"เฮ้ย ไอ้ภพ มึงกลับบ้านกับเด็กนั่นทุกวันเลยเหรอวะ"เสียงแซวของเพื่อนในห้องดังขึ้น ขณะที่ภพกำลังนั่งเขียนอะไรบางอย่างอยู่ เขาเงยหน้าขึ้นมามองอย่างงุนงง
"ทำไมหรอ?" เพื่อนยักไหล่ยิ้มเจ้าเล่ห์ก่อนจะว่าต่อ "ก็น้องชายมึงก็ไม่ใช่... มึงลองพามันไปบ้านมึงดิ๊"
ภพหลุดหัวเราะเบาๆ พลางส่ายหน้า "มึงอยากให้กนกไปบ้านกูจริงดิ เดี๋ยวพ่อกูก็อาละวาดบ้านแตกหรอก"
"แม่มึงก็เก่งเนอะ อยู่กับพ่อมึงได้"
"แล้วกูไม่เก่งหรอวะที่อยู่กับพ่อแม่ได้"
"ไอ้เหี้ย มึงเป็นลูกมึงก็ต้องอยู่กับพ่อแม่ป่ะวะ"
"มั้ง..."
เสียงหัวเราะเบาๆ ปะปนกับการพูดคุยเล่นกันในห้องเรียนแต่ภพกลับไม่ได้สนใจนัก เขาเพียงแต่เงียบลงเมื่อนึกถึงกนกเด็กน้อยที่มักจะรอเขากลับจากโรงเรียนทุกวัน มันเป็นเรื่องจริง... เพราะเส้นทางที่เขากลับบ้านผ่านสำนักงานสาธารณสุขตำบลพอดี ทุกเย็นน้าเพชรจะพากนกมาทำงานด้วย และกนกก็มักจะมาเล่นอยู่ที่สวนข้างสำนักงานรอให้ภพพากลับบ้านด้วยกัน มันเป็นแบบนี้มาเกือบสองเดือนแล้ว ตั้งแต่ที่พวกเขารู้จักกัน
"พี่ภพ..."กนกน้อยจับเสื้อภพเขย่าเบาๆ ขณะที่พวกเขากำลังเดินกลับบ้านพร้อมกัน
"หืม?"
"อยากไปบ้านพี่ภพบ้างอ่ะ"ภพชะงักเล็กน้อย หันไปมองเด็กน้อยที่กำลังเงยหน้ามองเขาด้วยแววตาเป็นประกาย
"หรอ..." เขาครุ่นคิด บ้านของเขามีสวนมะพร้าวกว้างขวางพอให้วิ่งเล่นได้ก็จริง แต่...
"ไม่ได้หรอ..." เสียงอ่อยๆ ทำให้ภพถอนหายใจเบาๆ
"ได้มันก็ได้แหละ แต่ว่า..."ดวงตาของกนกเริ่มหม่นลงเล็กน้อยทำให้ภพอดไม่ได้ที่จะหลุดหัวเราะเบาๆ
"เดี๋ยววันเสาร์แล้วกัน พี่จะขับมอ’ ไซค์ไปรับไปเที่ยวสวน"
"เย้ๆๆ!!"กนกกระโดดดีใจ ตากลมโตเป็นประกายจนภพอดขำไม่ได้ เด็กนี่ดีใจง่ายจริงๆ
บ้านของภพไม่ได้หรูหราเท่าบ้านของกนก ครอบครัวของเขาเป็นชาวสวนที่ทำสวนมะพร้าวส่งขายให้ลูกค้า แม่รักสวนนี้เหมือนชีวิตและดูแลต้นมะพร้าวทุกต้นอย่างใส่ใจหวังให้ได้ผลผลิตที่ดีที่สุด แต่สำหรับพ่อ...
"อ้าว ภพ ลูก วันนี้กลับไวเชียวนะ ไปอาบน้ำอาบท่าไป"แม่เอ่ยขึ้นขณะนั่งคัดลูกมะพร้าวอยู่หน้าบ้าน
"ครับแม่..."
ภพลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะถามออกไป "แม่ครับ... แล้วพ่อล่ะ"
แม่ชะงักไปเล็กน้อยก่อนจะตอบด้วยน้ำเสียงปกติ "น่าจะเข้าไปในเมือง คงกลับมาพรุ่งนี้แหละ"
"ครับ..."
ภพพยักหน้าเบาๆ แต่ในใจกลับเต็มไปด้วยความรู้สึกหนักอึ้ง เขาไม่ได้แปลกใจเลย...
เอาจริงๆ ถ้าพูดถึงพ่อ... เขาก็เคยเป็นพ่อที่ใจดีคนนึงเลยนะ
ตอนเด็ก พ่ออุ้มผมขึ้นขี่คอพาไปเดินเล่นในสวนมะพร้าว บอกว่าต้นไหนปลูกมาตั้งแต่พ่อยังหนุ่ม ต้นไหนให้ผลผลิตดีที่สุดและต้นไหนที่พ่อชอบนั่งพักเวลาทำงานเหนื่อย ผมจำได้ว่าตัวเองเคยคิดว่าโตขึ้นอยากจะเป็นเหมือนพ่อ เป็นคนขยันและรักครอบครัว
แต่เมื่อเวลาผ่านไป พ่อเริ่มเข้าเมืองบ่อยขึ้น... และกลับมาพร้อมกับของดีๆมากมาย เงินที่เคยหายากก็เริ่มมีมากขึ้นจนทำให้เราซื้อสวนมะพร้าวเพิ่มอีกหลายไร่ทำให้บ้านของเรามั่นคงขึ้น แต่สิ่งที่แปลกไปคือ พ่อเปลี่ยนไปด้วย
มันเริ่มมีจากข่าวลือในตลาด ข่าวที่พูดกันหนาหูว่าพ่อเป็นคนส่งยาเสพติดในเมือง ครั้งแรกที่ได้ยินแม่ไม่ได้สนใจ เธอบอกว่าคนชอบพูดไปเรื่อยแต่พอข่าวลือเริ่มหนักขึ้นเรื่อยๆและแม่ถามพ่อตรงๆ ว่าทำไมต้องเข้าเมืองบ่อยทั้งๆที่ไม่ได้เอามะพร้าวไปขายเหมือนเมื่อก่อน พ่อกลับขึ้นเสียงใส่เธอ
ผมเคยคิดว่าคงเป็นแค่เรื่องเล็กๆของผู้ใหญ่แต่พอได้เห็นกับตาว่าแม่กับพ่อทะเลาะกันหนักขึ้น ได้ยินเสียงตะคอกข้าวของกระทบกัน ได้เห็นเพื่อนๆของผมที่เคยมาเล่นที่บ้านก็โดนพ่อไล่กลับไปด้วยเสียงเกรี้ยวกราด ผมถึงได้รู้ว่ามันไม่ใช่เรื่องเล็กๆอีกต่อไป แล้วหลังจากนั้นก็ไม่มีใครกล้ามาบ้านผมอีกเลย...แต่ผมไม่เคยสงสัยในตัวพ่อ เพราะไม่เคยตี ไม่เคยว่าอะไรเลยสักครั้ง เขายังคงเป็นพ่อที่ใจดีสำหรับผมเสมอแต่หากวันไหนเขาอารมณ์เสียกลับมาคนที่ต้องรับไว้แทนก็คือแม่
และพักหลังๆ นี้ ผมเริ่มเห็นรอยฟกช้ำบนตัวแม่บ่อยขึ้น...
"แม่"
"ว่าไง" แม่ตอบกลับโดยไม่เงยหน้าขึ้นจากงานตรงหน้า
"วันเสาร์ผมไปรับน้องมาเล่นในสวนนะ"
"อืม..." เสียงตอบรับเบาๆนั้นไม่ได้มีน้ำหนักอะไรนักเหมือนเธอแค่รับรู้แต่ใจยังวุ่นวายอยู่กับเรื่องอื่นมากกว่า
"พ่อยังไม่ได้กลับมาใช่ไหม" ผมถามขึ้นมาอย่างลังเล
แม่ชะงักไปครู่หนึ่งก่อนถอนหายใจเบาๆ "ยังแหละ ไม่รู้จะกลับมาวันไหน"
ความเงียบแทรกเข้ามาระหว่างเรา เสียงจิ้งหรีดจากสวนดังลอดเข้ามาทางหน้าต่างผมเม้มปากเล็กน้อยก่อนจะตัดสินใจเอ่ยคำถามที่คาใจมาตลอด
"แม่..."
