Share

เหม่อลอย

last update Last Updated: 2025-05-18 18:30:10

เหม่อลอย

สองสัปดาห์หลังจากนั้น

ภายในบ้านหลังเดิม ทุกอย่างยังคงเหมือนเดิม แต่บรรยากาศกลับไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป กนกนั่งนิ่งอยู่บนพื้นไม้ข้างหน้าต่าง ดวงตากลมโตจ้องออกไปด้านนอก แต่ไร้ประกาย เขาไม่พูดอะไร ไม่ส่งเสียง ไม่แม้แต่จะขอให้แม่กอดเหมือนทุกครั้งที่เคยทำ

เด็กชายวัยห้าขวบ ที่ครั้งหนึ่งเคยวิ่งเล่นไปรอบบ้าน หัวเราะเสียงดังจนได้ยินไปถึงท้ายสวน... ตอนนี้กลับกลายเป็นเพียงเงาของตัวเอง

"กนก ลูกอยากออกไปเดินเล่นกับพ่อไหมครับ?"

เสียงของพ่อดังขึ้นเบาๆ เขานั่งยองๆ ลงตรงหน้าลูกชาย ยิ้มให้ แม้ว่าในใจจะเต็มไปด้วยความรู้สึกที่ไม่สามารถอธิบายได้ กนกไม่ได้เงยหน้าขึ้นมามองพ่อ เขาแค่กะพริบตาช้าๆ ราวกับได้ยินคำพูดนั้น แต่ก็ไม่ได้ตอบอะไร

"งั้นออกไปนั่งกับพ่อข้างนอกดีไหม?"เด็กน้อยนิ่งเงียบอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนพยักหน้าเบาๆ

พ่ออุ้มกนกออกมานั่งที่แคร่ไม้หน้าบ้าน อากาศเย็นสบาย สายลมพัดผ่านเบาๆ กลิ่นดินชื้นหลังฝนตกทำให้ทุกอย่างดูสงบลงแต่กนกก็ยังคงนั่งนิ่งไม่มีคำถาม ไม่มีเสียงเรียกหาแม่ ไม่มีเสียงเจื้อยแจ้วเล่าเรื่องไร้สาระเหมือนเมื่อก่อน พ่อมองลูกชายตัวเล็กของเขา มือที่เคยเต็มไปด้วยรอยดินจากการเล่นสนุก ตอนนี้จับชายเสื้อตัวเองแน่น ราวกับกำลังยึดเหนี่ยวอะไรบางอย่าง

"กนก..." พ่อเรียกชื่อเขาเบาๆ

เด็กชายหันมามองช้าๆ ดวงตาคู่นั้นยังคงไร้แววสดใสเหมือนเก่า

"พ่อครับ..." เสียงเล็กๆ เอ่ยขึ้นแผ่วเบา

"ครับลูก"

"ผมเหนื่อย"

คำถามที่ออกมาจากปากเด็กอายุห้าขวบ ทำให้หัวใจของพ่อเหมือนถูกบีบแน่น

เขาไม่รู้จะตอบยังไง ไม่รู้จะอธิบายยังไงว่า บางครั้งบาดแผลที่มองไม่เห็น อาจต้องใช้เวลานานกว่าที่ใครจะคาดคิด

เขาทำได้เพียงยิ้มบางๆ ก่อนจะเอื้อมมือไปลูบศีรษะลูกชายเบาๆ

"ไม่เป็นไรนะลูก... ไม่ว่าเมื่อไหร่ หรืออีกนานแค่ไหน พ่อกับแม่จะอยู่ตรงนี้เสมอ"

กนกพยักหน้าเบาๆ แต่ก็ยังไม่ยิ้มพ่ออยากจะกอดเขาแน่นๆ อยากจะพาเขากลับไปเป็นเด็กที่สดใสเหมือนเดิม

แต่เขารู้ดีว่า... มันคงไม่ง่ายอย่างนั้น

หลังจากผ่านไปหลายสัปดาห์ กนกยังคงเป็นเด็กเงียบๆ ที่จมอยู่ในโลกของตัวเอง ไม่ยิ้ม ไม่หัวเราะ ไม่มีแม้แต่คำขอให้แม่อุ้มเหมือนเมื่อก่อน หมอเพชรและสามีตัดสินใจว่าพวกเขาไม่สามารถรอให้กนกฟื้นตัวได้ด้วยตัวเองอีกต่อไป พวกเขาต้องพาลูกชายไปพบกับผู้เชี่ยวชาญ

