ท่าเรือเมืองเฟิง
“เหลียนเฟิน เจ้ารีบออกมาได้แล้ว ข้าหิว” หลวนเล่อตะโกนบอกเขา สายตาจ้องไปยังร้านค้าต่าง ๆ ที่อยู่ไกลลิบ
“เรียบร้อยแล้วขอรับ” เขาเดินออกมาหานาง ก้มมองดูเสื้อผ้าชุดใหม่ ท่าทางไม่ค่อยคุ้นชิน
เหลียนเฟินเปลี่ยนมาสวมชุดเสื้อผ้าพื้นเมือง เดิมทีมักจะมัดผมสูงสวมกวานสีเงินเด่นสง่า เวลานี้เกล้าผมจุกเล็ก ๆ ถักเปียห้อย มีลูกปัดสีทองสะบัดไปมายามลมพัดไหว
“ทำไมศิษย์พี่แต่งเป็นบุรุษเล่า” เขาเพิ่งจะเห็นว่าหลวนเล่อแต่งกายเหมือนกันไม่ผิดเพี้ยน
“อยู่ต่างบ้านต่างเมือง ข้าเป็นเพียงผู้หญิงตัวเล็ก ๆ เกรงว่าเปิดเผยตัวตนมากไปจะเกิดอันตราย” หลวนเล่อยิ้มกว้าง “แต่เหลียนเฟิน เอาหนวดไปติดดีหรือไม่ เจ้าแต่งเป็นบุรุษเหมือนกับข้าก็จริง เหตุใดถึงดูราวกับเป็นน้องสาวข้าไปได้ หรือว่าเจ้าจะลองเปลี่ยนโฉมเป็นสตรีแสนงดงามแทน”
“ศิษย์พี่ล้อข้าเล่นอีกแล้ว รีบเข้าไปข้างในตัวเมืองกันก่อนฟ้าจะมืดเถิด” ทั้งคู่ตรงดิ่งไปที่ร้านขายบะหมี่ สั่งอาหารมาคนละสองชาม นั่งซดน้ำซุปแสนอร่อยไม่สนใจสิ่งอื่นใดอีกต่อไป
คล้อยหลังตะวันลับฟ้า บ้านเรือนร้านค้าในตัวเมืองทยอยปิดเงียบ กระนั้นยังมีคนที่ชอบความรื่นรมย์ยามค่ำคืนออกแสวงหาสิ่งตื่นเต้นเร้าใจเดินกันขวักไขว่ตามตรอกราตรี
ชายหนุ่มผู้หนึ่งเมามายจนแทบไม่ได้สติเดินโซซัดโซเซเพื่อกลับโรงเตี๊ยม ระหว่างทางมึนงงสับสนจนจำไม่ได้ว่าหลงอยู่ที่ใด รู้ตัวอีกทีคนผู้นี้ก็ยืนโดดเดี่ยวหน้าวัดร้าง
เสียงอึกทึกครึกโครมปลุกเขาจนได้สติ สายตามองไปรอบตัวไม่คุ้นชิน สายลมชายฝั่งพัดเข้ามายามนี้ยิ่งทำให้รู้สึกขนลุกเกรียวมากกว่าเดิม
สองขารีบจ้ำอ้าวกลับไปยังทางเดิมที่มีแสงโคมสลัว ๆ ไม่กล้ามองกลับมาด้านหลัง จู่ ๆ เท้าทั้งสองข้างหนักอึ้งเหมือนมีโซ่ตรวนตรึงไม่ให้หนี สีหน้าของเขาเริ่มวิตกกังวล ตัวสั่นสะท้าน พยายามยกขาก้าวไปข้างหน้า
“ช่วยข้าด้วย” เขาเอ่ยปากขอความช่วยเหลือจากคนที่ปรากฏตัวอยู่เบื้องหน้า
เงาสีดำทะมึนลืมตาขึ้นกลายเป็นดวงตาเรียวสีแดงราวกับปีศาจ ครั้นเงานั้นเคลื่อนเข้ามาใกล้ ชายหนุ่มจึงรู้ตัวว่านั่นไม่ใช่เงาของมนุษย์
