“มายืนรอใครครับ”
อินถาตัดสินใจเงยหน้าขึ้น กล้าที่จะสบตากับเขา ไม่รู้จะต้องขอบคุณความเมาดีไหม ที่ทำให้เธอมั่นหน้าได้ขนาดนี้
“ยืนรอ? อ่อๆ มะ ไม่ค่ะ ไม่ได้รอใคร”
แต่ถึงกระนั้นน้ำเสียงก็ยังสั่นเครืออยู่ดี ความประหม่าทำลิ้นพัน และไม่รู้ว่าจริงไหมที่เธอเห็นเขายิ้มมุมปาก ขณะยื่นมือมาแตะต้นแขนเรียว
“โต๊ะอยู่ไหนครับ”
น้ำเสียงอบอุ่น ท่าทางอ่อนโยน ก่อนหน้านี้ไม่เคยโผล่ออกมาจากตัวเขา มันเป็นไปได้อย่างไร สาวเจ้าอ้าปากค้าง มัวแต่ยืนงง จนเขาต้องถามซ้ำ
“ว่าไงครับ โต๊ะอยู่ไหน"
"ไม่เป็นไรค่ะ เดี๋ยวอินไปเอง"
"คุณเมามากนะ เดินไปคนเดียวไม่ไหวหรอก ผมจะพาไป"
"เอ่อ.."
"บอกมาเถอะครับ"
ทำไมตอนนี้แลดูเข้าถึงง่ายนัก หรือนี่เป็นนิสัยปกติ ของเขา อาจเป็นเพราะเธอไม่เคยมีโอกาสได้พูดคุย จึงรู้จักเขาไม่ดีพอ
“เอ่อ ตรงโน้นค่ะ”
อินถาบุ้ยหน้าไปยังทิศทางที่เดินจากมา ชายหนุ่มมองตามพลางพยักหน้า
“โอเคครับ ไปครับ”
"อ๋าาา"
สาวเจ้าเบ้ปาก หลังถูกเขาฉวยข้อมือข้างที่บาดเจ็บ
“ขอโทษครับ ผมไม่เห็นว่าคุณมีแผล ไปโดนอะไรมาครับ”
สาบานว่าเขาจำเธอไม่ได้?
อินถาขมวดคิ้ว มองเข้าไปในตาสีอำพันลึกลับคู่นั้นผู้ชายคนนี้ดูยังไงก็เป็นลูกผสม ไม่ใช่เอเชียแท้แน่นอน
“โดนน้ำร้อนลวกค่ะ”
คนตัวเล็กเอ่ยตามความจริง ยังคงจ้องมองดวงตาคู่นั้นหวังให้เขาจำได้ อย่างน้อยตอนเดินสวนกันที่คอนโดก็ไม่ใช่ครั้งเดียว ไหนจะในลิฟต์ในช่วงเวลาตรงกันอีก ถึงได้มองว่าเป็นไปได้ยาก นอกซะจากเธอไม่เคยอยู่ในสายตาของเขาตั้งแต่ต้นก็เท่านั้น
ราล์ฟอมยิ้ม พยักหน้าอีกครั้งพลางพยุงพาเดิน คราวนี้จับเบาๆตรงข้อแขน
“ทายารึยังครับ”
อินถาชะงัก เริ่มไม่แน่ใจเป็นความจริงหรือความฝัน ทำไมถึงได้อ่อนโยนกันขนาดนี้ ไหนจะกลิ่นน้ำหอมราคาแพงชวนให้หลงใหลนั่นอีก ราวกับต้องการยั่วยวนคนชิดใกล้ด้วยการส่งกลิ่นอ่อนๆโชยแตะจมูกทีละนิด ทีละนิด ดุจโยนหินถามทาง
บ้าจริง!
