หลังจากที่การสแกนสมองเสร็จสิ้น หมอแนะนำให้กนกกลับไปพักฟื้นที่บ้านเพื่อให้ร่างกายและจิตใจได้ผ่อนคลาย
"เราจะกลับบ้านกันแล้วนะลูก"
กนกที่นั่งเหม่อลอยอยู่บนเตียง เงยหน้าขึ้นมองหมอเพชร ดวงตากลมโตดูเลื่อนลอยราวกับจิตใจของเขายังคงติดอยู่ที่ไหนสักแห่ง
"บ้าน..." เด็กชายพึมพำเสียงเบา "ผมอยากกลับบ้าน..."
เพียงเท่านั้น พ่อของเขาก็รีบก้าวเข้ามา อุ้มลูกชายขึ้นแนบอกโดยไม่รอช้า "เราจะกลับบ้านกันนะครับลูก" น้ำเสียงอ่อนโยนเอ่ยปลอบโยน ขณะที่อ้อมแขนโอบรัดลูกแน่นราวกับจะปกป้องจากทุกสิ่ง หมอเพชรยิ้มบางๆ ให้ลูก ก่อนจะหันไปพยักหน้าให้สามี "พากนกไปขึ้นรถก่อนนะ ฉันขอพบหมอก่อน"
สามีพยักหน้ารับ ก่อนเดินออกไปพร้อมกับลูกที่ซบหน้าลงบนบ่า
ในห้องตรวจ หมอเพชรนั่งตัวตรงอยู่บนเก้าอี้ มือที่วางอยู่บนตักกำแน่นจนรู้สึกถึงแรงกดของปลายนิ้ว หัวใจของเธอเต้นแรงจนน่าอึดอัด เธอพยายามสูดลมหายใจเข้าลึกๆ แต่กลับรู้สึกว่ามันตื้นเขินกว่าปกติและพยายามไม่คิดถึงสิ่งที่เลวร้ายที่อาจจะทำให้ชีวิตของลูกชายเธอเปลี่ยนไปตลอดกาล
"ตอนนี้ เรายังไม่พบการบาดเจ็บทางร่างกายจากสมองครับ" แพทย์กล่าวพลางวางแฟ้มผลตรวจลงบนโต๊ะ
"แต่จากอาการของคนไข้ มีแนวโน้มว่า... เขาอาจได้รับผลกระทบทางจิตใจอย่างรุนแรง ภาพที่เขาเห็นอาจก่อให้เกิดบาดแผลทางความทรงจำ ทำให้สภาวะการรับรู้ช้าลง และเกิดอาการเหม่อลอย" เสียงของแพทย์ก้องสะท้อนในห้องตรวจที่เงียบสนิท หมอเพชรนั่งตัวตรง ขณะที่ปลายนิ้วกำชายเสื้อเบาๆราวกับกำลังใช้มันยึดเหนี่ยวตัวเองเอาไว้ไม่ให้หลุดลอยไปกับความหวาดกลัว
"หมายความว่าอะไรคะ" เธอขมวดคิ้ว พยายามคุมเสียงให้มั่นคงแต่หัวใจกลับเต้นรัวแรงอยู่ภายในอก
แพทย์ถอนหายใจแผ่วเบา ก่อนอธิบายอีกครั้ง "พูดง่ายๆ คือ สมองของเขากำลังปกป้องตัวเองจากสิ่งที่กระทบกระเทือนจิตใจเกินไป อาจทำให้เกิดอาการลืม หรืออาการตอบสนองช้ากว่าปกติ"
หน้าของหมอเพชรรู้สึกชาไปชั่วขณะเธอไม่เคยคิดว่าเหตุการณ์ครั้งนี้จะกระทบจิตใจของลูกชายมากถึงขนาดนี้ ไม่เคยคิดเลยว่า "กนกของเธอ"... จะต้องมาเผชิญกับสิ่งนี้ตั้งแต่อายุเพียงเท่านี้