“อย...” ไม่ทันที่เขาจะได้พูดสิ่งใดออกไป ปราณมารสีดำก็พุ่งเข้าหาร่างของเขาในทันที
ดวงตาชายผู้นี้เบิกโพลง สีหน้าผิดรูปผิดร่างด้วยความตกใจกลัวสุดขีด ร่างกายเริ่มบิดชักเพราะเจ็บปวด นอนดิ้นทุรนทุรายท่ามกลางพงหญ้าสูงที่พัดไหว
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอยู่ในสายตาของหลินหลีเหว่ย เขายิ้มมีเลศนัยนึกในใจว่าครั้งนี้หวังเยี่ยนหลงพลาดท่าให้เขาเสียแล้ว ศัตรูอ่อนกำลังลง เปิดโอกาสให้เขาอย่างง่ายดาย
ช่วงสายวันต่อมา เหลียนเฟินเดินสำรวจที่ทางในเมืองกับหลวนเล่อเพื่อหาเบาะแสเพิ่มเติม แต่ไม่พบเจอสิ่งใดนอกจากเห็นปราณมารบาง ๆ ในตัวชาวบ้านบางคน
“ศิษย์พี่ ท่านเห็นหรือไม่ว่าชาวบ้านผู้นั้นมีสิ่งใดแปลกไป” เหลียนเฟินกระซิบถามพลางส่งสายตาให้มองคนผู้นั้น
“อื้ม ไอปราณมารเล็กน้อย ไม่ใช่แค่เขาหรอก เจ้าดูสิ”
ชาวบ้านหลายคนประสบปัญหาเช่นเดียวกัน ศิษย์วังธาราเหมันต์จึงคิดชำระล้างปราณมารเพื่อช่วยเหลือก่อนแล้วค่อยสืบหาเบาะแสของร่างศพทีหลัง
“ข้าจะรออยู่ข้างในตรอกร้านหนังสือ ศิษย์พี่ค่อย ๆ พาพวกเขามาหาข้าทีละคนเถิด” เหลียนเฟินเอ่ยปาก ตั้งใจจะชำระล้างปราณมารช่วยคนเหล่านั้น เขารู้ดีว่ามันไม่ได้อันตรายจนถึงแก่ชีวิตในเร็ววัน แต่หากปล่อยไปเรื่อย ๆ ปราณมารจะค่อย ๆ ทำลายร่างกายของพวกเขาจนป่วยไข้กลายเป็นเสียชีวิตเพราะโรคภัยแปลก ๆ
“บอกข้า ถ้าเจ้าไม่ไหว” หลวนเล่อสบตาศิษย์ผู้น้องก่อนจะเดินไปพาตัวชาวบ้านมาที่ตรอกข้างร้านหนังสือทีละคนตามแผนที่วางไว้เพื่อไม่ให้คนที่ก่อเรื่องไหวตัวทัน
กว่าทั้งสองคนจะจัดการได้ทั้งหมดก็ใช้เวลาไปครึ่งค่อนวัน พลันท้องร้องจ๊อก จ๊อกเพราะไม่ได้ทานอะไรเลยตั้งแต่เช้า
“เหลียนเฟิน ข้าตาลาย แข้งขาอ่อนแรง ท้องร้องไม่หยุด จะเป็นลม” หลวนเล่อพึมพำเบา ๆ เพื่อเก็บแรงไว้เดินกลับโรงเตี๊ยม
เหลียนเฟินหยุดเดินแล้วนั่งลงด้านหน้านาง “ข้าให้ขี่หลัง”
รอยยิ้มบางปรากฏบนใบหน้าของนาง “น่ารักที่สุด” หลวนเล่อไม่รอช้า ทำตามที่เขาบอกทันทีเพราะกลัวเจ้าตัวจะเปลี่ยนใจ