"ว่าไง"
ผมมองเสี้ยวหน้าของแม่ที่ดูเหนื่อยล้า รอยคล้ำใต้ตาและไหล่ที่ดูเหมือนจะแบกรับอะไรหนักๆไว้
"แม่ว่าพ่อจะเหมือนที่เขาพูดกันในตลาดไหม"
คราวนี้แม่หยุดสิ่งที่กำลังทำแล้วหันมาสบตากับผมเต็มๆ ดวงตาคู่นั้นไม่ได้สั่นไหว ไม่ได้หวาดกลัวแต่กลับสงบนิ่งราวกับยอมรับความจริงทุกอย่างแล้ว
"แล้วลูกว่าไง"
ผมนิ่งไปความจริงคือ...ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน ผมไม่อยากเชื่อแต่ก็ปฏิเสธความเป็นไปได้ไม่ได้เช่นกัน
"ผมไม่รู้..." เสียงของผมแผ่วเบา มันเต็มไปด้วยความสับสนที่อธิบายไม่ได้
"พ่อก็ยังเป็นพ่อของเรานั่นแหละ..."
แค่นั้นเอง... คำตอบของแม่ไม่ได้บอกว่าพ่อเป็นคนผิดหรือถูก ไม่ได้ยืนยันหรือปฏิเสธอะไรเลย แต่มันกลับทำให้ผมเข้าใจอะไรบางอย่างได้อย่างชัดเจน
ไม่ว่าพ่อจะเป็นยังไง...ไม่ว่าเขาจะเลือกเดินเส้นทางแบบไหน...พ่อก็ยังเป็นพ่อของเราอยู่ดี
"โห...สวนพี่ภพกว้างจัง!"
กนกวิ่งไปข้างหน้าด้วยความตื่นเต้น ดวงตากลมโตเป็นประกายส่วนมือเล็กๆแกว่งไปมาอย่างตื่นตาตื่นใจกับต้นมะพร้าวสูงตระหง่านรอบตัว ภพหัวเราะเบาๆมองเจ้าตัวเล็กที่ดูร่าเริงเหมือนได้มาเจอดินแดนมหัศจรรย์
"พี่ภพ! ตรงนั้นมีนกด้วยอ่ะ!"
เด็กน้อยกระโดดชี้ไปที่กิ่งไม้สูงหันกลับมาดึงแขนเสื้อพี่ชายอย่างตื่นเต้น
"หืม ตรงไหน"
"โน้นๆ!" กนกเขย่งเท้าชี้ไปที่กิ่งไม้
"จริงด้วยแฮะ" เสียงหัวเราะสดใสของเด็กชายตัวสูงกับเด็กน้อยตัวเล็กดังไปทั่วสวน จนคนงานที่กำลังก้มๆ เงยๆเก็บมะพร้าวยังเงยหน้ามามองแล้วยิ้มตาม
"พี่ภพ กนกอยากปีนต้นไม้!"
"เฮ้ย จริงดิ" ภพขมวดคิ้วขำกับความคิดของเจ้าตัวเล็ก "ห้าขวบจะปีนได้หรอ?"
กนกเชิดหน้าขึ้น "แล้วพี่ภพกี่ขวบ"
ภพแกล้งทำหน้าครุ่นคิด ก่อนกางนิ้วนับช้าๆ ให้น้องดู "พี่...สิบสองแล้วคร้าบ"
"โห! ตัวสูงอ่ะ!" กนกอ้าปากค้างมองพี่ชายที่สูงกว่าตัวเองหลายเท่า ก่อนจะตาเป็นประกาย "ขอขี่คอหน่อยดิ!"