เธอพยายามจะพูดอะไรบางอย่าง แต่คำพูดกลับติดขัดอยู่ที่ลำคอ เสียงของเธอเหมือนถูกดูดกลืนไปโดยสิ้นเชิง แค่คิดว่าลูกของเธอกำลังเผชิญความทุกข์นี้เพียงลำพัง เธอก็แทบจะรับไม่ไหว แพทย์สัมผัสได้ถึงความหนักอึ้งในใจของเธอ จึงกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงปลอบโยน
"คุณแม่ไม่ต้องกังวลไปก่อนนะครับ"
"ในตอนนี้ ผมแนะนำให้พาเด็กกลับไปใช้ชีวิตตามปกติ ให้เขาอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัย อบอุ่น อย่ากระตุ้นให้เขานึกถึงเหตุการณ์นั้น และคอยเฝ้าสังเกตอาการ" แพทย์พูดด้วยน้ำเสียงมั่นคง
หมอเพชรก้มมองมือตัวเองที่กำแน่นอยู่บนตัก ก่อนจะสูดลมหายใจเข้าลึกๆ "ละ...แล้ว เราจะรู้ได้ยังไงว่าเขาจะดีขึ้นคะ"
น้ำเสียงของเธอไม่มั่นคงเหมือนทุกครั้ง คล้ายกับกำลังพยายามกลั้นน้ำตาที่เอ่อคลอ เธออยากจะร้องไห้อยากโอบกอดลูกชายตัวน้อย อยากรับเอาความเจ็บปวดทั้งหมดนั้นไว้กับตัวเองแทน
แพทย์มองเธอด้วยความเข้าใจ "เราต้องรอผลตรวจอย่างละเอียดอีกครั้งในสองสัปดาห์นะครับ ตอนนั้นเราจะสามารถวินิจฉัยได้ชัดเจนขึ้นว่ากนกมีภาวะ PTSD หรือไม่"
หมอเพชรพยักหน้า แม้หัวใจจะหนักอึ้งราวกับถูกถ่วงลงไปในห้วงลึกเธอรู้สึกอยากจะร้องไห้ตรงนี้ อยากปลดปล่อยความรู้สึกทั้งหมดออกมา แต่เธอทำไม่ได้เพราะตอนนี้สิ่งที่เธอทำได้มีเพียงสิ่งเดียว
พาลูกกลับบ้าน... พาเขากลับไปยังที่ที่ปลอดภัยที่สุด
ให้บ้าน โอบกอดเขาไว้
ให้ความรัก ปกป้องเขาจากสิ่งที่โหดร้าย
และหวังว่า... ไม่ช้าก็เร็ว กนกของเธอจะกลับมาเป็นเด็กที่สดใสเหมือนเดิม
ในห้องรอผลตรวจบรรยากาศเงียบงันจนได้ยินเสียงนาฬิกาที่เดินไปอย่างเป็นจังหวะ แสงไฟสีขาวส่องกระทบแฟ้มเอกสารที่อยู่ในมือของแพทย์ เขาเงยหน้าขึ้นมองหมอเพชรและสามี ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบ แต่หนักแน่น
"ผลตรวจออกมาแล้วครับ"
หัวใจของหมอเพชรเต้นแรงขึ้นมาทันที ลมหายใจเธอติดขัดไปชั่วขณะ มือที่วางบนตักกำแน่นโดยไม่รู้ตัว ขณะที่สามีของเธอนั่งนิ่ง กำหมัดเบาๆ เหมือนกำลังพยายามควบคุมอารมณ์ของตัวเอง
"จากการสแกนสมองและประเมินผลทั้งหมด พบว่า... สมองของกนกไม่ได้รับการกระทบกระเทือนแต่อย่างใด"