ตรอกเล็กไร้ผู้คนถัดไปไม่ไกลนัก หวังเยี่ยนหลงยืนประจันหน้ากับหลินหลีเหว่ย สีหน้าของเขาดูผ่อนคลาย ทั้งยังแสยะยิ้มให้คนตรงหน้า
“อยากฆ่าข้านักไม่ใช่หรือ เหตุใดไม่เข้ามาให้ใกล้กว่านี้อีกเล่า” หวังเยี่ยนหลงท้าทายเขา
“ทำไมเจ้ายังมีปราณมารรุนแรงเช่นเดิม” หลินหลีเหว่ยถามออกไป เมื่อคืนก่อนเขามั่นใจแล้วว่าหวังเยี่ยนหลงปลดปล่อยปราณมารไปหมดแล้ว ไม่มีทางสู้เขาได้อย่างแน่นอน คืนนี้เขาจึงคิดลงมือชำระความแค้นอันยาวนาน
ทว่า จากผู้ล่ากลายเป็นผู้ถูกล่า หวังเยี่ยนหลงไม่ได้อ่อนแออย่างที่เขาเข้าใจ หรือข้อมูลของหลี่น่าจะคลาดเคลื่อน เขาคิดในใจ
“หากข้าบอกเรื่องนั้นไป ยังจะเป็นความลับได้อยู่หรือ” หวังเยี่ยนหลงยิ้มยียวน ในเมื่อมีคนรู้แล้วว่าเขาจะอ่อนแอลงหลังคืนปลดปล่อยปราณมาร เช่นนั้นเขาจึงระบายมันออกไปทีละนิด ไม่ปล่อยให้มันสะสมมากขึ้นเรื่อย ๆ รอวันที่เขาแน่ใจว่าหลินหลีเหว่ยแปลงโฉมเป็นผู้ใดจะรีบจัดการในทันที เหยื่อคนล่าสุดจึงเป็นแผนตบตาให้ตายใจว่าเขาอ่อนแอลงก็เท่านั้น
หวังเยี่ยนหลงไม่ชอบใช้วิธีนี้เท่าใดนัก เขาพยายามจะควบคุมปราณมารยามที่มันทวีความรุนแรงให้ได้ จึงมักจะปล่อยให้มันสะสมในร่างกายเพื่อทดลองด้วยตัวเอง กระนั้นก็ยังไม่เจอวิธีนั้น “เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าเป็นข้า” หลินหลีเหว่ยถามอีกครั้ง มีเรื่องมากมายที่เขาสงสัย ทั้งที่ปิดบังตัวตนเพียงนี้แต่ก็ยังถูกจับได้
“เฮอะ วิชาของเจ้า กลับไม่ศึกษาอย่างถ่องแท้”เขาดีดนิ้วหนึ่งครั้ง พลันกลิ่นโอสถตัวหนึ่งพัดวูบผ่านจมูกของคนตรงหน้า “กลิ่นโอสถละลายร่างของเจ้าฉุนแสบจมูกปานนี้ ข้าคงไม่มีวันลืมไปได้หรอก” พูดจบเขาแสยะยิ้มอีกรอบเพราะเห็นสีหน้าที่เปลี่ยนไปของหลินหลีเหว่ย
“เหตุใด”
“ทั้งคนของเจ้า น้องสาวเจ้า กลิ่นเดียวกันไม่มีผิด”
ที่แท้หวังเยี่ยนหลงรู้ทุกอย่างมาโดยตลอด แต่คร้านจะตามหาตัวหลินหลีเหว่ยท่ามกลางลูกน้องของเขาหลายสิบคนที่ปะปนอยู่ในเมือง จึงคิดใช้วิธีนี้ล่อหลินหลีเหว่ยออกมาหาเขาด้วยตนเอง พวกลูกกระจ๊อกพรรคทลายฟ้าไม่กล้าเข้าหาเขาแม้จะรู้ว่าตัวเขาอ่อนกำลังลงแล้ว จะมีก็เพียงหลินหลีเหว่ยผู้ทะนงตัวคิดว่าเหนือกว่าเขาลอบเข้ามาลงมือถึงที่