ตัวเธออ่อนยวบหมดแล้ว กว่าจะรู้ผู้ชายคนนี้ไม่ธรรมดา ก็ตอนปล่อยให้เขานั้นสัมผัสเนื้อหนังมังสาราวกับต้องมนต์สะกดไม่กล้าแม้แต่จะปฏิเสธ
ความเมาทำให้เธอไร้ซึ่งความเป็นตัวเอง การพยุงเดินบางครั้งก็ใช่ว่าจะช่วยเสมอไป แต่ละก้าวแสนยากลำบาก ควบคุมยากให้อยู่นิ่ง เดินตรงไปตามทิศทางไม่โซซัดโซเซไปชนกับใครอื่น จนเสี่ยงจะบาดหมางกันตั้งหลายครั้ง ภายในจิตใต้สำนึกของเธอกำลังตีกันเกี่ยวกับเรื่องระยะทาง ระหว่างขามาที่นักรบแบกมา กับขากลับที่เขาพยุงกลับ ทำไมอย่างหลังถึงรู้สึกช้ามากกว่า
“โซนVIP เหรอครับ”
“ชะ ใช่ค่ะ”
“โต๊ะไหนครับ”
ชายหนุ่มกระซิบถาม ตอนเดินมาได้สักพัก อินถารู้สึกเสียงนั้นของเขาแหบพร่า ทว่ายังไม่เท่ากับม่านตาของเธอ ที่มองภาพเบื้องหน้าไม่ชัดแปลกๆ มันพร่ามัวไปหมด ไม่พอยังรู้สึกเปลือกตาทั้งคู่หนักอึ้งอีกด้วย
“โต๊ะ...”
ก่อนจะค่อยๆปิดลง และมืดมิดในที่สุด
ช่วงท้ายหลังสูญสิ้นความทรงจำชั่วคราวคือเสียงนุ่มลื่นหู
“จำไม่ได้เหรอครับ งั้นอยู่กับผมก่อนนะ”
'อยู่กับผมก่อนนะ
เฮือกกก!
วินาทีสะดุ้งตื่นมาพร้อมกับความรู้สึกเสมือนใกล้จมน้ำ และขาดอากาศอยู่นานกว่าจะโผล่พ้น ถัดมาคือดวงตาขยายกว้างกวาดมอง เมื่อเธอเห็นว่าเป็นห้องของตนก็ถอนหายใจพรืด
“ค่อยยังชั่ว..ห๊ะ!”
ทว่ากลับต้องเบิกตากว้างอีกรอบ หลังนึกขึ้นได้ว่าภาพจำล่าสุดในสมองขี้เลื่อยของเธอนี้เป็นใคร หัวคิ้วเริ่มนิ่วเข้าหากันแน่น ขมวดจนย่นหน้าสั่นเทา หัวใจน้อยๆเท่ากำปั้นร่วงหล่นลงตาตุ่ม ท้องน้อยเริ่มปั่นป่วน ถ้าไม่ติดตกใจอยู่ จะคิดว่าตัวเองกำลังหิวข้าว
“เอาแล้วไง”
อินถาพึมพำเสียงแหบก่อนเม้มปากแน่น ถึงกับนอนนิ่งเมื่อรู้สึกร่างกายชาวาบเปลือยเปล่าล่อนจ้อน
“ใจเย็นๆยัยอิน ใจเย็นๆ ไม่หรอกน่า ไม่หรอกๆๆ”
แต่แล้ว...
ฟึ่บ!
“O.O”
จังหวะลุกขึ้นมานั่ง เหวี่ยงผ้านวมออก เห็นหยดเลือดบนผ้าปู
“กรี๊ด!!!”
เสียงตะโกนร้องลั่นดังและแรงพอๆกับความตกใจดวงตาขึงโตในทีแรกเริ่มเลิกลัก แกว่งไปมาอยากกระโดดออกจากเบ้าให้ได้
พระเจ้า!
คาถาบทไหนช่วยเธอได้บ้าง ย้อนไปยังเหตุการณ์ในอดีตที่จำไม่ได้ให้ที!
อินถาเร่งเรียกสติ ฝ่ามือตบแก้มรัวๆจนสั่น ลืมเสียสนิทว่ามือที่อุตส่าห์ใช้เป็นตัวช่วยอวัยวะส่วนอื่นนั้นก็เหน็บชา
ว่าแต่..