หมอเพชรเผลอถอนหายใจเบาๆ อย่างโล่งอก ก่อนที่แพทย์จะพูดประโยคถัดมา
"แต่เมื่อนำผลตรวจไปประเมินร่วมกับการวินิจฉัยทางคลินิกโดยผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพจิต เราพบว่ากนกมีภาวะเครียดหลังเหตุการณ์สะเทือนใจ หรือ PTSD ครับ"
เสียงของแพทย์ดังก้องอยู่ในโสตประสาทสามีของหมอเพชรเม้มริมฝีปากแน่น ขณะที่หมอเพชรหลับตาลงเพียงเสี้ยววินาที ก่อนจะลืมขึ้นมองแพทย์ รอฟังประโยคถัดไปด้วยหัวใจที่หนักอึ้ง
"ตอนนี้ สมองของกนกกำลังปกป้องตัวเองโดยการกดความทรงจำบางส่วนให้หายไปชั่วคราว"
เหม่อลอยสองสัปดาห์หลังจากนั้นภายในบ้านหลังเดิม ทุกอย่างยังคงเหมือนเดิม แต่บรรยากาศกลับไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป กนกนั่งนิ่งอยู่บนพื้นไม้ข้างหน้าต่าง ดวงตากลมโตจ้องออกไปด้านนอก แต่ไร้ประกาย เขาไม่พูดอะไร ไม่ส่งเสียง ไม่แม้แต่จะขอให้แม่กอดเหมือนทุกครั้งที่เคยทำเด็กชายวัยห้าขวบ ที่ครั้งหนึ่งเคยวิ่งเล่นไปรอบบ้าน หัวเราะเสียงดังจนได้ยินไปถึงท้ายสวน... ตอนนี้กลับกลายเป็นเพียงเงาของตัวเอง"กนก ลูกอยากออกไปเดินเล่นกับพ่อไหมครับ?"เสียงของพ่อดังขึ้นเบาๆ เขานั่งยองๆ ลงตรงหน้าลูกชาย ยิ้มให้ แม้ว่าในใจจะเต็มไปด้วยความรู้สึกที่ไม่สามารถอธิบายได้ กนกไม่ได้เงยหน้าขึ้นมามองพ่อ เขาแค่กะพริบตาช้าๆ ราวกับได้ยินคำพูดนั้น แต่ก็ไม่ได้ตอบอะไร"งั้นออกไปนั่งกับพ่อข้างนอกดีไหม?"เด็กน้อยนิ่งเงียบอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนพยักหน้าเบาๆพ่ออุ้มกนกออกมานั่งที่แคร่ไม้หน้าบ้าน อากาศเย็นสบาย สายลมพัดผ่านเบาๆ กลิ่นดินชื้นหลังฝนตกทำให้ทุกอย่างดูสงบลงแต่กนกก็ยังคงนั่งนิ่งไม่มีค
สามีของหมอเพชรขมวดคิ้ว "หมายความว่า...เขาลืมสิ่งที่เกิดขึ้นไปแล้ว?"แพทย์พยักหน้า "ใช่ครับ สมองของเขาเลือกที่จะ 'ลืม' เพื่อป้องกันตัวเองจากความเจ็บปวด แต่ก็ไม่ทั้งหมด"เขาเปิดเอกสารก่อนจะอธิบายต่อ "บางครั้ง ความทรงจำอาจไม่ถูกลบออกไปโดยสิ้นเชิง มันอาจคงอยู่ในรูปแบบของ ‘ความรู้สึก’ หรือ ‘ภาพที่คุ้นเคย’ กนกอาจจำบางส่วนได้ เช่น คนบางคน หรือเหตุการณ์บางอย่างที่ไม่ชัดเจน