“ข้าไม่มีวันแพ้เจ้าเพราะเรื่องแค่นี้” หลินหลีเหว่ยตอบโต้ หมุนข้อมือร่ายอาคมเรียกอาวุธของตนเองออกมาแล้วสั่งให้มันพุ่งแทงหวังเยี่ยนหลง
เคร้ง! เสียงอาวุธหล่นกระทบพื้น หวังเหยี่ยนหลงเรียกกระบี่คู่กายของเขามาได้เร็วกว่าตวัดง้างขึ้นเพื่อปัดอาวุธของศัตรูให้พ้น ปลายกระบี่จึงบาดใบหน้าของหลินหลีเหว่ยจากแก้มข้างซ้ายพาดผ่านกลางจมูกจรดหน้าผากในทันใด
“โอ๊ย!” เขาร้องดังลั่นไม่คิดว่าจะพลาดท่าอีกเป็นครั้งที่สอง หากพลังของหวังเยี่ยนหลงไม่ได้อ่อนแอ หมายความว่าเขาเองไม่อาจสู้ได้ หลินหลีเหว่ยไม่รอช้า กระโดดข้ามหลังคาสูงหนีไปอีกทางอย่างไม่คิดชีวิต
หวังเยี่ยนหลงเบื่อหน่ายที่จะต้องคอยหาตัวเขาอีกครั้งจึงคิดจะสะสางเรื่องราวความแค้นที่มีทั้งหมดให้จบสิ้นในวันนี้ เขาจึงรีบตามหลังหลินหลีเหว่ยไปติด ๆ
“เหลียนเฟิน ช้าก่อน” หลวนเล่อรู้สึกได้ว่าลางร้ายกำลังเข้ามาใกล้ จึงลงจากหลังศิษย์น้องแล้วเรียกกระบี่ออกมาตั้งท่ารอจังหวะ
“ช่วยข้าด้วย! ช่วยข้าด้วย!” น้ำเสียงสิ้นหวังของชายขอทานดังก้องมาแต่ไกล
“แปลกนัก ไม่มีผู้ใดได้ยิน นอกจากเรา” หลวนเล่อคิ้วขมวด
“ศิษย์พี่ถอยออกมาก่อน” เหลียนเฟินถือกระบี่เดินมาขวางอยู่ข้างหน้านาง สายตามองไปด้านหลังของชายขอทาน
คนที่ถูกจ้องรู้สึกหงุดหงิดใจอย่างบอกไม่ถูก คิดในใจหากผู้ใดขวาง อย่าหาว่าเขาไร้ปรานี
สามเดือนต่อมาเช้าวันหนึ่งเสี่ยวหยุนมองเหลียนเฟินที่กำลังนอนหลับใหลในอ้อมกอดของเขา สายตาเต็มไปด้วยความรักท่วมท้นในใจก่อนจะพึมพำร่ายอาคมอย่างหนึ่งขึ้นมาพลันกรีดปลายนิ้วจนได้เลือดหยดหนึ่งหลอมรวมกับลูกกลมสีฟ้าเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน แม้เป็นวิชาที่เขาเพิ่งคิดค้นขึ้นมาได้แต่กลับรู้สึกคุ้นเคยอย่างบอกไม่ถูกเสี่ยวหยุนตั้งชื่ออาคมนั้นว่า “พันธะวิญญาณ” อาคมที่สามารถผูกวิญญาณของพวกเขาทั้งสองไว้ด้วยกันในทุก ๆ ชาติ ไม่ว่าเหลียนเฟินจะเกิดเป็นผู้ใด อยู่ที่ไหน เขาจะรู้ได้ในทันที