"ได้เลยไอน้อง!"ว่าแล้วก็โน้มตัวลงให้กนกปีนขึ้นไปนั่งบนไหล่ เสียงหัวเราะของทั้งคู่ดังก้องไปทั่วสวน ท่ามกลางแสงแดดอุ่นที่ส่องผ่านแนวต้นมะพร้าว
บรรยากาศสนุกสนานของเราสิ้นสุดลงเมื่อแดดเริ่มอ่อนแสง ภพพากนกกลับบ้านไปล้างหน้าล้างตาให้สดชื่นก่อนจะพาน้องไปส่ง ทว่า...
ภพชะงัก กนกเองก็เงยหน้ามองเขาด้วยความสงสัย
"พ่อ"
เมื่อเดินเข้าไปใกล้ เขาเห็นชายวัยกลางคนกำลังก้มหน้าก้มตาคุ้ยหาอะไรบางอย่างแล้วรีบยัดใส่กระเป๋าด้วยท่าทีร้อนรน ร่างกายพ่อซูบผอมลงกว่าที่เขาเคยเห็นเมื่อเดือนที่แล้ว ใต้ตาคล้ำและผมเผ้ายุ่งเหยิง ไม่เหมือนภาพจำของพ่อที่เคยใจดีและแข็งแรง
พ่อเงยหน้าขึ้นมองเขาแวบหนึ่ง สายตานั้นเต็มไปด้วยความกังวลที่ภพไม่เคยเห็นมาก่อน
"อะ...อ้าว ภพ"เสียงพ่อฟังดูแหบพร่าและอ่อนล้า
"แม่ล่ะครับ"
พ่อหลบตา "ยังไม่เห็นเลย" พูดจบก็รีบรูดซิปกระเป๋าแล้วลุกขึ้นยืน
"พ่อจะไปไหนครับ?"
"พ่อไปก่อนนะ" ไม่รอให้ภพถามอะไรต่อ พ่อก้าวขึ้นซ้อนท้ายมอเตอร์ไซค์ของใครบางคนแล้วรถก็คำรามออกไปท่ามกลางแสงเย็นย่ำภพยืนมองตามด้วยความรู้สึกแปลกประหลาดในใจ บางอย่างมันไม่ชอบมาพากลแต่เขายังไม่รู้ว่ามันคืออะไร...
"เฮ้ย ไอ้ภพ มึงกลับบ้านกับเด็กนั่นทุกวันเลยเหรอวะ"เสียงแซวของเพื่อนในห้องดังขึ้น ขณะที่ภพกำลังนั่งเขียนอะไรบางอย่างอยู่ เขาเงยหน้าขึ้นมามองอย่างงุนงง"ทำไมหรอ?" เพื่อนยักไหล่ยิ้มเจ้าเล่ห์ก่อนจะว่าต่อ "ก็น้องชายมึงก็ไม่ใช่... มึงลองพามันไปบ้านมึงดิ๊"ภพหลุดหัวเราะเบาๆ พลางส่ายหน้า "มึงอยากให้กนกไปบ้านกูจริงดิ เดี๋ยวพ่อกูก็อาละวาดบ้านแตกหรอก""แม่มึงก็เก่งเนอะ อยู่กับพ่อมึงได้""แล้วกูไม่เก่งหรอวะที่อยู่กับพ่อแม่ได้""ไอ้เหี้ย มึงเป็นลูกมึงก็ต้องอยู่กับพ่อแม่ป่ะวะ""มั้ง..."เสียงหัวเราะเบาๆ ปะปนกับการพูดคุยเล่นกันในห้องเรียนแต่ภพกลับไม่ได้สนใจนัก เขาเพียงแต่เงียบลงเมื่อนึกถึงกนกเด็กน้อยที่มักจะรอเขากลับจากโรงเรียนทุกวัน มันเป็นเรื่องจริง... เพราะเส้นทางที่เขากลับบ้านผ่านสำนักงานสาธารณสุขตำบลพอดี ทุกเย็นน้าเพชรจะพากนกมาทำงานด้วย และกนกก็มักจะมาเล่นอยู่ที่สวนข้างสำนักงานรอให้ภพพากลับบ้านด้วยกัน มันเป็นแบบนี้มาเกือบสองเดือนแล้ว ตั้งแต่ที่พวกเขารู้จักกัน"พี่ภพ..."กนกน้อยจับเสื้อภพเขย่าเบาๆ ขณะที่พวกเขากำ
