“ก็แน่ล่ะสิ เจ้าไม่รู้หรือว่า คนที่พบฮูหยินตัวเองหมดสติอยู่กลางสวนก็คือข้านี่แหละ”“ไม่ใช่ไม่รู้ เพียงแต่ไม่คิดว่าเจ้าจะมาอยู่ที่นี่”“ทำไมเล่า เมื่อก่อนข้าก็เข้าออกเรือนเจ้าราวกับเป็นบ้านตัวเอง ไม่เห็นจะมีปัญหาอะไรสักนิด อ่อ...จริงสิ ตอนนี้เจ้าไม่ได้อาศัยอยู่ผู้เดียวอีกแล้ว ยังมีเหยาเหยาอีกคน”คำเรียกขานภรรยาตนเองอย่างสนิทสนมจากปากของสหายทำเอามู่หรงอี้หวายคิ้วกระตุก เพียงแค่ยามนี้ไม่ต้องการให้อีกฝ่ายล่วงรู้ว่าเขาคิดเช่นไรก็เท่านั้น หากไม่เห็นแก่มิตรภาพอันยาวนาน รับรองว่าตนจะต้องชักกระบี่ออกมาแทงสั่งสอนสหายสักสองสามแผลให้สำนึกเสียใจ แต่ในเมื่อตั้งมั่นว่าจะปล่อยให้อีกฝ่ายลำพองไปก่อน เขาจึงเผยรอยยิ้มบางเบาแล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงอันเป็นปกติตอบกลับไป“ข้านั้นไม่เคยคิดมาก เพราะเหยาเอ๋อร์ย้ำมาตลอดว่านับถือเจ้าดั่งพี่ชายคนหนึ่ง แต่ก็ต้องคำนึงถึงสถานะฮูหยินน้อยตระกลูมู่หรงด้วย เจ้าคงไม่ต้องการให้นางด่างพร้อย เพียงเพราะตนเองเลอะเลือนชั่วครู่กระมัง”เย่เทียนหลางมีหรือจะไม่เข้าใจความหมายของคำพูดเหล่านั้น เสมือนถูกน้ำเย็นราดศีรษะ วาจาดุจคมมีดกรีดเข้ากลางใจ ใบหน้าคมพลันซีดเซียว แต่ถึงกระนั้นก็พยายาม
ไม่นานนักเสี่ยวจูก็เดินประคองยาบำรุงกลับมา ระหว่างทางก็พบมู่หรงอี้หวายที่ยืนทำหน้าทะมึนอยู่ริมทางเดิน นางไม่เข้าใจว่าเหตุใดเขายังไม่รีบเข้าไปดูฮูหยินของตนเองอีก“นายน้อยเจ้าคะ ตอนนี้ฮูหยินน้อยฟื้นแล้ว ท่านไม่เข้าไปดูสักหน่อยหรือ”มู่หรงอี้หวายตื่นจากภวังค์ทันใด เขาหันไปทางต้นเสียง ก็เห็นเสี่ยวจูยืนอยู่ จึงเอ่ยถามเสียงเย็น “ทำไมเจ้ามาอยู่ที่นี่ แล้วตอนนี้ให้ผู้ใดดูแลภรรยาข้าอยู่”เสี่ยวจูเห็นดวงตาของนายหนุ่มก็เสียวสันหลังวาบ แต่ก็ไม่คิดปิดบัง “บ่าวขออภัยที่บกพร่องต่อหน้าที่ ตอนนี้ฮูหยินน้อยนอนอยู่ในห้องเพียงผู้เดียวเจ้าค่ะ”“เจ้าแน่ใจหรือ”เสี่ยวจูหลุบตาลง รู้ว่าคงใช้วาจาหลบเลี่ยงเขาไม่ได้อีกแล้ว จำต้องรายงานตามความเป็นจริง “คุณชายเย่เป็นคนพบฮูหยินน้อยที่ในสวน ตอนนี้เขาจึงเปลี่ยนไปรอพบนายน้อยอยู่ที่ห้องด้านหน้าเจ้าค่ะ”“รอพบข้า?” ใบหน้าราวหยกสลักนั้นกลับบิดเบี้ยว เต็มไปด้วยความโกรธเกรี้ยว “หึ! เจ้าปล่อยให้เทียนหลางนั่งอยู่หน้าห้องที่ภรรยาข้ากำลังนอนระทดระทวยตามลำพังงั้นรึ ประเสริฐ...ประเสริฐจริงๆ” เขาจดจ้องเสี่ยวจูราวกับจะกล่าวโทษ พลางหัวเราะเสียงเย็นจนผู้ฟังสั่นไปทั้งร่างหากแววตาฆ่าค