นับต่อจากนี้ไม่มีพรากจากลมหายใจของร่างบางในอ้อมกอดสัมผัสแผ่นอกกว้างของเขาเตือนสติให้รู้ตัว ล้มเลิกความคิดเช่นนั้น เสี่ยวหยุนยิ้มมุมปากพลางถอนหายใจเฮือกใหญ่แล้วบีบอาคมนั้นให้แตกสลายไปริมฝีปากจุมพิตหน้าผากเรียกเหลียนเฟินด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ฟูเหรินของข้า”“อืม…” เหลียนเฟินยังคงงัวเงียพลันได้รับจุมพิตที่แก้ม โลมเลียลงลำคอ สัมผัสเรียวลิ้นร้อนชื้นดูดเม้มก่อนจะถูกใครบางคนคร่อมร่างกายท่อนบนเอาไว้“ฟูเหริน ท่านยังไม่ตื่นอีกหรือ” เขาเอ่ยถามด้วยน้ำ
เหลียนเฟินนอนนิ่งบนแผ่นอกของเขา ส่วนล่างกระตุกบีบแก่นกายที่ค้างอยู่ราวกับเชิญชวนจึงถูกพลิกตัวเป็นฝ่ายนอนใต้ร่างพลางโดนเสี่ยวหยุนจับขาสองข้างยกขึ้นแล้วขย่มสะโพกเป็นจังหวะ“ข้าเพิ่งจะ…อ๊ะ...” เหลียนเฟินไม่ทันได้พูดอะไรก็ต้องเม้มปากตัวเองอีกครั้ง มือสองข้างจับหมอนที่วางอยู่ ขยำจนผ้ายับยู่ยี่ ลมหายใจร้อนหอบถี่ ฟังแล้วยิ่งกระตุ้นให้อีกฝ่ายเกิดความต้องการอย่างยิ่งยวดแก่นกายที่ครูดเข้าออกเร่งขึ้นอย่างเร่าร้อนจนน้ำที่ปล่อยเอาไว้เมื่อครู่กระเซ็นเปรอะเปื้อน คนกระทำยิ้มมุมปากชอบใจยิ่งนักที่ได้เห็นร่องรอยของเขาบนตัวคนรักเมื่อโพรงเนื้อโอบรอบจนมิดแน่นขนัดยิ่งเสียวซ่านจนตาเหลือกลอย “อือ… เหลียนเฟิน” ในใจวนเวียนแต่คำว่า อีกนิด ข้าขออีกนิดในขณะที่คนใต้ร่างแทบคุมสติตัวเองไม่อยู่ พึมพำแผ่วเบา “ข้าไม่ไหวแล้ว… อย่าเพิ่งขยับ”“จะให้ข้าหยุดจริงหรือ” เขาเอ่ยถามแต่ส่วนลับยังคงกระทุ้งเข้า ๆ ออก ๆ บดเบียดภายใน หยอกล้อเหลียนเฟินเพราะอยากเห็นสีหน้าแดงระเรื่อ สุขสม พลันวางขาทั้งสองข้างลงแล้วพลิกตัวเหลียนเฟินให้นอนคว่ำในพริบตาก่อนจะยกส
เหลียนเฟินโอบแขนรอบคอของเสี่ยวหยุนกดแรงโน้มตัวเขาลงมาหา จ้องมองอีกฝ่ายไม่วางตาพลันยิ้มอ่อนโยน เอ่ยกระซิบยืนยันความรู้สึกของตัวเอง “ข้ารักเจ้า”คนได้ฟังคำรักน้ำตาไหลเอ่อไม่อาจกั้นด้วยความรู้สึกผิดระคนกับความรู้สึกอื่น ๆ ในใจ แม้รู้ตัวว่าไม่สมควรมายืนอยู่ข้างเขาแต่เวลานี้ก็ไม่อาจขยับกายหรือเบือนหน้าหนีอีกฝ่ายได้เลยเขารักเหลียนเฟิน