"กนกครับ เราจะเข้าไปในเมืองกันนะลูก"

แม่พูดกับลูกชายเบาๆ มือที่ลูบศีรษะเล็กๆ นั้นเต็มไปด้วยความอ่อนโยน เด็กชายพยักหน้าช้าๆ ไม่ได้ถามอะไร ไม่ได้สงสัยเหมือนเมื่อก่อนเพราะตอนนี้... กนกไม่ได้ตั้งคำถามกับโลกอีกแล้ว

โรงพยาบาลจิตเวชเด็กและวัยรุ่น ในเมือง

หมอเพชรจับมือลูกชายแน่น ขณะที่พยาบาลพากนกไปนั่งในห้องตรวจ สีขาวสะอาดตาของที่นี่ทำให้ทุกอย่างดูปลอดภัย แต่ก็เย็นชาจนน่าหวาดหวั่น

แพทย์หญิงวัยกลางคน ผู้เป็นจิตแพทย์เด็ก นั่งลงตรงหน้ากนกด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน

"สวัสดีจ้ะ กนก" เธอพูดด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล

เด็กชายกะพริบตา ก่อนพยักหน้าเบาๆ

"กนก หนูชอบวาดรูปไหม?"

เด็กน้อยไม่ตอบ

"งั้นเรามาลองวาดกันดีไหม?"

แพทย์วางกระดาษเปล่าและสีไม้ลงตรงหน้าเด็กชาย มือเล็กๆ หยิบสีขึ้นมา กนกจ้องกระดาษอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะค่อยๆ ลงมือวาด

หมอเพชรนั่งมองอยู่เงียบๆ ข้างๆ สามีของเธอ

และแล้ว... ภาพแรกที่กนกวาดออกมา ก็คือ "บ้านของเขา"

"ตอนนี้อาการของกนกถือว่าอยู่ในระยะที่สมองพยายามปกป้องตัวเองจากความเจ็บปวดค่ะ" แพทย์จิตเวชเด็กกล่าวหลังจากการประเมินเบื้องต้น

หมอเพชรเม้มริมฝีปาก เธอรู้อยู่แล้วว่านี่จะเป็นกระบวนการที่ยาวนาน แต่เธอก็ยังอดรู้สึกใจหายไม่ได้

"แล้วเราต้องทำยังไงบ้างคะ?"

แพทย์ยิ้มบางๆ ก่อนตอบ "ขั้นแรกคือ เราต้องช่วยให้กนกรู้สึกปลอดภัยก่อน เขาต้องได้รับการบำบัดอย่างค่อยเป็นค่อยไป การบำบัดทางความคิดและพฤติกรรม หรือ CBT จะเป็นวิธีหลักที่ใช้ในการช่วยให้เขาฟื้นตัว"

"แล้วต้องใช้เวลานานแค่ไหนคะ?"

"ขึ้นอยู่กับตัวกนกเองค่ะ" แพทย์ตอบตรงไปตรงมา "บางคนใช้เวลาไม่กี่เดือน แต่บางคนอาจต้องใช้เวลานานเป็นปี สิ่งสำคัญที่สุดคือความต่อเนื่องของการรักษา และการสนับสนุนจากครอบครัว"

หมอเพชรพยักหน้า แม้หัวใจจะหนักอึ้ง

หลังจากการพูดคุยกับแพทย์จิตเวช กนกได้รับใบนัดสำหรับการบำบัดครั้งถัดไประหว่างทางกลับบ้าน กนกยังคงเงียบแต่ในมือเล็กๆ นั้น... เขากำลังกำดินสอสีเอาไว้แน่น เหมือนกับว่า... อย่างน้อยที่สุด เขาก็ยังมีบางสิ่งให้ยึดเหนี่ยว

แสงแดดอ่อนยามเช้าส่องผ่านหน้าต่างเข้ามาในห้องนอน กลิ่นไอดินจากสวนมะพร้าวหลังบ้านลอยมาตามลมอ่อนๆ ทุกอย่างดูสงบ... แต่หัวใจของหมอเพชรไม่เคยสงบลงเลย เช้านี้ก็เหมือนเช้าทุกวัน กนกตื่นขึ้นมาพร้อมกับสายตาเหม่อลอย ร่างเล็กนั่งนิ่งอยู่บนเตียง ผ้าห่มยังคลุมกายอยู่ครึ่งหนึ่ง ราวกับว่าโลกใบนี้ไม่ได้มีอะไรให้เขาตื่นเต้นอีกแล้ว

หมอเพชรมองลูกชายด้วยความปวดใจ เธอเคยคิดว่าแค่ลูกตื่นขึ้นมาและรับรู้ถึงอ้อมกอดของพ่อแม่ก็คงดีขึ้น

แต่เปล่าเลย...