“พี่เย่ปล่อยเถิดเจ้าค่ะ น้องสาวเจ็บ...” นางแสร้งร้อง หวังว่าเขาจะคลายมือโดยเร็วเย่เทียนหลางรู้ว่ากำลังถูกผลักไส โทสะก็เริ่มคุกรุ่น เขามองนางด้วยแววตาลุ่มลึก ก่อนจะก้มศีรษะลงไปหาสตรีที่กำลังนอนเหงื่อตกอยู่ แล้วกระซิบเสียงเย็น “ข้ารู้แรงมือตนเองดียิ่งกว่าอะไร”หลี่จื่อเหยาขนลุกขนชัน เพิ่งรู้สึกถึงอันตรายจากเย่เทียนหลางเป็นครั้งแรก ด้วยเหตุนี้จึงไม่คิดจะใช้วิธีละมุนละม่อมอีก นางสูดลมหายใจเข้าลึก ทิ้งรอยยิ้มแล้วปรับสีหน้า มองอีกฝ่ายด้วยสายตาเย็นชาราวน้ำแข็งบนยอดเขาพันปี“ปล่อยเดี๋ยวนี้นะ ไม่อย่างนั้นข้าจะร้องจริงๆ ด้วย”เย่เทียนหลางกลั้วหัวเราะสดใส ประหนึ่งว่าทั้งสองกำลังหยอกเย้ากันอยู่ แล้วกระซิบตอบอย่างไม่ยี่หระ “อย่าทำอะไรโง่ๆ ดีกว่า ถ้าเจ้าเสียงดัง ข้าสัญญาเลยว่าจะปิดปากนั่นเสีย แต่ตรองให้ดีก่อนเล่าเหยาเอ๋อร์ เพราะตอนนี้มือข้าไม่ว่าง”ไม่ต้องเปลืองความคิด ถ้ามือเขาไม่ว่าง แล้วจะใช้อะไรปิดปากตนกันเล่า นางย่อมรู้ว่าเขาหมายความว่าอย่างไรหลี่จื่อเหยาทั้งกระดากอาย และโกรธจนหน้าแดง นางดิ้นขลุกขลักอย่างไร้หนทาง แต่เขากลับยิ่งยิ้มกว้าง ส่งเสียงหัวเราะอย่างเบิกบานเป็นที่สุด ชนิดที่หากผู้ใดเข
“ช่างเนรคุณนัก ไม่ใช่ข้าหรือที่เห็นนางล้มฟุบอยู่ข้างนอกนั่น เจ้าเป็นบ่าวภาษาอะไรทำไมไม่ดูแลนายหญิงให้ดี เหยาเอ๋อร์แต่เดิมก็บอบบางถึงเพียงนั้น หากนางเป็นอะไรไปพวกเจ้ารับผิดชอบไหวหรือ อี้หวายก็เหมือนกัน เหตุใดจึงจัดคนใช้การไม่ได้ให้ดูแลภรรยา...”พอถูกไล่บ่อยครั้งเข้าเย่เทียนหลางก็สิ้นความอดทน ตวาดเสียวจูเสียงดังไปทั้งห้อง หนำซ้ำยังถลึงตาใส่ท่านหมออย่างโกรธเคือง ท่านหมอได้แต่ส่ายศีรษะ แล้วหันมาสนใจหลี่จื่อเหยาอีกครั้ง ปล่อยให้เสี่ยวจูที่ยืนตัวสั่นรับหน้าเขาไปคนเดียว“พี่เย่...” หลี่จื่อเหยาเอ่ยเรียกเสียงเบา หวังยุติความวุ่นวายในห้องเสีย แล้วก็ได้ผล...“เหยาเอ๋อร์ ฟื้นแล้ว...เจ้าฟื้นแล้ว” เขาปราดเข้ามาหานางที่ข้างเตียง อากัปกิริยาไม่ต่างจากสามีที่กำลังร้อนรน ทำให้ผู้มองรู้สึกกระอักกระอ่วนไปตามๆ กัน ดีที่เสี่ยวจูไล่สาวใช้คนอื่นออกไปหมดแล้ว ไม่อย่างนั้นชื่อเสียงนายหญิงของตนคงป่นปี้“ใช่ ข้าไม่เป็นอะไรแล้ว เช่นนั้นพี่เย่ออกไปรอที่ห้องด้านนอกก่อนดีหรือไม่ อย่างไรข้าก็เป็นสตรี ย่อมไม่สะดวกใจให้ท่านอยู่ยามท่านหมอกำลังดูอาการให้”“ข้าเพียงเป็นห่วงเจ้าจึงลืมนึกถึงเรื่องนี้ไป อย่างไรพี่ชายจะไปรอข้