สาวเจ้ามองหาคู่กรณี กวาดตาไปทั่วห้องอีกครั้งก่อนจะขึงตาโต กว้างเท่าที่จะกว้างได้เป็นครั้งแรกในชีวิต ก็ตอนเห็นควันโขมงลอยอยู่บนอากาศ บริเวณระเบียงโดยมีประตูเลื่อนกั้นกลางอยู่ ด้วยกระจกที่ใสมองเห็นจากข้างในแต่ทึบข้างนอกไร้ผ้าม่านปกคลุม ทำให้เห็นเจ้าของควันแบบชัดเจน เขายืนอยู่ในท่าหันหลัง ด้วยสภาพผ้าเช็ดตัวพันรอบเอวอย่างหมิ่นเหม่
บ้านหลังหนึ่ง สร้างด้วยช่างฝีมือดี ตั้งตระหง่านอยู่บนเขตนอกชานเมือง ถูกรายล้อมไปด้วยต้นไม้ใหญ่ และพืชเขียวขจี ราวกับอาณาเขตนั้นจงใจถูกจัดแต่งโดยเจ้าของบ้านที่รักอิสระทว่าไม่ใช่ ไม่เลย..เพราะนั่นคือตรงกันข้ามหล่อนมักจะอ้างว้างทุกครั้งยามต้องอยู่คนเดียว และยิ้มดีอกดีใจก็ตอนประตูรั้วค่อยๆเลื่อนเปิด ตอนรถหรูคันหนึ่งเคลื่อนผ่านเข้ามา ใช่เลยเป็นเขาคนที่รออยู่“มาแล้วเหรอ”เสียงหวานถามทันทีที่เห็นร่างสูงหลุดวงกบประตูเข้ามา“เป็นไงบ้าง”เสียงแหบพร่าถามกลับ ไม่ได้มองหล่อนเต็มตาสักเท่าไหร่ เลือกที่จะเดินไปทิ้งตัวลงบนฟูกพร้อมพ่นลมหายใจเขาคงเหนื่อยมาก มากซะจนไม่มีอารมณ์จะมองตากันดวงตากลมโตของจินดาขึงกว้างขึ้นเล็กน้อย หล่อนเป็นผู้หญิงคนหนึ่งซึ่งจัดว่ารู้จักเขาดีมากกว่าใครอื่น ถึงได้รู้อารมณ์ที่แสดงออกมาตอนนี้นั้นยากจะควบคุมของเขา หากพูดผิดหูไปเพียงนิดเดียว อาจจะโดนตะเพิด และทำเขาหายไปจากบ้านหลังนี้ได้ จึงเลือกที่จะกลืนน้ำลายดับความน้อยใจลงก่อน ถึงจะเอาตัวเข้าไปใกล้“อะไรเย็นๆหน่อยไหม”แม้ว่าจินดาจะจัดไปทางคนเจ้าอารมณ์ ชอบเหวี่ยงชอบวีน แต่หล่อนก็อยู่เป็น เลือกที่จะใช้ท่าทางและคำพูดได้ดีและถู
นับตั้งแต่นั้น ความระแวงก่อให้เกิดความกระอักกระอ่วนใจ ภายในห้องใหญ่แต่เบาเสียง ชนิดไร้ซึ่งการหยอกล้อระหว่างคนสองคน และกำลังเสี่ยงต่อความสัมพันธ์ ที่อาจทำให้เกิดการสั่นคลอนได้ราล์ฟกลับบ้านดึกทุกวัน บางครั้งอินถาหลับไปแล้ว กว่าจะเห็นเขานอนอยู่ข้างๆก็ตอนเช้าตรู่ความตึงเครียดจึงเริ่มมีอิทธิพล สาวเจ้าในวันทำงานไร้รอยยิ้มและวันผ่อนคลายเหมือนเช่นเคย จนนักรบเพื่อนร่วมงานทันสังเกต และเริ่มสงสัยจริงจังก็ตอนอยู่กันตามลำพังในร้านกาแฟของบริษัท“มีปัญหากันใช่ไหม”“อืม”“ตั้งแต่เมื่อไหร่”“สักพักละ”“ตั้งแต่ตอนนั้นเหรอ”“อืม”คนถูกถามเอาแต่พยักหน้า ขณะสายตาหลุบต่ำจ้องเพียงแก้วกาแฟที่เพิ่งจะลดลงไปไม่ถึงคืบ เพียงเพราะมันขมกว่าวันปกติจนกลืนไม่ลงชายหนุ่มถอนลมหายใจพรืด ฉุดมือนั้นไว้และบังคับให้แก้วลดลง เพื่อจะเห็นสีหน้าบูดบึ้งอย่างชัดเจน“อิน..”“หืม?”“รบหวังดีนะ”ประโยคบอกเล่า ให้ความรู้สึกถึงคนพูดไม่สู้ดีนัก ทำคนฟังชะงักกึก ยอมที่จะละทิ้งความตะขิดตะขวงใจไว้เบื้องหลัง ความประหม่าถูกทาบทับลดระดับลง หลงเหลือความซึ้งใจให้พึงระลึกแทน“เรารู้” หญิงสาวพยักหน้า ช้อนตาขึ้น “แยกแยะได้แหละน่า มันไม่เกี่ยวกับร