กนกยังคงติดอยู่ในโลกที่ไม่มีใครเข้าถึงได้

"กนกครับ... ถ้าอยู่บ้านแล้วเบื่อ หนูอยากลองวาดรูปไหม?"

เสียงของเธออ่อนโยนเหมือนทุกครั้ง หวังว่าลูกจะพยักหน้าตอบเหมือนวันก่อน

เด็กชายไม่ได้ตอบในทันที... นานเกินไปกว่าที่เด็กอายุห้าขวบจะต้องใช้เวลาคิด แต่แล้วเขาก็พยักหน้าเบาๆ ในที่สุด

หมอเพชรรีบหยิบสมุดวาดเขียนและดินสอสีที่ซื้อมาก่อนจะขึ้นรถกลับบ้านมายื่นให้ลูก กนกค่อยๆ เปิดสมุดวาดเขียนอย่างช้าๆ

...ก่อนจะปิดมันลงอีกครั้ง

"ผมเหนื่อยจังเลยครับ ปวดหัวด้วย"เสียงเล็กๆ นั้นเปราะบางเหลือเกินหัวใจของเธอเหมือนถูกกดทับด้วยหินหนัก เธออาจจะรีบร้อนเกินไป หรืออาจจะคาดหวังมากเกินไป จนทำให้ลูกต้องเจ็บปวดกว่าเดิม 

หมอเพชรรีบโอบกอดลูกชายแน่น เธอจะไม่รีบร้อน เธอจะให้เวลากนก แม้ว่ามันจะใช้เวลานานแค่ไหนก็ตาม...

วันนี้เป็นอีกวันที่เธอลางานจากสาธารณสุขชั่วคราวเพื่อมาดูแลลูกอย่างเต็มที่ แต่สิ่งที่เธอเห็นทุกวันกลับคล้ายกับภาพเดิมที่ฉายซ้ำๆกนกจะตื่นขึ้นมาเหม่อลอย ง่วง แล้วก็หลับไปอีกครั้งเขาไม่เล่น ไม่หัวเราะ ไม่ซุกซนเหมือนเมื่อก่อน

หมอเพชรกลัว...กลัวว่ากนกจะค่อยๆ หายไปจากโลกใบนี้ แม้ว่าเขาจะยังมีชีวิตอยู่ก็ตาม ทุกครั้งที่ไปพบแพทย์ หมอจิตเวชยังคงให้ยาคลายเครียดมาสำหรับกรณีที่กนกมีอาการเครียดมากเกินไป แต่หมอเพชรไม่อยากให้ลูกชายต้องพึ่งยาไปตลอด เธออยากให้กนกกลับมาเป็นเด็กสดใสเหมือนเดิม... แม้ว่ามันอาจจะไม่มีวันเป็นแบบนั้นอีกเลยก็ตาม

เธอไม่ลืมที่จะสอบถามแพทย์เกี่ยวกับวิธีช่วยเหลือลูกที่บ้าน

"หมอคะ ถ้าให้กนกอยู่บ้าน เราควรให้เขาทำอะไรดีคะ"

แพทย์ยิ้มบางๆ "สิ่งสำคัญที่สุดคืออย่าปล่อยให้เขาจมดิ่งอยู่กับตัวเองค่ะ เราต้องค่อยๆ พาเขากลับเข้าสู่โลกใบเดิมของเขา อย่างค่อยเป็นค่อยไป"

"หมายถึง ให้ทำกิจกรรมที่ช่วยกระตุ้นเขาหรือคะ"

"ใช่ค่ะ" แพทย์พยักหน้า "แต่ต้องเป็นกิจกรรมที่ช่วยให้เขารู้สึกผ่อนคลาย ไม่ใช่กิจกรรมที่กดดันหรือบังคับให้เขาต้องทำอะไรเกินตัว"

"แล้วมีกิจกรรมไหนที่แนะนำเป็นพิเศษไหมคะ?"

แพทย์เว้นจังหวะครู่หนึ่งก่อนตอบ "ให้เขาได้พักผ่อนอย่างเพียงพอ พยายามสร้างสภาพแวดล้อมที่เงียบสงบให้เขาหลับสนิท เพราะการนอนหลับที่ดีจะช่วยให้สมองของเด็กฟื้นฟูตัวเอง"

"ถ้ากนกชอบวาดภาพ ก็ให้เขาใช้การวาดรูปเป็นเครื่องมือในการสื่อสารค่ะ แม้ว่าเขาอาจจะไม่พูด แต่ภาพที่เขาวาดอาจบอกเล่าเรื่องราวในใจของเขาได้"

"แล้วถ้าเขาไม่อยากวาดรูปล่ะคะ?"