แต่เขาจะไม่สามารถเรียงลำดับเหตุการณ์ทั้งหมดได้"แพทย์เว้นจังหวะไปครู่หนึ่ง ก่อนกล่าวต่อ "และหากกนกต้องเจอกับสถานการณ์ หรือสิ่งกระตุ้นที่เชื่อมโยงกับเหตุการณ์ในวันนั้น เขาอาจจะจำได้อีกครั้ง และมันอาจกระตุ้นให้เกิดอาการตื่นตระหนก หรือปวดหัวรุนแรงเหมือนก่อนหน้านี้"หมอเพชรเม้มริมฝีปากแน่น เธอไม่อยากให้ลูกต้องเผชิญกับความเจ็บปวดซ้ำๆ"แล้วตอนนี้... อาการของเขาจะเป็นยังไงต่อไปคะ?"แพทย์ถอนหายใจเบาๆ ก่อนตอบ "ตอนนี้เด็กอาจมีอาการที่คล้ายกับอยู่ในความทรงจำของตัวเอง หรืออยู่ในโลกที่สมองของเขาสร้างขึ้นเพื่อป้องกันตัวเอง เขาอาจมีช่วงเวลาที่เหม่อลอย รู้สึกสับสน หรือตอบส
หลังจากที่การสแกนสมองเสร็จสิ้น หมอแนะนำให้กนกกลับไปพักฟื้นที่บ้านเพื่อให้ร่างกายและจิตใจได้ผ่อนคลาย"เราจะกลับบ้านกันแล้วนะลูก"กนกที่นั่งเหม่อลอยอยู่บนเตียง เงยหน้าขึ้นมองหมอเพชร ดวงตากลมโตดูเลื่อนลอยราวกับจิตใจของเขายังคงติดอยู่ที่ไหนสักแห่ง"บ้าน..." เด็กชายพึมพำเสียงเบา "ผมอยากกลับบ้าน..."เพียงเท่านั้น พ่อของเขาก็รีบก้าวเข้ามา อุ้มลูกชายขึ้นแนบอกโดยไม่รอช้า "เราจะกลับบ้านกันนะครับลูก" น้ำเสียงอ่อนโยนเอ่ยปลอบโยน ขณะที่อ้อมแขนโอบรัดลูกแน่นราวกับจะปกป้องจากทุกสิ่ง หมอเพชรยิ้มบางๆ ให้ลูก ก่อนจะหันไปพยักหน้าให้สามี "พากนกไปขึ้นรถก่อนนะ ฉันขอพบหมอก่อน"สามีพยักหน้ารับ ก่อนเดินออกไปพร้อมกับลูกที่ซบหน้าลงบนบ่าในห้องตรวจ หมอเพชรนั่งตัวตรงอยู่บนเก้าอี้ มือที่วางอยู่บนตักกำแน่นจนรู้สึกถึงแรงกดของปลายนิ้ว หัวใจของเธอเต้นแรงจนน่าอึดอัด เธอพยายามสูดลมหายใจเข้าลึกๆ แต่กลับรู้สึกว่ามันตื้นเขินกว่าปกติและพยายามไม่คิดถึงสิ่งที่เลวร้ายที่อาจจะทำให้ชีวิตของลูกชายเธอเปลี่ยนไปตลอดกาล"ตอนนี้ เรายังไม่พบการบาดเจ็บทางร่างกายจากสมองครับ" แพทย์กล่าวพลางวางแฟ้มผลตรวจลงบนโต๊ะ "แต่จากอาการของคนไข้ มีแนวโน้