โทรศัพท์แนบอยู่กับหูเขา โดยไม่มีเสียงเล็ดลอดออกมาสักนิด เขาเงียบกริบ รับบทเป็นผู้ฟังที่ดี จะมีก็แต่สีหน้าที่ยากจะคาดเดาอินถาเม้มปากแน่น เงยหน้ามองตาละห้อย ในใจลุ้นระทึกไม่รู้ปลายสายพูดอะไรหรือเปล่า ไม่นานเบิกกว้างตอนเขาตัดสายทิ้ง รับรู้ถึงหายนะที่กำลังจะตามมา“เลือกเอาระหว่างพี่กับมัน”“คะ?”ใช้เสียงทุ้มกดดัน หญิงสาวอ้าปากค้างทำอะไรไม่ถูก“หยุดทำหน้างงแล้วฟัง?" มือหนาบีบไหล่แน่น จ้องเขม็งตาไม่กะพริบ "ถ้ามีมัน ต้องไม่มีพี่”เสียงกลืนน้ำลายลงคอ กับการขยับเขยื้อนของเส้นเลือด ตัดสินใจพูด เป็นการเกทับที่อันตรายอย่างหนึ่ง“ไม่ได้ค่ะ” หญิงสาวส่ายหน้า “นักรบคือเพื่อนของหนู เป็นเพื่อนเพียงคนเดียวที่อยู่ในที่ทำงาน เราทำงานด้วยกันมาโดยตลอด หนูจะอยู่ได้อย่างไงถ้าไม่มีเขา”“อะไรนะ?!”“เอ่อ..หมายถึง งานจะราบรื่นได้ยังไงถ้า..”“ลาออกสิ”“ฮะ?”“ลาออก พี่จะหาที่ใหม่ให้ พี่ไม่เชื่อว่ามันอยากจะเป็นแค่เพื่อน”เริ่มใช้น้ำเสียงแข็ง“อะไร” เธออึ้ง “ทำไมถึงคิดแบบนั้น..เขาไม่ได้ทำอะไรผิด ทำไมต้องห้ามคบเขา”“เพราะพี่ไม่ชอบมัน”และเริ่มพาล“ก็ต้องเข้าใจกันสิ พี่ต้องเข้าใจว่านั่นคือเพื่อนของหนู คือบุคคลที่หนูเล
“ไงคะ..”รอยยิ้มกระชากใจที่มักจะเกิดขึ้นทุกครั้งหลังกระจกถูกเลื่อนลง เผยหน้าคนขับอยู่ข้างหลังพวงมาลัยแบบเด่นชัด พร้อมคำถามแหบพร่าชวนให้หลงใหลปกติการกระโดดขึ้นรถ นั่งประจำที่ข้างกัน จะมาพร้อมความร่าเริง ขี้เล่นบวกสดใสของคนตัวเล็กเสมอ เสมือนมีพลังแม่เหล็กที่แม้จะเหน็ดเหนื่อยกับงาน หรือเครียดหนักมาทั้งวัน ก็ไม่สามารถทำอะไรได้ เป็นบุคลิกที่ราล์ฟคุ้นชินดีและชื่นชอบเป็นที่สุด เธอเป็นส่วนหนึ่งของรอยยิ้มเขา พร้อมสัมผัสได้ว่าเมื่อใดก็ตามที่อยู่ในรถขนาดพื้นที่เล็ก มีแค่พวกเขาทั้งสอง เมื่อนั้นราวกับร่างกายได้ชาร์จพลังงานผ่อนคลาย หัวใจประหนึ่งถูกพรวนดินรดน้ำหากแต่ต่างจากวันนี้...เขาทักทายเธอพร้อมรอยยิ้มละมุนเหมือนเช่นเคย ทว่ากลับได้คืนมาด้วยหน้าที่บึ้งตึง ไม่คิดแม้แต่จะชายตามอง ไม่เงยหน้าขึ้นมาแม้แต่น้อย“เป็นอะไรไปคะ งานยุ่งหรือ..”ในขณะคนขับยังคงถาม หยั่งเชิงเผื่อเธอจะเหนื่อยจริงๆแต่แล้ว..มีเพียงความว่างเปล่าเท่านั้นเป็นฝ่ายตอบ ในรถเงียบเชียบไม่ต่างกับก่อนหน้านี้ เขาขับมาคนเดียว ชายหนุ่มจึงขมวดคิ้ว เหลือบตามองเธอสลับกับท้องถนนเป็นระยะ ทิ้งห่างความวอแวไปสักพักใหญ่ ก่อนจะถามใหม่ก็ตอนลงจากท