"เราจำตุ๊กตาตัวนี้ได้ไหม..."พี่ภพค่อยๆ หยิบตุ๊กตาตัวนั้นมาให้กนก ตุ๊กตาหมีสีเหลืองตัวเดิมผ้าขนหนูที่คลุมอยู่บนตักร่วงลงพื้น เขาหันหน้าหนีปิดตาแน่นไม่กล้ามองสิ่งที่ทำให้เขาหวาดกลัว มันเป็นอะไรที่เขาอธิบายไม่ได้แค่เห็นภาพนั้นกล้ามเนื้อก็เริ่มเกร็งหัวใจเต้นแรง และเริ่มหายใจหอบ“น้องกนก...” พี่ภพเรียกเบาๆ ด้วยน้ำเสียงกังวล กนกไม่ตอบจนพี่ภพรีบขึ้นไปบนเตียง โอบกอดน้องไว้แน่น“เราไม่ต้องกลัว...เราจะปลอดภัย”“ผะ...ผม...ผมไม่อยากเห็นมัน...” หอบถี่และหนักหน่วง สะท้อนถึงความหวาดหวั่นที่ก่อตัวขึ้นในอก มือที่กำเสื้อของพี่ภพไว้สั่นระริก ความอบอุ่นจากร่างกายของอีกฝ่ายเป็นสิ่งเดียวที่ช่วยยึดเหนี่ยวเขาไว้ในตอนนี้“เราจะไม่เป็นอะไร...พี่จะอยู่ข้างเรา...จะไม่มีใครทำอะไรเรา” เสียงกระซิบของพี่ภพนุ่มนวลและอบอุ่น ราวกับสายลมอ่อนที่พัดผ่านใจ เขาเผลอหลับตาลงปล่อยให้ถ้อยคำเหล่านั้นแทรกซึมเข้ามาอย่างแผ่วเบา มันเหมือนมีมนต์สะกดค่อยๆปลดเปลื้องความตึงเครียดในอกไปทีละนิด ลมหายใจที่เ
ผมพยายามไม่รอเขา...แต่ก็อดไม่ได้ที่จะเหลือบมองนาฬิกาบนมือถือทุกๆ สิบนาที ไม่ดูหรอก...ก็ตั้งใจอ่านหนังสือนิยายอยู่นะ วันนี้เป็นวันพักผ่อนหลังสอบ ควรจะผ่อนคลายสักหน่อย แต่ไม่รู้ทำไม ตัวหนังสือที่เคยสนุกกลับกลายเป็นแค่ตัวอักษรที่เรียงกันไม่มีความหมาย หรือว่าผมกำลัง...ก็อกๆ เสียงเคาะประตูดังขึ้น ผมรีบวิ่งไปเปิดประตูทันที ใจเต้นแรงเหมือนเด็กน้อยที่รอคอยของขวัญ แต่คนที่ยืนอยู่ตรงนั้นกลับไม่ใช่พี่ภพ..."คนเก่ง...ได้ท็อปเลยดิ ยังอ่านหนังสือทั้งที่วันนี้ก็วันศุกร์" มิวยืนอยู่หน้าประตู ยิ้มกว้างพร้อมกับชีทที่ถืออยู่ในมือผมพยักหน้าเล็กน้อย พยายามเก็บความรู้สึกผิดหวังไว้ในใจ "ทำไมวันนี้มาหาเรา...ลืมอะไรหรือเปล่า""ลืม...ลืมชีทที่เราให้แกวันติวไว้""อ้าว แล้วไม้โทรมาบอก" ผมถามด้วยน้ำเสียงที่พยายามให้เป็นปกติ"ก็ห้องอยู่แค่ชั้นเดียว เดินมาหากันก็ได้" มิวยักไหล่แล้วก็ส่งสายตามองผมอย่างสนใจ"...ไม่ใช่หรอ หรือแกมีอะไร""มีอะไรล่ะ ไม่มี"มิวหัวเราะเบาๆ "แล้วนี่ไม่กลัวแล้วหรอ...พี่ชายข้างบ้านยังมาหาอยู่ไหม""ก็มา