"ลองแนะนำให้เขาอ่านหนังสือค่ะ" แพทย์กล่าว "เด็กบางคนอาจยังไม่สามารถพูดหรือแสดงออกถึงสิ่งที่ตัวเองรู้สึกได้ การอ่านหนังสือหรือฟังนิทานจะช่วยให้เขาเชื่อมโยงกับโลกผ่านเรื่องราวเหล่านั้น และถึงแม้เขาจะตอบสนองช้า แต่ในที่สุด เขาจะค่อยๆ เข้าใจมันในแบบของเขาเอง"

เธอจำได้ดีถึงคำแนะนำของแพทย์

"ถ้าหนูไม่อยากวาด ก็ลองอ่านหนังสือได้นะลูก แม่มีหนังสือสวยๆ เยอะเลยนะ"

หมอเพชรเดินไปหยิบหนังสือนิทานเล่มเก่าเล่มหนึ่งมาเปิดให้ดู ภาพสีสดใสของเรื่องราวในนั้นค่อยๆ ปรากฏตรงหน้า กนกจ้องมันอยู่ครู่หนึ่งราวกับกำลังพยายามทำความเข้าใจกับสิ่งที่อยู่ตรงหน้า

"แม่อ่านให้ฟังได้ไหมครับ?" 

เสียงเล็กๆ เอ่ยขึ้นในที่สุด หมอเพชรเม้มริมฝีปากแน่น น้ำตาเอ่อคลอโดยไม่รู้ตัว นี่เป็นครั้งแรก... ในรอบหลายสัปดาห์ ที่กนกแสดงออกว่าเขายังอยากฟังเสียงของแม่ เธอพยักหน้า ค่อยๆ เปิดหนังสือเล่มนั้น ก่อนเริ่มอ่านเสียงนุ่ม

"กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว..."

แม้ว่าจะเป็นเพียงก้าวเล็กๆ แต่สำหรับหมอเพชร นี่คือก้าวแรกที่สำคัญที่สุดของลูกชายเธอ

Continue to read this book for free
Scan code to download App

Latest chapter

  • เขาคนนั้นเหมือนใครคนหนึ่ง   เหม่อลอย

    เหม่อลอยสองสัปดาห์หลังจากนั้นภายในบ้านหลังเดิม ทุกอย่างยังคงเหมือนเดิม แต่บรรยากาศกลับไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป กนกนั่งนิ่งอยู่บนพื้นไม้ข้างหน้าต่าง ดวงตากลมโตจ้องออกไปด้านนอก แต่ไร้ประกาย เขาไม่พูดอะไร ไม่ส่งเสียง ไม่แม้แต่จะขอให้แม่กอดเหมือนทุกครั้งที่เคยทำเด็กชายวัยห้าขวบ ที่ครั้งหนึ่งเคยวิ่งเล่นไปรอบบ้าน หัวเราะเสียงดังจนได้ยินไปถึงท้ายสวน... ตอนนี้กลับกลายเป็นเพียงเงาของตัวเอง"กนก ลูกอยากออกไปเดินเล่นกับพ่อไหมครับ?"เสียงของพ่อดังขึ้นเบาๆ เขานั่งยองๆ ลงตรงหน้าลูกชาย ยิ้มให้ แม้ว่าในใจจะเต็มไปด้วยความรู้สึกที่ไม่สามารถอธิบายได้ กนกไม่ได้เงยหน้าขึ้นมามองพ่อ เขาแค่กะพริบตาช้าๆ ราวกับได้ยินคำพูดนั้น แต่ก็ไม่ได้ตอบอะไร"งั้นออกไปนั่งกับพ่อข้างนอกดีไหม?"เด็กน้อยนิ่งเงียบอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนพยักหน้าเบาๆพ่ออุ้มกนกออกมานั่งที่แคร่ไม้หน้าบ้าน อากาศเย็นสบาย สายลมพัดผ่านเบาๆ กลิ่นดินชื้นหลังฝนตกทำให้ทุกอย่างดูสงบลงแต่กนกก็ยังคงนั่งนิ่งไม่มีค