ผู้เป็นฟูเหรินของเขาและไม่อยากถูกพรากจากอีกแล้ว ทั้งยังดีใจเพราะใบหน้าที่มองเขาในเวลานี้ไม่ใช่ใบหน้าของคนที่เกลียดชังเขาจนต้องจ่อปลายกระบี่เข้าหาราวกับแค้นเคืองกันมาเนิ่นนาน“เสี่ยวหยุน” เสียงเรียกหาอ่อนหวานจับใจ “ยังคงจำได้อยู่ใช่หรือไม่ว่าเวลานี้เจ้าคือฟูจวินของข้า”“…” เขาพยักหน้าเล็กน้อย เม้มปากแน่นแล้วกอดเหลียนเฟินเอาไว้ครั้นสะสางความหลัง ปรับความเข้าใจกันเรียบร้อยแล้ว ทุกอย่างพลันคลี่คลาย ไม่มีสิ่งใดติดค้างกันอีกต่อไปหวังซีซวนและพรรคพวกแวะมาหาพวกเขาเหมือนอย่างเคย สังเกตได้ว่าบรรยากาศระหว่างพวกเขาทั้งสองคนดูอึมครึมเล็กน้อย ดวงตาเสี่ยวหยุนบวมช้ำปรากฏเด่นชัดจนอดถามไม่ได้“
ครั้นเรื่องราววุ่นวายที่ใจกลางตลาดจบลงไปได้ด้วยดี เหลียนเฟินจึงพาเสี่ยวหยุนกลับมาพักฟื้นร่างกายที่บ้านหลังน้อย พลางขอให้หวังซีซวนช่วยกลั่นยาสมุนไพรให้เขาจนกว่าจะหายดีเขาหลับลึกอยู่หลายวันเพราะใช้เรี่ยวแรงร่ายวิชาอาคมโดยไม่สนขีดจำกัดของตัวเองเพียงเพราะเป็นห่วงเหลียนเฟินและไม่อยากให้สถานการณ์ยืดเยื้อใบหน้าสงบนิ่งยามหลับใหลทำให้เหลียนเฟินโล่งใจได้บ้างว่าเขาคงไม่ได้ฝันร้ายเหมือนที่ผ่านมาจึงปล่อยให้คนตรงหน้าพักผ่อนให้เต็มที่“ท่านเซียน เขาเป็นอย่างไรบ้างขอรับ” หลี่จิ้นหลิงแวะมาเยี่ยมเพราะได้ข่าวว่าเสี่ยวหยุนยังไม่ฟื้น“ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง เขาเพียงแค่ต้องนอนให้เยอะ ๆ ก็เท่านั้น” เหลียนเฟินยิ้มให้อีกฝ่ายนึกขอบคุณที่เขาช่วยหาตำราต้องห้ามจนพบ“หากท่านเซียนต้องการให้ช่วยเหลือเรื่องใด อย่าได้ลังเลใจที่จะบอกข้านะขอรับ” หลี่จิ้นหลิงพูดด้วยสีหน้าจริงจัง “เรื่องฟื้นฟูพลังชีวิตของท่าน ถ้าตำราต้องห้ามไม่ได้ผล ข้ายินดีหาหนทางอื่น”เหลียนเฟินส่ายหน้าเข้าใจดีว่าทุกคนเป็นห่วงแต่ว่าเขาเตรียมใจเอาไว้แล้ว ไม่ว่าผลที่ได้จะออกมาเป็น