ช่วงสอบปลายภาค พี่ภพแวะมาหาเขาเกือบทุกวัน บางวันก็ขอแวะมานอนด้วยโดยอ้างว่า "หอพี่แอร์เสีย" หรือ "อยากติวหนังสือเป็นเพื่อน" แต่กนกรู้ดีว่ามันเป็นเพียงข้ออ้างเพราะสุดท้ายแล้วพี่ภพก็ไม่ได้แตะหนังสือสักเท่าไหร่ มีแต่เขาส่วนพี่ภพก็นอนกลิ้งเล่นอยู่ข้างๆแรกๆ กนกยังรู้สึกเกร็งเวลาถูกพี่ภพจ้องมอง ทุกครั้งที่เงยหน้าขึ้นจากหนังสือเขามักจะพบสายตาอบอุ่นคู่นั้นมองอยู่เสมอเป็นสายตาที่ทำให้ใจเต้นแปลกๆราวกับว่าพี่ภพเห็นบางสิ่งในตัวเขาที่แม้แต่ตัวเขาเองก็ไม่เข้าใจ แต่เมื่อเวลาผ่านไป... ความรู้สึกพวกนั้นก็ค่อยๆจางหาย สายตาที่เคยหลบเลี่ยงหรืออาการประหม่าเมื่อต้องอยู่ใกล้พี่ภพเริ่มหายไปเช่นกันแทนที่ด้วย...ความสบายใจการมีพี่ภพอยู่ด้วยกลายเป็นเรื่องปกติของชีวิตประจำวัน ห้องที่เคยเงียบเหงาก็กลับมีเสียงพูดคุย เสียงหัวเราะและกลิ่นหอมของขนมที่พี่ภพชอบซื้อมาให้หัวใจที่เคยปิดกั้นเริ่มเปิดออกทีละนิด"ไงครับคนเก่ง วันนี้เป็นไงบ้าง เหนื่อยไหม?"เสียงทุ้มที่ฟังแล้วอบอุ่นเสมอดังขึ้นจากด้านหลัง กนกเงยหน้าขึ้นมองก่อนจะถอนหายใจยาว
ช่วงเวลาการสอบปลายภาคของปีหนึ่งผ่านไปอย่างแสนเหนื่อย เขาอดนอนมาหลายคืนเพื่ออ่านหนังสือทบทวนเนื้อหา ร่างกายอ่อนล้า แต่จิตใจกลับว้าวุ่นยิ่งกว่าเดิมหลังจากที่รู้ว่าคนแปลกหน้าที่เข้ามาในชีวิตไม่ใช่ผี และยังเป็นคนรู้จักกับแม่ ความหนักอึ้งในใจกลับเบาลงและรู้สึกปลอดภัยขึ้นโดยไม่รู้ตัวแต่สิ่งที่ทำให้เขาประหลาดใจยิ่งกว่านั้นคือ พี่ภพยังมาหาเขาเป็นประจำบางวันมาตอนบ่าย พร้อมกับขนมของว่างวางไว้บนโต๊ะเรียนของเขาบางวันมาตอนเย็น ยืนรออยู่หน้าหอพักด้วยสีหน้าเรียบเฉยแต่แววตากลับดูอ่อนโยน กนกพยายามปฏิเสธแต่สุดท้ายก็ต้องยอมรับ เพราะกลิ่นหอมๆ นั้นทำให้ท้องร้องทุกทีและบางคืน...ชายคนนั้นมาเพียงเพื่อบอก "ฝันดีนะ"เสียงทุ้มต่ำดังขึ้นพร้อมมืออุ่นที่ลูบเบาๆ บนศีรษะ กนกมักจ้องมองอีกฝ่ายด้วยความไม่เข้าใจ ทำไมถึงดูแลเขาขนาดนี้ แต่พอรู้ตัวอีกที หัวใจของเขาก็ไม่เคยรู้สึกโดดเดี่ยวเหมือนเมื่อก่อนแล้วแต่ที่ทำให้สับสนยิ่งกว่าคือ บางคืน...เขากลับเข้ามากอด อ้อมแขนนั้นแน่นหนา แข