  • เขาคนนั้นเหมือนใครคนหนึ่ง   เริ่มใหม่

    สามีของหมอเพชรขมวดคิ้ว "หมายความว่า...เขาลืมสิ่งที่เกิดขึ้นไปแล้ว?"แพทย์พยักหน้า "ใช่ครับ สมองของเขาเลือกที่จะ 'ลืม' เพื่อป้องกันตัวเองจากความเจ็บปวด แต่ก็ไม่ทั้งหมด"เขาเปิดเอกสารก่อนจะอธิบายต่อ "บางครั้ง ความทรงจำอาจไม่ถูกลบออกไปโดยสิ้นเชิง มันอาจคงอยู่ในรูปแบบของ ‘ความรู้สึก’ หรือ ‘ภาพที่คุ้นเคย’ กนกอาจจำบางส่วนได้ เช่น คนบางคน หรือเหตุการณ์บางอย่างที่ไม่ชัดเจน แต่เขาจะไม่สามารถเรียงลำดับเหตุการณ์ทั้งหมดได้"แพทย์เว้นจังหวะไปครู่หนึ่ง ก่อนกล่าวต่อ "และหากกนกต้องเจอกับสถานการณ์ หรือสิ่งกระตุ้นที่เชื่อมโยงกับเหตุการณ์ในวันนั้น เขาอาจจะจำได้อีกครั้ง และมันอาจกระตุ้นให้เกิดอาการตื่นตระหนก หรือปวดหัวรุนแรงเหมือนก่อนหน้านี้"หมอเพชรเม้มริมฝีปากแน่น เธอไม่อยากให้ลูกต้องเผชิญกับความเจ็บปวดซ้ำๆ"แล้วตอนนี้... อาการของเขาจะเป็นยังไงต่อไปคะ?"แพทย์ถอนหายใจเบาๆ ก่อนตอบ "ตอนนี้เด็กอาจมีอาการที่คล้ายกับอยู่ในความทรงจำของตัวเอง หรืออยู่ในโลกที่สมองของเขาสร้างขึ้นเพื่อป้องกันตัวเอง เขาอาจมีช่วงเวลาที่เหม่อลอย รู้สึกสับสน หรือตอบส

  • เขาคนนั้นเหมือนใครคนหนึ่ง   สภาวะลืมชั่วคราว

    หลังจากที่การสแกนสมองเสร็จสิ้น หมอแนะนำให้กนกกลับไปพักฟื้นที่บ้านเพื่อให้ร่างกายและจิตใจได้ผ่อนคลาย"เราจะกลับบ้านกันแล้วนะลูก"กนกที่นั่งเหม่อลอยอยู่บนเตียง เงยหน้าขึ้นมองหมอเพชร ดวงตากลมโตดูเลื่อนลอยราวกับจิตใจของเขายังคงติดอยู่ที่ไหนสักแห่ง"บ้าน..." เด็กชายพึมพำเสียงเบา "ผมอยากกลับบ้าน..."เพียงเท่านั้น พ่อของเขาก็รีบก้าวเข้ามา อุ้มลูกชายขึ้นแนบอกโดยไม่รอช้า "เราจะกลับบ้านกันนะครับลูก" น้ำเสียงอ่อนโยนเอ่ยปลอบโยน ขณะที่อ้อมแขนโอบรัดลูกแน่นราวกับจะปกป้องจากทุกสิ่ง หมอเพชรยิ้มบางๆ ให้ลูก ก่อนจะหันไปพยักหน้าให้สามี "พากนกไปขึ้นรถก่อนนะ ฉันขอพบหมอก่อน"สามีพยักหน้ารับ ก่อนเดินออกไปพร้อมกับลูกที่ซบหน้าลงบนบ่าในห้องตรวจ หมอเพชรนั่งตัวตรงอยู่บนเก้าอี้ มือที่วางอยู่บนตักกำแน่นจนรู้สึกถึงแรงกดของปลายนิ้ว หัวใจของเธอเต้นแรงจนน่าอึดอัด เธอพยายามสูดลมหายใจเข้าลึกๆ แต่กลับรู้สึกว่ามันตื้นเขินกว่าปกติและพยายามไม่คิดถึงสิ่งที่เลวร้ายที่อาจจะทำให้ชีวิตของลูกชายเธอเปลี่ยนไปตลอดกาล"ตอนนี้ เรายังไม่พบการบาดเจ็บทางร่างกายจากสมองครับ" แพทย์กล่าวพลางวางแฟ้มผลตรวจลงบนโต๊ะ "แต่จากอาการของคนไข้ มีแนวโน้