เสียงร้องไห้ของเด็กชายวัยห้าขวบดังสนั่นไปทั่วห้องพักพิเศษ เสียงนั้นแหลมสูงและเต็มไปด้วยความตื่นตระหนก ราวกับคนที่เพิ่งตื่นจากฝันร้ายที่กัดกินจิตใจไปนานแสนนาน พยาบาลที่เข้าเวรอยู่รีบกดโทรศัพท์ไปยังสำนักงานสาธารณสุขอำเภอเพื่อแจ้งข่าว"คุณหมอเพชรคะ! ลูกชายคุณฟื้นแล้วค่ะ แต่เขาร้องไห้หนักมากจนตัวสั่น เราต้องการให้คุณมาดูแลด่วน"ทันทีที่ได้รับโทรศัพท์ หมอเพชรรู้สึกเหมือนหัวใจหลุดออกจากอก "กนก...ลูกฟื้นแล้ว" เขาพึมพำกับตัวเองอย่างแทบไม่เชื่อหูเพราะลูกชายสลบไปถึงสามวันเขารีบคว้าโทรศัพท์โทรหาสามีที่ทำงานอยู่ในสวนมะพร้าว "คุณคะ กนกฟื้นแล้วค่ะ" น้ำเสียงของเขาสั่นไหว ทั้งดีใจ ทั้งเป็นห่วง"เดี๋ยวผมไปเดี๋ยวนี้!" อีกฝ่ายตอบทันทีจากนั้น หมอเพชรก็รีบจัดการลางานเร่งด่วนและตรงดิ่งไปหาลูกโดยไม่รอช้าทว่าเมื่อไปถึง เขาก็พบว่ากนกยังคงร้องไห้ไม่หยุดร่างเล็กของลูกนอนอยู่บนเตียง แผ่นอกกระเพื่อมขึ้นลงอย่างรวดเร็วจากการสะอื้น ดวงตากลมโตเต็มไปด้วยความหวาดกลัว เสียงร้องของเขาสั่นระริก ไม่ใช่เพียงเพราะตกใจที่ตื่นขึ้นมาเจอสถานที่แปลกตา แต่เป็นเพราะสิ่งที่เขาเผชิญในความมืดตลอดสามวันที
ช่วงสองสามวันที่ผ่านมา หมอเพชรเดินเข้าออกโรงพยาบาลเป็นว่าเล่น ความเหนื่อยล้าเริ่มก่อตัวจนรู้สึกเหมือนร่างกายหนักอึ้ง แต่เขาก็ไม่มีเวลาจะสนใจมัน เพราะเรื่องราวทุกอย่างกลับไม่ได้ง่ายอย่างที่คิด ตอนแรกเขาเชื่อว่า เมื่อทุกอย่างถึงมือหมอน่าจะคลี่คลายไปในทางที่ดีขึ้นแต่มันกลับผิดไปจากที่คาดไว้มาก ลูกชายของเขา กนกหมดสติไปมากกว่าหนึ่งวันแล้วและจนถึงตอนนี้ก็ยังไม่มีวี่แววว่าจะฟื้น ดวงตาของเขายังคงปิดสนิท ร่างกายดูสงบเกินไปจนหมอเพชรรู้สึกหวั่นใจส่วนภพ อาการของเขาหนักกว่ามาก กระดูกบริเวณใบหน้าหักจากแรงกระแทกและยังมีอาการบวมช้ำภายใน แพทย์ต้องเฝ้าระวังอาการอย่างใกล้ชิดแต่ปัญหาคือเครื่องมือของโรงพยาบาลแห่งนี้ไม่พร้อมพอสำหรับการรักษาในระดับที่ภพต้องการ เมื่อญาติๆ ของภพได้รับข่าวว่าหลานชายของพวกเขาถูกทำร้ายจนอาการสาหัส พวกเขาก็ไม่รอช้า รีบขอให้มีการย้ายตัวผู้ป่วยไปยังโรงพยาบาลใหญ่ในตัวเมืองซึ่งมีเครื่องมือและทีมแพทย์ที่พร้อมกว่ามาก หมอเพชรเข้าใจดีว่ามันเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดแม้จะเป็นภาระหนักสำหรับแป้นก็ตามเขาช่วยจัดการเรื่องเอกสารการส่งตัวภพด้วยตัวเอง ทำเรื่องให้ทุกอย่างดำเนินไปอย่