หลังจากที่กนกได้รู้ความจริงว่า คนที่เขาเจอในฝันที่เหมือนจริงมาตลอดคือ พี่ภพ พี่ชายข้างบ้านที่เขาลืมไปแล้ว ความทรงจำในวัยเด็กของเขาหายไปเหมือนกระดาษหน้าหนึ่งที่ถูกฉีกทิ้ง ทุกครั้งที่พยายามนึกย้อนก็มักจบลงด้วยความสับสนจนปวดหัวแต่ถึงแม้เขาจะไม่เข้าใจว่าทำไมพี่ภพถึงโผล่มาหาเขาแบบนี้ หรือเหตุผลอะไรที่ทำให้พี่ภพก้าวเข้ามาในชีวิตเขาอีกครั้ง…แต่สิ่งหนึ่งที่เขาสัมผัสได้คือ ความอบอุ่น เสมอเมื่ออยู่ในอ้อมกอดนั้นช่วงนี้ พี่ภพมาหาเขาทุกเย็น เอาของอร่อยมาให้ กนกก็มักจะรับมันมาด้วยท่าทางเก้ๆ กังๆ อาจเป็นเพราะยังไม่คุ้นเคย หรือเพราะเขายังไม่เข้าใจสถานะของพวกเขาในตอนนี้"เราแข็งแรงดีไหม?""ครับ""ช่วงนี้ใกล้สอบแล้วสินะ""ครับ""ขนมที่พี่ซื้อมาถูกใจไหม?""ครับ"กนกตอบรับสั้นๆ ทุกคำถามโดยแทบไม่ได้คิดอะไร แต่แล้วคำพูดต่อมาของพี่ภพกลับทำให้เขาสะดุด"เรานี่น่ารักเหมือนเมื่อก่อนเลยนะ"กนกเผลอชะงักไปเล็กน้อยก่อนจะรีบตอบ "คะ...ครับ?"
มิวมาพักกับกนกได้ราวหนึ่งสัปดาห์ ก่อนจะต้องกลับไปอ่านหนังสือและติวให้เพื่อนกลุ่มอื่น คืนนี้จึงเป็นคืนแรกในรอบหลายวันที่กนกต้องนอนคนเดียวอีกครั้ง เขาปิดไฟและพลิกตัวซุกผ้าห่ม ตั้งใจจะข่มตานอน แต่แล้ว...แกร๊ก!เสียงของลูกบิดประตูที่หมุนเบาๆ ทำให้ร่างทั้งร่างแข็งค้างหัวใจเขาเต้นระรัวพร้อมลมหายใจที่ติดขัด ราวกับถูกพันธนาการด้วยความกลัวที่บีบรัดแน่นจนแทบหายใจไม่ออกใคร?น้ำตาค่อยๆไหลออกมาพร้อมกับร่างกายที่เริ่มสั่นสะท้าน สติเริ่มตีกันยุ่งเหยิง เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าใกล้เข้ามาใกล้ๆจนกระทั่ง...อ้อมแขนอบอุ่นโอบกอดเขาไว้แน่น"ไม่ต้องกลัวนะ..." เสียงทุ้มกระซิบข้างหูนั้นแผ่วเบาและมั่นคง"ไม่มีใครทำร้ายกนกได้อีกแล้ว" กลิ่นหอมอ่อนๆ ลอยมาจากเสื้อตัวหนาของชายแปลกหน้า อ้อมแขนที่กอดแน่นนั้นให้ความรู้สึกคุ้นเคยจนน่าแปลกใจ กนกหอบหายใจหนักขึ้นและร่างกายยังคงสั่นสะท้านแต่สัมผัสจากคนตรงหน้ากลับช่วยให้หัวใจที่เต้นกระหน่ำเริ่มสงบลงทีละนิด"พี่ขอโทษ...พี่ขอโทษสำหรับท