  • เขาคนนั้นเหมือนใครคนหนึ่ง   เปลี่ยน

    เสียงร้องไห้ของเด็กชายวัยห้าขวบดังสนั่นไปทั่วห้องพักพิเศษ เสียงนั้นแหลมสูงและเต็มไปด้วยความตื่นตระหนก ราวกับคนที่เพิ่งตื่นจากฝันร้ายที่กัดกินจิตใจไปนานแสนนาน พยาบาลที่เข้าเวรอยู่รีบกดโทรศัพท์ไปยังสำนักงานสาธารณสุขอำเภอเพื่อแจ้งข่าว"คุณหมอเพชรคะ! ลูกชายคุณฟื้นแล้วค่ะ แต่เขาร้องไห้หนักมากจนตัวสั่น เราต้องการให้คุณมาดูแลด่วน"ทันทีที่ได้รับโทรศัพท์ หมอเพชรรู้สึกเหมือนหัวใจหลุดออกจากอก "กนก...ลูกฟื้นแล้ว" เขาพึมพำกับตัวเองอย่างแทบไม่เชื่อหูเพราะลูกชายสลบไปถึงสามวันเขารีบคว้าโทรศัพท์โทรหาสามีที่ทำงานอยู่ในสวนมะพร้าว "คุณคะ กนกฟื้นแล้วค่ะ" น้ำเสียงของเขาสั่นไหว ทั้งดีใจ ทั้งเป็นห่วง"เดี๋ยวผมไปเดี๋ยวนี้!" อีกฝ่ายตอบทันทีจากนั้น หมอเพชรก็รีบจัดการลางานเร่งด่วนและตรงดิ่งไปหาลูกโดยไม่รอช้าทว่าเมื่อไปถึง เขาก็พบว่ากนกยังคงร้องไห้ไม่หยุดร่างเล็กของลูกนอนอยู่บนเตียง แผ่นอกกระเพื่อมขึ้นลงอย่างรวดเร็วจากการสะอื้น ดวงตากลมโตเต็มไปด้วยความหวาดกลัว เสียงร้องของเขาสั่นระริก ไม่ใช่เพียงเพราะตกใจที่ตื่นขึ้นมาเจอสถานที่แปลกตา แต่เป็นเพราะสิ่งที่เขาเผชิญในความมืดตลอดสามวันที

  • เขาคนนั้นเหมือนใครคนหนึ่ง   ช่วงเวลาของเราสองคน

    ช่วงสองสามวันที่ผ่านมา หมอเพชรเดินเข้าออกโรงพยาบาลเป็นว่าเล่น ความเหนื่อยล้าเริ่มก่อตัวจนรู้สึกเหมือนร่างกายหนักอึ้ง แต่เขาก็ไม่มีเวลาจะสนใจมัน เพราะเรื่องราวทุกอย่างกลับไม่ได้ง่ายอย่างที่คิด ตอนแรกเขาเชื่อว่า เมื่อทุกอย่างถึงมือหมอน่าจะคลี่คลายไปในทางที่ดีขึ้นแต่มันกลับผิดไปจากที่คาดไว้มาก ลูกชายของเขา กนกหมดสติไปมากกว่าหนึ่งวันแล้วและจนถึงตอนนี้ก็ยังไม่มีวี่แววว่าจะฟื้น ดวงตาของเขายังคงปิดสนิท ร่างกายดูสงบเกินไปจนหมอเพชรรู้สึกหวั่นใจส่วนภพ อาการของเขาหนักกว่ามาก กระดูกบริเวณใบหน้าหักจากแรงกระแทกและยังมีอาการบวมช้ำภายใน แพทย์ต้องเฝ้าระวังอาการอย่างใกล้ชิดแต่ปัญหาคือเครื่องมือของโรงพยาบาลแห่งนี้ไม่พร้อมพอสำหรับการรักษาในระดับที่ภพต้องการ เมื่อญาติๆ ของภพได้รับข่าวว่าหลานชายของพวกเขาถูกทำร้ายจนอาการสาหัส พวกเขาก็ไม่รอช้า รีบขอให้มีการย้ายตัวผู้ป่วยไปยังโรงพยาบาลใหญ่ในตัวเมืองซึ่งมีเครื่องมือและทีมแพทย์ที่พร้อมกว่ามาก หมอเพชรเข้าใจดีว่ามันเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดแม้จะเป็นภาระหนักสำหรับแป้นก็ตามเขาช่วยจัดการเรื่องเอกสารการส่งตัวภพด้วยตัวเอง ทำเรื่องให้ทุกอย่างดำเนินไปอย่