เมื่ออินถาอาบน้ำเสร็จ กับเวลาที่จงใจใช้ให้นานกว่าปกติ สถานการณ์หลังเดินออกมาก็ดูเปลี่ยนไปทันที"อ่าวไปไหนแล้ว.."ทั้งห้องเงียบกริบ จะมีก็แต่เสียงเครื่องปรับอากาศที่เปิดทิ้งไว้ และกลิ่นอ่อนๆของควันบุหรี่ตลบอบอวล บ่งบอกถึงการใช้งานมาได้สักพัก เตรียมจะจางหายไปสาวเจ้ากวาดตามองไปทั่ว เมื่อไม่เห็นเขาก็เริ่มใจหาย และเลือกที่จะเดินหามากกว่าการจัดการตัวเอง ในสภาพชุดคลุมกับเส้นผมที่เปียกชุ่ม แต่พอเหลือบไปเห็นโทรศัพท์ ที่ถูกชาร์จแบตทิ้งไว้อยู่บนโต๊ะก็โล่งใจขึ้นคงจะไปไหนไม่ไกล..ครืด~เธอกะจะหมุนตัวกลับไปยังห้องแต่งตัวแล้ว ถ้าไม่ติดว่าโทรศัพท์เครื่องนั้นมีเสียงแจ้งเตือน กลายเป็นต้องชะงัก และเดินเข้าไปใกล้กว่าเดิมอีก เพราะความอยากรู้ตามสัญชาตญาณแกมหวาดระแวง ทว่าเจ้าของกลับคว่ำโทรศัพท์ไว้ทำให้ไม่เห็นหน้าจอสาวเจ้าขมวดคิ้วชน ความแปลกประหลาดทำนิสัยชอบคิดมากเริ่มทำงาน ย้อนกลับมาถามตัวเอง มีคนประเภทไหนบ้างที่มักจะคว่ำโทรศัพท์เป็นวิสัยนอกจากคนที่มีความลับ?อินถาใช้นิ้วถูจมูกตัวเอง เมื่อรู้สึกเริ่มคิดไปไกลจึงถอนหายใจพรืด ต่อให้อยากรู้มากแค่ไหน การถลาเข้าไปพลิกโทรศัพท์ก็ไม่ใช่สิ่งที่ควรทำอยู่ดี เจ้าของ
หลังจากพวกเขาย้ายมาอยู่ด้วยกัน ชีวิตประจำวันของคนทั้งคู่ก็เปลี่ยน คนที่โสดมานานอย่างอินถาจะต้องปรับตัวเป็นอย่างมาก ไม่ใช่ว่าค่อยๆ แต่ก้าวกระโดดจนน่าใจหาย นั่นเพราะอีกคนทำให้เป็นแบบนั้น เปรียบเสมือนทิศทางของน้ำที่ถูกขุดร่องจากจอบของอีกคนเพียงด้ามเดียว ทว่านั้นไม่ใช่อุปสรรคหรือทำให้อึดอัดแต่อย่างใดในตอนนี้ความลุ่มหลงที่มีเกินพอดี ทำให้ปัญหาถูกมองข้ามไปทุกเช้าราล์ฟจะไปส่งที่ทำงานและเย็นหลังเลิกงานก็จะรับแวะทานข้าวกันก่อน ก่อนพากันกลับห้อง ซึ่งเป็นเช่นนี้มาแล้วหลายวันจนกระทั่งวันนี้.."อ๋อ~ ไม่เป็นไรค่ะ หนูกลับเองได้"แฟนหนุ่มของเธอโทรมาขอโทษ เนื่องจากมีภารกิจเกี่ยวกับงานที่เขาจะต้องทำเร่งด่วน ไม่สามารถมารับเธอได้ตามปกติ หญิงสาวจะต้องเดินทางกลับที่พักเอง(พี่ไม่สบายใจเลยค่ะ)ปลายสายเอ่ยเสียงเนือย สาวเจ้ายิ้มจังหวะหนีบโทรศัพท์ไว้ระหว่างหัวไหล่กับกกหู หลังต้องใช้มือเก็บเอกสารบนโต๊ะเข้าแฟ้มอย่างทุลักทุเล"แต่ก็ยกเลิกไม่ได้ใช่ไหมละคะ อย่าห่วงหนูเลย หนูกลับได้ พี่ทำงานให้สบายใจเถอะค่ะ"(จริงนะ?)"จริงๆ รถเมล์เยอะจะตาย ปลอดภัยด้วย"(โอเคค่ะ งั้นกลับดีๆนะคะ)"ค่ะ"(เจอกันที่ห้องค่ะ)"ได้ค่า"