฟ้องอาจารย์ว่าเจ้าไม่ดูแลข้า” หลวนเล่ออ้างคำสั่งของหมิงฮวาที่ฝากฝังเอาไว้ เขาจึงถอนหายใจรอรับฟังสิ่งที่นางจะเอ่ย “ข้าเดาว่า ข้าต้องช่วยทำอะไรสักอย่างใช่หรือไม่” เหลียนเฟินถาม ในใจภาวนาว่าอย่าให้ตรงกับวันว่างของเขาเลย “อาจารย์อาสั่งให้ข้าไปตรวจหาสาเหตุการตายของชาวบ้านที่เมืองเฟิง ศิษย์พี่ใหญ่กับศิษย์พี่รองไม่อยู่ ศิษย์พี่ซีหลิวมีงานรัดตัว ข้าเลยขอพาเจ้าไปด้วย อาจารย์อาอนุญาตแล้ว” หลวนเล่อร่ายยาวเรื่องราวตั้งแต่ต้นจนจบ นางรู้ดีว่า
สิบแปดปีต่อมา ยามนี้หิมะแรกตกโปรยปรายราวกับละอองฝนไปทั่วทั้งแคว้นฉิน ทำให้ผู้คนที่ออกมาเที่ยวเดินชมงานรื่นเริงประจำปีต่างรู้สึกเบิกบานใจ บ้างอธิษฐานขอให้พบแต่ความสงบสุข บ้างขอให้ได้เจอคนรักในเร็ววัน มีไม่น้อยที่มัวแต่เล่นสนุกสนานอยู่บนลานน้ำแข็งที่ไม่มีวันละลาย “ศิษย์พี่รอข้าด้วย!” เสียงเจื้อยแจ้วของเด็กอายุเจ็ดขวบดังขึ้นเพราะไสลากเลื่อนตามศิษย์พี่ของเขาไม่ทัน “ซิ่นเฉิง ข้าจะไปรอเจ้าที่เส้นชัย รีบ ๆ ตามมาเล่า” หญิงสาวผู้หนึ่งตอบกลับ “ศิษย์พี่หลวนเล่อ แบบนั้นไม่เรียกว่ารอแล้วขอรับ คราวนี้ท่านยอมข้าหน่อยไม่ได้หรือ” ซิ่นเฉิงรีบไสลากเลื่อนให้เร็วขึ้นกว่าเดิมเมื่อเห็นว่านางใกล้จะถึงจุดหมายแล้ว สีหน้าของเขาดูจริงจังเสียจนศิษย์อีกสองคนที่ยืนดูรู้สึกเอ็นดู “หลวนเล่อ เจ้าโตจนป่านนี้แล้วยังชอบแกล้งเขาอยู่เรื่อย เพลา ๆ บ้างเถิด” น้ำเสียงหวานละมุนเอ่ยปากห้ามปราม “ดูเหมือนว่าจะไม่ได้ฟังที่ศิษย์พี่พูดเลยนะขอรับ” ศิษย์น้องของนางชี้ให้ดูคนทั้งสองที่ตั้งหน้าตั้งตาไสลากเลื่อนอย่างสุดกำลัง “เฮ้อ! ข้าเข้าใจแล้วว่าทำไมอาจารย์
รุ่งเช้าของอีกวัน หวังเฉิงเย่พร้อมบุตรชายเดินทางกลับจากถ้ำที่อยู่อีกฝั่งของป่า ไม่ทันจะได้เข้าใกล้สำนักกลับได้กลิ่นเลือดโชยมาจากทุกทิศทาง บรรยากาศอึมครึมหมองหม่น เยือกเย็น ทั้งสองคนก้าวเข้ามาด้านในสำนักด้วยความระมัดระวัง สิ่งที่ปรากฏต่อหน้ามีเพียงซากศพของบรรดาคนในสำนัก ทั้งศิษย์สำนัก อาจารย์ ทาสรับใช้ “เจ้าไปดูทางโน้น” หวังเฉิงเย่สั่งการบุตรชาย เขาเดินไปเรือนของตนเองเพื่อค้นหาผู้รอดชีวิตมาถามไถ่เรื่องราว “ขอรับ” หวังซีซวนเห็นภาพที่เกิดขึ้นจึงรีบตรงดิ่งไปที่เรือนใบไผ่ก่อนอันดับแรก เพราะหางตาเหลือบเห็นร่องรอยของปราณมาร&
ราวกับหวังเยี่ยนหลงกำลังตกอยู่ในภวังค์จึงไม่ได้ยินสิ่งที่เซี่ยฟานพูด เขาเสพสมกามารมณ์หลายท่วงท่าตลอดทั้งคืนจนรุ่งเช้า โอบกอดร่างบางของเซี่ยฟานแล้วนอนหลับด้วยความอ่อนเพลีย ช่วงสายของวัน เขาลืมตาตื่นขึ้นเพราะได้ยินเสียงนกร้องอยู่ริมหน้าต่าง แสงแดดบาง ๆ ส่องมาที่เตียงนอน หวังเยี่ยนหลงยังคงกอดเซี่ยฟานไว้อย่างเช่นเคย พลันรู้สึกได้ว่าร่างกายของเซี่ยฟานเริ่มเย็น สีหน้าตระหนกปรากฏขึ้น เขาตรวจเส้นชีพจรของคนที่ยังนอนหลับใหล “เซี่ยฟาน” คนที่ถูกเรียกไม่ขานตอบ เขาจึงนำยาที่อยู่ในขวดมาให้เซี่ยฟานดื่มแล้วนั่งเฝ้าไม่ห่าง&nbs
สามเดือนผ่านไป หวังเยี่ยนหลงเริ่มหลอมรวมปราณมารที่อยู่ในศิลาหินให้เป็นหนึ่งเดียวกับตนเองได้บ้างแล้ว จึงออกมาจากถ้ำแห่งนั้น โดยไม่รู้เลยว่ากาลเวลาผ่านไปนานเท่าใด ครั้นข่ายอาคมที่ศิลาหินสร้างขึ้นหายไป ป่าวิญญาณจึงกลายเป็นเพียงป่าทึบทั่วไปที่มีสัตว์ดุร้ายกับปีศาจอาฆาตแค้นก็เท่านั้น หมอกพรางตาที่คอยล่อลวงผู้คนได้สลายไปเพราะไม่มีพลังจากศิลาหินคอยควบคุม เขากลับมาที่เรือนใบไผ่ราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น การเคลื่อนไหวของเขารวดเร็วกว่าเดิมจนไม่มีใครจับตาทัน บรรยากาศภายในสำนักตระกูลหวังจึงยังคงความสงบเงียบได้อยู่