วันนี้เป็นอีกวันหยุดที่เขาพาน้องมาเล่นที่บ้านสวนแต่ความรู้สึกมันไม่เหมือนเดิม เสียงเอะอะโวยวายดังมาจากบ้าน หลุดลอดมาถึงสวนมะพร้าวที่พวกเขาอยู่ ภพชะงักและหันไปสบตากับกนกที่กำลังเล่นสนุกกันอยู่"พี่ภพ...เสียงอะไรน่ะ"ภพไม่ได้ตอบแต่เขารู้สึกไม่ดีเลย มันไม่ใช่เสียงทะเลาะเบาๆ หรือแค่ใครทำของหล่น มันดูรุนแรงกว่านั้น"ไปดูที่บ้านกัน" เขาตัดสินใจจูงมือน้องวิ่งกลับไปแต่เมื่อไปถึงภาพที่เห็นทำให้เขาแทบหยุดหายใจ เมื่อเห็นพ่อยืนอยู่กลางบ้าน เขาคนนั้นร่างกายผอมซูบกว่าเดิม ดวงตาแดงก่ำคล้ายคนที่ไม่ได้หลับมาหลายวัน เสื้อผ้ายับยู่ยี่เหมือนไม่ได้เปลี่ยนมาหลายวันด้วยซ้ำแต่สิ่งที่น่ากลัวกว่าทุกอย่างคือ พ่อกำลังยื้อแย่งอะไรบางอย่างจากมือแม่จนทำให้ข้าวของกระจัดกระจายเต็มพื้น โต๊ะเก้าอี้ล้มระเนระนาด"แม่!"ภพตะโกนสุดเสียงจนพ่อชะงัก แต่เพียงเสี้ยววินาทีเท่านั้นก่อนที่เขาจะหันขวับมาทางแม่อีกครั้ง"ทำไมไม่มี! เอาไปไว้ไหน! เงินมันอยู่ไหน!" พ่อตวาดใส่แม่เสียงดัง"ฉันไม่มีแล้ว! พอเถอะนะ!" เสียงแม่สั่นเครือแต่พ่อไม่ฟัง เขากระชากตัวแม่แรงขึ้นก่อนจะเริ่มลงมือ
"เฮ้ย ไอ้ภพ มึงกลับบ้านกับเด็กนั่นทุกวันเลยเหรอวะ"เสียงแซวของเพื่อนในห้องดังขึ้น ขณะที่ภพกำลังนั่งเขียนอะไรบางอย่างอยู่ เขาเงยหน้าขึ้นมามองอย่างงุนงง"ทำไมหรอ?" เพื่อนยักไหล่ยิ้มเจ้าเล่ห์ก่อนจะว่าต่อ "ก็น้องชายมึงก็ไม่ใช่... มึงลองพามันไปบ้านมึงดิ๊"ภพหลุดหัวเราะเบาๆ พลางส่ายหน้า "มึงอยากให้กนกไปบ้านกูจริงดิ เดี๋ยวพ่อกูก็อาละวาดบ้านแตกหรอก""แม่มึงก็เก่งเนอะ อยู่กับพ่อมึงได้""แล้วกูไม่เก่งหรอวะที่อยู่กับพ่อแม่ได้""ไอ้เหี้ย มึงเป็นลูกมึงก็ต้องอยู่กับพ่อแม่ป่ะวะ""มั้ง..."เสียงหัวเราะเบาๆ ปะปนกับการพูดคุยเล่นกันในห้องเรียนแต่ภพกลับไม่ได้สนใจนัก เขาเพียงแต่เงียบลงเมื่อนึกถึงกนกเด็กน้อยที่มักจะรอเขากลับจากโรงเรียนทุกวัน มันเป็นเรื่องจริง... เพราะเส้นทางที่เขากลับบ้านผ่านสำนักงานสาธารณสุขตำบลพอดี ทุกเย็นน้าเพชรจะพากนกมาทำงานด้วย และกนกก็มักจะมาเล่นอยู่ที่สวนข้างสำนักงานรอให้ภพพากลับบ้านด้วยกัน มันเป็นแบบนี้มาเกือบสองเดือนแล้ว ตั้งแต่ที่พวกเขารู้จักกัน"พี่ภพ..."กนกน้อยจับเสื้อภพเขย่าเบาๆ ขณะที่พวกเขากำ