  • เขาคนนั้นเหมือนใครคนหนึ่ง   เรื่องราว

    วันนี้เป็นอีกวันหยุดที่เขาพาน้องมาเล่นที่บ้านสวนแต่ความรู้สึกมันไม่เหมือนเดิม เสียงเอะอะโวยวายดังมาจากบ้าน หลุดลอดมาถึงสวนมะพร้าวที่พวกเขาอยู่ ภพชะงักและหันไปสบตากับกนกที่กำลังเล่นสนุกกันอยู่"พี่ภพ...เสียงอะไรน่ะ"ภพไม่ได้ตอบแต่เขารู้สึกไม่ดีเลย มันไม่ใช่เสียงทะเลาะเบาๆ หรือแค่ใครทำของหล่น มันดูรุนแรงกว่านั้น"ไปดูที่บ้านกัน" เขาตัดสินใจจูงมือน้องวิ่งกลับไปแต่เมื่อไปถึงภาพที่เห็นทำให้เขาแทบหยุดหายใจ เมื่อเห็นพ่อยืนอยู่กลางบ้าน เขาคนนั้นร่างกายผอมซูบกว่าเดิม ดวงตาแดงก่ำคล้ายคนที่ไม่ได้หลับมาหลายวัน เสื้อผ้ายับยู่ยี่เหมือนไม่ได้เปลี่ยนมาหลายวันด้วยซ้ำแต่สิ่งที่น่ากลัวกว่าทุกอย่างคือ พ่อกำลังยื้อแย่งอะไรบางอย่างจากมือแม่จนทำให้ข้าวของกระจัดกระจายเต็มพื้น โต๊ะเก้าอี้ล้มระเนระนาด"แม่!"ภพตะโกนสุดเสียงจนพ่อชะงัก แต่เพียงเสี้ยววินาทีเท่านั้นก่อนที่เขาจะหันขวับมาทางแม่อีกครั้ง"ทำไมไม่มี! เอาไปไว้ไหน! เงินมันอยู่ไหน!" พ่อตวาดใส่แม่เสียงดัง"ฉันไม่มีแล้ว! พอเถอะนะ!" เสียงแม่สั่นเครือแต่พ่อไม่ฟัง เขากระชากตัวแม่แรงขึ้นก่อนจะเริ่มลงมือ

  • เขาคนนั้นเหมือนใครคนหนึ่ง   พ่อ

    "เฮ้ย ไอ้ภพ มึงกลับบ้านกับเด็กนั่นทุกวันเลยเหรอวะ"เสียงแซวของเพื่อนในห้องดังขึ้น ขณะที่ภพกำลังนั่งเขียนอะไรบางอย่างอยู่ เขาเงยหน้าขึ้นมามองอย่างงุนงง"ทำไมหรอ?" เพื่อนยักไหล่ยิ้มเจ้าเล่ห์ก่อนจะว่าต่อ "ก็น้องชายมึงก็ไม่ใช่... มึงลองพามันไปบ้านมึงดิ๊"ภพหลุดหัวเราะเบาๆ พลางส่ายหน้า "มึงอยากให้กนกไปบ้านกูจริงดิ เดี๋ยวพ่อกูก็อาละวาดบ้านแตกหรอก""แม่มึงก็เก่งเนอะ อยู่กับพ่อมึงได้""แล้วกูไม่เก่งหรอวะที่อยู่กับพ่อแม่ได้""ไอ้เหี้ย มึงเป็นลูกมึงก็ต้องอยู่กับพ่อแม่ป่ะวะ""มั้ง..."เสียงหัวเราะเบาๆ ปะปนกับการพูดคุยเล่นกันในห้องเรียนแต่ภพกลับไม่ได้สนใจนัก เขาเพียงแต่เงียบลงเมื่อนึกถึงกนกเด็กน้อยที่มักจะรอเขากลับจากโรงเรียนทุกวัน มันเป็นเรื่องจริง... เพราะเส้นทางที่เขากลับบ้านผ่านสำนักงานสาธารณสุขตำบลพอดี ทุกเย็นน้าเพชรจะพากนกมาทำงานด้วย และกนกก็มักจะมาเล่นอยู่ที่สวนข้างสำนักงานรอให้ภพพากลับบ้านด้วยกัน มันเป็นแบบนี้มาเกือบสองเดือนแล้ว ตั้งแต่ที่พวกเขารู้จักกัน"พี่ภพ..."กนกน้อยจับเสื้อภพเขย่าเบาๆ ขณะที่พวกเขากำ