หลี่จื่อเหยาพยายามปรับอารมณ์ให้เยือกเย็น แล้วปกป้องตนเองด้วยการรับคำอย่างเย็นชายิ่งกว่า “ข้าทราบแล้วเจ้าค่ะ” นางเอื้อมมือไปหยิบเทียบบนโต๊ะหินด้วยใบหน้าเรียบเฉยไร้อารมณ์ แต่ยังไม่ทันที่จะดึงมือกลับมา มู่หรงอี้หวายก็คว้ามือของนางเอาไว้ก่อน หลี่จื่อเหยาขมวดคิ้วน้อยๆ ก่อนจะหันไปสบตากับเขาอีกครั้ง สีหน้าเขาดูเหมือนคนกำลังผิดหวัง“ในสายตาเจ้า สามีเป็นคนมากตัณหาถึงเพียงนั้นเชียวหรือ”หลี่จื่อเหยายิ้มเย็น ดึงมือกลับมาอย่างแนบเนียน “ผู้อื่นไม่ได้ตัดพ้อต่อว่าสักคำ เพียงแค่จะส่งเสริมการกระทำของสามี แล้วเหตุไฉนท่านจึงกล่าวหาเช่นนั้นอีกเล่า”มู่หรงอี้หวายจดจ้องนางนิ่ง แล้วเอ่ยอย่างช้าๆ ชัด “ข้าเพียงแต่จะบอกว่า...นอกจากส่งเสริมการกระทำของสามีแล้ว ความเชื่อใจก็เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่เจ้าพึงมี และก่อนที่จะทำท่าทางเช่นนั้นใส่ข้า ไม่สู้ลองตรองดูให้ดี หากคนอย่างคุณชายมู่หรงอยากกอดกกหญิงคณิกาสักคนสองคน จำเป็นต้องยุ่งยากถึงเพียงนี้ด้วยหรือ”หลี่จื่อเหยานิ่งงัน เพียงคิดตามก็เข้าใจทุกอย่างมากขึ้น ไม่ใช่ว่าสามีไม่สนใจสีหน้านาง แต่บุรุษผู้นี้มั่นใจอย่างที่สุดว่า ผู้เป็นภรรยาจะไว้ใจเขาอย่างแท้จริง จึงทำทุกอย่างให
หลี่จื่อเหยาชะงัก รู้สึกว่าคำพูดของเสี่ยวจูมีเหตุผล แล้วตำหนิตัวเองในใจว่า มัวแต่หึงหวงจนลืมมองสถานการณ์รอบข้าง ดีที่สาวใช้คนสนิทรั้งบังเหียนม้าเอาไว้ก่อนจะถึงหน้าผา มิเช่นนั้นตนอาจจะมีปัญหากับสามีได้“จริงสินะ ขอบใจเจ้านักที่เตือนสติข้า”“บ่าวมิกล้า” เสี่ยวจูตอบกลับอย่างนอบน้อมหลี่จื่อเหยามองนางแล้วยกยิ้มเอ็นดู แล้วยื่นมือไปลูบศีรษะนั้นเบาๆ “เสี่ยวจูของข้าฉลาดนัก รับรองว่าหากอายุถึงเกณฑ์ข้าจะหาผู้ชายดีๆ ให้เจ้าออกเรือน”“ไม่เอาเจ้าค่ะ บ่าวจะอยู่ปรนนิบัติท่านกับนายน้อยไปชั่วชีวิต”หลี่จื่อเหยาหัวเราะพลางหยอกเย้า “เด็กคนนี้ดูพูดเข้า นั่นเพราะเจ้ายังไม่เจอคนถูกใจน่ะสิ เกรงว่าพอพบบุรุษของตนเข้าจริงๆ ขี้คร้านจะขอร้องให้ข้ารีบจัดการส่งเจ้าออกเรือน”เมื่อคิดถึงเรื่องแต่งงาน แล้วต้องร่วมหอกับสามีแบบนายหญิง เสี่ยวจูก็อายจนหน้าแดงไปหมด มือไม้ก็ไม่รู้จะเอาไปวางทีใดจึงได้แต่บิดกระโปรงไปมา หลี่จื่อเหยาเห็นดังนั้นก็เลิกแกล้งนางแล้วออกเดินนำหน้าไปอีกครั้งแม้คำพูดของสาวใช้คนสนิทจะมีเหตุผล แต่จากคำบอกเล่าของเย่เทียนหลาง ก็ทำให้รู้ว่ามู่หรงอี้หวายเป็นคนเจ้าสำราญเพียงใด แล้วในบรรดาสาวงามที่มาจะไม่มีผ