"เราจำตุ๊กตาตัวนี้ได้ไหม..."พี่ภพค่อยๆ หยิบตุ๊กตาตัวนั้นมาให้กนก ตุ๊กตาหมีสีเหลืองตัวเดิมผ้าขนหนูที่คลุมอยู่บนตักร่วงลงพื้น เขาหันหน้าหนีปิดตาแน่นไม่กล้ามองสิ่งที่ทำให้เขาหวาดกลัว มันเป็นอะไรที่เขาอธิบายไม่ได้แค่เห็นภาพนั้นกล้ามเนื้อก็เริ่มเกร็งหัวใจเต้นแรง และเริ่มหายใจหอบ“น้องกนก...” พี่ภพเรียกเบาๆ ด้วยน้ำเสียงกังวล กนกไม่ตอบจนพี่ภพรีบขึ้นไปบนเตียง โอบกอดน้องไว้แน่น“เราไม่ต้องกลัว...เราจะปลอดภัย”“ผะ...ผม...ผมไม่อยากเห็นมัน...” หอบถี่และหนักหน่วง สะท้อนถึงความหวาดหวั่นที่ก่อตัวขึ้นในอก มือที่กำเสื้อของพี่ภพไว้สั่นระริก ความอบอุ่นจากร่างกายของอีกฝ่ายเป็นสิ่งเดียวที่ช่วยยึดเหนี่ยวเขาไว้ในตอนนี้“เราจะไม่เป็นอะไร...พี่จะอยู่ข้างเรา...จะไม่มีใครทำอะไรเรา” เสียงกระซิบของพี่ภพนุ่มนวลและอบอุ่น ราวกับสายลมอ่อนที่พัดผ่านใจ เขาเผลอหลับตาลงปล่อยให้ถ้อยคำเหล่านั้นแทรกซึมเข้ามาอย่างแผ่วเบา มันเหมือนมีมนต์สะกดค่อยๆปลดเปลื้องความตึงเครียดในอกไปทีละนิด ลมหายใจที่เ
ผมพยายามไม่รอเขา...แต่ก็อดไม่ได้ที่จะเหลือบมองนาฬิกาบนมือถือทุกๆ สิบนาที ไม่ดูหรอก...ก็ตั้งใจอ่านหนังสือนิยายอยู่นะ วันนี้เป็นวันพักผ่อนหลังสอบ ควรจะผ่อนคลายสักหน่อย แต่ไม่รู้ทำไม ตัวหนังสือที่เคยสนุกกลับกลายเป็นแค่ตัวอักษรที่เรียงกันไม่มีความหมาย หรือว่าผมกำลัง...ก็อกๆ เสียงเคาะประตูดังขึ้น ผมรีบวิ่งไปเปิดประตูทันที ใจเต้นแรงเหมือนเด็กน้อยที่รอคอยของขวัญ แต่คนที่ยืนอยู่ตรงนั้นกลับไม่ใช่พี่ภพ..."คนเก่ง...ได้ท็อปเลยดิ ยังอ่านหนังสือทั้งที่วันนี้ก็วันศุกร์" มิวยืนอยู่หน้าประตู ยิ้มกว้างพร้อมกับชีทที่ถืออยู่ในมือผมพยักหน้าเล็กน้อย พยายามเก็บความรู้สึกผิดหวังไว้ในใจ "ทำไมวันนี้มาหาเรา...ลืมอะไรหรือเปล่า""ลืม...ลืมชีทที่เราให้แกวันติวไว้""อ้าว แล้วไม้โทรมาบอก" ผมถามด้วยน้ำเสียงที่พยายามให้เป็นปกติ"ก็ห้องอยู่แค่ชั้นเดียว เดินมาหากันก็ได้" มิวยักไหล่แล้วก็ส่งสายตามองผมอย่างสนใจ"...ไม่ใช่หรอ หรือแกมีอะไร""มีอะไรล่ะ ไม่มี"มิวหัวเราะเบาๆ "แล้วนี่ไม่กลัวแล้วหรอ...พี่ชายข้างบ้านยังมาหาอยู่ไหม""ก็มา