วันนี้กนกเริ่มรู้สึกว่า…บางที คนที่ตามเขาอาจไม่ใช่ผีอย่างที่เขาคิด สายตาของใครบางคนเหมือนเฝ้าจับจ้องเขาจากที่ไกลๆ มันไม่ได้เป็นเพียงความรู้สึกวูบไหวหรือภาพหลอนที่เกิดจากความหวาดระแวง แต่มันชัดเจนจนทำให้ขนที่ต้นคอลุกชัน"หืม…มีอะไรเหรอ?" พราวถามขึ้นระหว่างกำลังตักข้าวเข้าปากในโรงอาหารกนกขมวดคิ้วเล็กน้อย ก่อนจะส่ายหน้า "เปล่าๆ ไม่มีอะไรหรอก" พราวเหลือบตามองอย่างสงสัยแต่ก็ไม่ได้เซ้าซี้ต่อช่วงบ่าย ขณะเดินไปห้องแล็บ มิวเข้ามากระซิบที่ข้างหูพราว เสียงของเขาเบาราวกับไม่ต้องการให้ใครได้ยิน พราวชะงักไปเล็กน้อย สีหน้าตกใจแต่ก็พยายามเก็บอาการแล้วทั้งสองค่อยๆลดความเร็วในการเดินราวกับกำลังจับตาดูอะไรบางอย่างตรงข้ามกับพวกเขา กนกกลับเดินนำหน้าอย่างสบายใจ หูฟังเสียบอยู่กับหู ขยับปากร้องเพลงเบาๆ โดยไม่รู้ตัวเลยว่ามีสายตาคู่หนึ่งจับจ้องอยู่และมันก็เป็นอย่างที่คิด...เมื่อมิวกับพราวถอยห่างออกมา ก็เห็นชายคนหนึ่งที่ไม่เคยพบมาก่อน สวมหมวกและผ้าปิดปาก เดินลอบเลียบเลาะตามกนกอย่างแนบเนียน ทว่า…มีบางอย่างผิดปกติวันนี้เขาใส่เสื้อแขนยาว
ห้วงความฝันเด็กชายตัวเล็กพยายามยื้อแย่งตุ๊กตาในอ้อมปากของเจ้าหมาจอมดื้อ"อื้ออ... อย่าเอาของน้อง! แงงง!"เขาร้องไห้สะอึกสะอื้น ดึงสุดแรงเกิด แต่แรงเด็กน้อยสู้หมาตัวโตไม่ไหว ตุ๊กตาหมีสีเหลืองยังคงถูกคาบแน่นในปากของมัน"แง... แงงง!" เสียงร้องดังลั่นไปทั่วสนามหญ้า จนเด็กอีกคนวิ่งเข้ามาพร้อมกับไม้ในมือ"ไอ้หมา! ปล่อยเดี๋ยวนี้นะ!"...ฟาด!... ฟาด!เจ้าหมาสะดุ้งเฮือก ส่ายหัวไปมา ก่อนจะทนความเจ็บไม่ไหว ยอมคลายตุ๊กตาหมีสีเหลืองออกจากปาก"เย้ๆๆ!" เด็กน้อยกระโดดดีใจ เสียงหัวเราะสดใสดังขึ้น พี่ชายใจดีที่ช่วยปกป้องเขาหยิบตุ๊กตาขึ้นมา"อันนี้ของเราสินะ แต่มันเปื้อนหมดเลย""ไม่เป็นไรครับ... หมูเหลืองไปซักได้"เด็กชายตัวน้อยยิ้มกว้าง ดวงตาเป็นประกาย ก่อนภาพทุกอย่างจะเลือนหายไป…...วี๊วอ! วี๊วอ!เสียงไซเรนรถพยาบาลดังระงมไปทั่ว ความวุ่นวาย เสียงตะโกนของเจ้าหน้าที่ เสียงวิทยุสื่อสารแทรกเป็นระยะมือของเขาเปื้อนเลือด...เลือด