“ปล่อยคุณหนูหลี่” เหลียนเฟินพูดด้วยสีหน้าเรียบเฉยก่อนจะเห็นอีกฝ่ายเคลื่อนไหวรวดเร็ว เขากำกระบี่ในมือไว้แน่นพลันยกขึ้นมากันท่าไม่ให้เสิ่นหยางพุ่งตัวเข้าใกล้ระยะประชิดก่อนจะม้วนตัวแล้วถีบคนตรงหน้ากระเด็นไปอีกทางด้วยแรงที่ออมไว้สามส่วน“ฝีเท้าหนักใช่เล่น” เขาเอ่ยชม รอยยิ้มกวนประสาทราวกับถูกใจอย่างยิ่งยวด “อย่าขัดขืนนักเลย เมื่อครู่ข้าเพียงยั้งมือเอาไว้เท่านั้นเพราะไม่อยากทำให้ร่างกายของท่านเซียนมีบาดแผล”เสิ่นเหยา แฝดผู้พี่ที่จับตัวหลี่ฮวาเอาไว้ลูบปลายจมูกตัวเอง “หากท่านเซียนยินยอมมากับพวกข้า ข้าจะคืนสตรีนางนี้เป็นการแลกเปลี่ยน”“เช่นนั้นปล่อยนางก่อน” เหลียนเฟินไม่ตกลงง่าย ๆ และเป็นห่วงความปลอดภัยหลี่ฮวาที่เวลานี้กำลังกลั้นน้ำตาไม่ร้องไห้เสียงดังด้วยความหวาดกลัว“ท่านเซียนคงไม่รู้ว่าข้าเป็นผู้ใดจึงพยายามเล่นแง่ยืดเวลาออกไปใช่หรือไม่ แต่ข้ายืนยันได้เลยว่าสองชั่วยามต่อจากนี้ไม่มีผู้ใดเข้ามาก้าวก่ายที่แห่งนี้ได้อย่างแน่นอนและหากทุกสิ่งไม่เป็นอย่างที่ข้าต้องการ ข้าจะทำลายหมู่บ้านให้ราบคาบ” เสิ่นหยางประกาศก้อง คำพูดของเขาทำให้ชาวบ้านขวัญ
ครั้นพูดคุยเรื่องตำราต้องห้ามเสร็จเรียบร้อยแล้ว พวกเขาก็กลับมายังบ้านหลังน้อยจึงได้เห็นว่าหลี่จิ้นหลิงกำลังนั่งเล่นอยู่ตั่งไม้กับเหลียนเฟินแววตาเสี่ยวหยุนเปลี่ยนไปเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยถามว่า “เจ้ามาทำอะไรที่นี่”“ข้าเห็นว่าท่านเซียนเมาหลับไป วันนี้จึงอยากมาดูให้แน่ใจว่ามีอาการใดหรือไม่” เขายักไหล่พูดด้วยสีหน้าสบายอารมณ์หากแต่เสี่ยวหยุนอารมณ์ดีจึงไม่ใส่ใจแล้วเดินไปนั่งข้างเหลียนเฟิน เอ่ยกับเขาว่า “ข้าต้องไปหอสมุดวังหลวง คุณชายหวังซีซวนบอกว่าที่นั่นมีตำราเก็บไว้อยู่ อาจช่วยฟื้นฟูพลังชีวิตของท่านได้”“เขาไม่ได้บอกหรือว่าที่แห่งนั้นห้ามให้คนนอกเข้าไป” เหลียนเฟินหรี่ตามองคนตรงหน้าที่ทำท่าเหมือนรู้ทุกอย่าง “หากคิดไปขโมยตำรามาก็หยุดแต่เพียงเท่านั้นเถิด พลังชีวิตของข้ามีแค่ครึ่งเดียวแล้วอย่างไร ไม่เห็นหรือว่าข้ายังแข็งแรงดี”“ไม่อยากอยู่กับข้านานกว่านี้หรือ” สีหน้าของเขาเศร้าสร้อยหากต้องล้มเลิกความตั้งใจ รู้ว่าบำเพ็ญคู่จะสามารถยืดอายุขัยออกไปได้ แต่หากพลังชีวิตของเขากลับมาเหมือนเดิม ย่อมมีโอกาสได้อยู่ด้วยกันนานมากขึ้นไปอีกเ