  • เขาคนนั้นเหมือนใครคนหนึ่ง   อดีต

    "เราจำตุ๊กตาตัวนี้ได้ไหม..."พี่ภพค่อยๆ หยิบตุ๊กตาตัวนั้นมาให้กนก ตุ๊กตาหมีสีเหลืองตัวเดิมผ้าขนหนูที่คลุมอยู่บนตักร่วงลงพื้น เขาหันหน้าหนีปิดตาแน่นไม่กล้ามองสิ่งที่ทำให้เขาหวาดกลัว มันเป็นอะไรที่เขาอธิบายไม่ได้แค่เห็นภาพนั้นกล้ามเนื้อก็เริ่มเกร็งหัวใจเต้นแรง และเริ่มหายใจหอบ“น้องกนก...” พี่ภพเรียกเบาๆ ด้วยน้ำเสียงกังวล กนกไม่ตอบจนพี่ภพรีบขึ้นไปบนเตียง โอบกอดน้องไว้แน่น“เราไม่ต้องกลัว...เราจะปลอดภัย”“ผะ...ผม...ผมไม่อยากเห็นมัน...” หอบถี่และหนักหน่วง สะท้อนถึงความหวาดหวั่นที่ก่อตัวขึ้นในอก มือที่กำเสื้อของพี่ภพไว้สั่นระริก ความอบอุ่นจากร่างกายของอีกฝ่ายเป็นสิ่งเดียวที่ช่วยยึดเหนี่ยวเขาไว้ในตอนนี้“เราจะไม่เป็นอะไร...พี่จะอยู่ข้างเรา...จะไม่มีใครทำอะไรเรา” เสียงกระซิบของพี่ภพนุ่มนวลและอบอุ่น ราวกับสายลมอ่อนที่พัดผ่านใจ เขาเผลอหลับตาลงปล่อยให้ถ้อยคำเหล่านั้นแทรกซึมเข้ามาอย่างแผ่วเบา มันเหมือนมีมนต์สะกดค่อยๆปลดเปลื้องความตึงเครียดในอกไปทีละนิด ลมหายใจที่เ

  • เขาคนนั้นเหมือนใครคนหนึ่ง   ความทรงจำที่ขาดหาย

    ผมพยายามไม่รอเขา...แต่ก็อดไม่ได้ที่จะเหลือบมองนาฬิกาบนมือถือทุกๆ สิบนาที ไม่ดูหรอก...ก็ตั้งใจอ่านหนังสือนิยายอยู่นะ วันนี้เป็นวันพักผ่อนหลังสอบ ควรจะผ่อนคลายสักหน่อย แต่ไม่รู้ทำไม ตัวหนังสือที่เคยสนุกกลับกลายเป็นแค่ตัวอักษรที่เรียงกันไม่มีความหมาย หรือว่าผมกำลัง...ก็อกๆ เสียงเคาะประตูดังขึ้น ผมรีบวิ่งไปเปิดประตูทันที ใจเต้นแรงเหมือนเด็กน้อยที่รอคอยของขวัญ แต่คนที่ยืนอยู่ตรงนั้นกลับไม่ใช่พี่ภพ..."คนเก่ง...ได้ท็อปเลยดิ ยังอ่านหนังสือทั้งที่วันนี้ก็วันศุกร์" มิวยืนอยู่หน้าประตู ยิ้มกว้างพร้อมกับชีทที่ถืออยู่ในมือผมพยักหน้าเล็กน้อย พยายามเก็บความรู้สึกผิดหวังไว้ในใจ "ทำไมวันนี้มาหาเรา...ลืมอะไรหรือเปล่า""ลืม...ลืมชีทที่เราให้แกวันติวไว้""อ้าว แล้วไม้โทรมาบอก" ผมถามด้วยน้ำเสียงที่พยายามให้เป็นปกติ"ก็ห้องอยู่แค่ชั้นเดียว เดินมาหากันก็ได้" มิวยักไหล่แล้วก็ส่งสายตามองผมอย่างสนใจ"...ไม่ใช่หรอ หรือแกมีอะไร""มีอะไรล่ะ ไม่มี"มิวหัวเราะเบาๆ "แล้วนี่ไม่กลัวแล้วหรอ...พี่ชายข้างบ้านยังมาหาอยู่ไหม""ก็มา

Explore and read good novels for free
Free access to a vast number of good novels on GoodNovel app. Download the books you like and read anywhere & anytime.
Read books for free on the app
SCAN CODE TO READ ON APP
DMCA.com Protection Status