เยี่ยฟาง มีใจให้กับพี่ชายข้างบ้าน จางซีเหอ แต่กลับถูก อี้เฟิง เจ้านายของตนบังคับให้แต่งงาน เขาเทียบไม่ติดกับพี่ชายหน้าซื่อของเธอแม้แต่นิด คนหนึ่งก็รัก อีกคนก็ว่าที่สามี แต่สุดท้ายจะเป็นอย่างไร เมื่อความจริงปรากฏว่าทั้งสองคนเป็นคนคนเดียวกัน
View Moreอากาศที่หนาวเย็นกระทบผิวกาย ทำให้หญิงสาวที่นอนขดตัวในผ้าห่มดึงกระชับผ้าห่มนวมผืนหนาให้ขึ้นมาปิดถึงคอ วันหยุดแบบนี้เธออยากนอนต่ออีกนิด
กลิ่นหอมของผ้าห่มไม่คุ้นเอาเสียเลย พลางคิดว่ามารดาของตนเปลี่ยนผงซักฟอกหรือไม่
‘แต่ผ้าห่มบ้านเราไม่ใช้เนื้อผ้าแบบนี้นี่’ เมื่อนึกได้ดวงตากลมโตก็เบิกกว้าง
เยี่ยฟางรู้สึกตัวขึ้นมาแล้วพบว่าตัวเองนอนอยู่บนเตียงขนาดใหญ่ ภายในห้องสีควันบุหรี่ที่ไม่คุ้นตา
ความทรงจำสุดท้ายคือตอนที่เธออยู่ในงานเลี้ยงต้อนรับลูกค้า ที่เข้ามาดูวัตถุโบราณที่เตรียมจะประมูลในอีกหนึ่งเดือนข้างหน้า และถูกลูกค้ากลุ่มนั้นคะยั้นคะยอให้ดื่มไวน์ไปหลายแก้ว เธอจึงดื่มเพื่อเอาใจพวกเศรษฐีเอาแต่ใจพวกนั้น จากนั้นภาพก็ตัดมาอยู่ที่นี่
“ฟื้นแล้วเหรอ” น้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความราบเรียบและหงุดหงิดนั้น ทำให้หญิงสาวหันไปมอง
ชายหนุ่มรูปร่างสูงโปร่ง สวมหน้ากากปิดบังครึ่งใบหน้า อยู่ในชุดสูทราคาแพงในรูปแบบชาติตะวันตกที่กำลังเป็นที่นิยม ยืนอยู่ตรงหน้าด้วยท่าทางที่ดูไม่ค่อยสบอารมณ์นัก
“ท่านประธานอี้” หญิงสาวกล่าวด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความประหลาดใจ
จากนั้นนึกได้ว่านี่อาจจะเป็นห้องของเขา และเธอกำลังนอนสุขสบายอยู่บนเตียงของเขาอยู่ จึงยกผ้าห่มดูพบว่ากี่เพ้ารัดรูปที่เธอสวมใส่ยังคงอยู่ดี แล้วรีบลุกออกมายืนต่อหน้าแล้วค้อมตัวลงขอโทษเขา
“ฉันขอโทษค่ะ ฉันไม่รู้ว่าตัวเองมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร” เธอรีบอธิบาย เกรงว่าเขาจะเข้าใจว่าเธอเป็นหนึ่งในหญิงงามหลายคน ที่พยายามจะปีนขึ้นเตียงของเขาเพื่อรวยทางลัด
อี้เฟิงเป็นเจ้าของบริษัทหลี่โถวค้าวัตถุโบราณที่เธอทำงานอยู่ เขาเป็นนักธุรกิจหนุ่มไฟแรงที่โดดเด่นในธุรกิจซื้อขายวัตถุโบราณ และกำลังเป็นที่น่าจับตามองอยู่ในตอนนี้
“เมื่อคืนคุณเมามาก และก่อเรื่องเอาไว้ในงานเลี้ยง ผมเลยให้คนพาคุณมาพักที่นี่ก่อน” น้ำเสียงนั้นกล่าวอย่างไร้อารมณ์ แววตาที่มองมานั้นดูเย็นชาราวกับว่าการช่วยเหลือเธอนั้นเป็นสิ่งที่เขาจำใจทำ
‘แล้วใครให้คุณช่วยกันเล่า ยื่นมือมาช่วยเองแท้ๆ แล้วมาทำเป็นบ่น’ หญิงสาวได้แต่นึกบ่นในใจ แต่แสดงสีหน้านอบน้อมเพราะรู้ดีว่าคนอย่างอี้เฟิงไม่ควรทำให้เขาโกรธ
“ฉันต้องรีบกลับก่อน ขอบคุณที่ช่วยเหลือเอาไว้ค่ะ” เยี่ยฟางกล่าวด้วยความรู้สึกที่ซาบซึ้งในการช่วยเหลือ และอับอายที่เมาแล้วสร้างปัญหาเมื่อคืนนี้
ดวงตาคู่งามกวาดหากระเป๋าถือของตนไปรอบๆ ห้อง เมื่อเห็นแล้วก็รีบเดินไปคว้าเอาไว้ แล้วค้อมศีรษะคำนับก่อนที่จะรีบออกไปจากห้องของเขา ที่อยู่ชั้นบนสุดของอาคารสำนักงานของบริษัท
อี้เฟิงมองหญิงสาวตรงหน้าแล้วพ่นลมหายใจออกมาด้วยความโล่งอก ที่อีกฝ่ายจำไม่ได้ว่าเกิดอะไรขึ้นเมื่อคืนนี้ แต่ก็คงรู้ในอีกไม่ช้านี้แน่
เยี่ยฟางรีบกลับไปที่บ้านของตน โชคเข้าข้างที่พ่อแม่เข้าใจว่าเธอยังไม่ตื่นนอน จึงรีบย่องขึ้นไปบนห้องเปลี่ยนเป็นชุดนอนสีขาวตัวโปรด แกล้งทำเป็นว่าตนเองเพิ่งจะตื่นแล้วลงมาอาบน้ำ
“สวัสดีตอนสายค่ะ พ่อ แม่”
“รีบอาบน้ำเถอะ แม่จะอุ่นอาหารให้” กู่เหมยในชุดกี่เพ้าแบบเรียบง่ายตามครอบครัวหัวโบราณที่อนุรักษนิยม เธอบอกแก่บุตรสาวด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยนพร้อมกับรอยยิ้มที่อ่อนหวาน
ในขณะที่เยี่ยชงลดหนังสือพิมพ์ในมือลง แล้วมองใบหน้าที่ฉาบด้วยเครื่องสำอางนั้น แล้วจ้องจนเยี่ยฟางรู้สึกว่าความลับที่เธอเพิ่งกลับมาจะถูกเปิดเผย
“แต่งหน้านอนด้วยเหรอ จะรักสวยรักงามเกินไปแล้ว”
“เอ่อ เมื่อคืนนี้กลับดึกค่ะพ่อ เปลี่ยนชุดแล้วก็นอนเลย” หญิงสาวตอบด้วยน้ำเสียงที่คุมไม่ให้สั่น เวลาโกหกบิดาทีไรก็เกรงว่าจะถูกจับได้ทุกที
“รีบไปอาบน้ำเถอะ” กู่เหมยย้ำแก่ลูกสาว
เยี่ยฟางจึงรีบเข้าห้องน้ำไปก่อนที่จะถูกสงสัย
ในขณะที่อาบน้ำ หญิงสาวก็สำรวจร่างกายของตนอีกครั้งเพื่อความมั่นใจว่าไม่ถูกล่วงเกิน แล้วถอนหายใจด้วยความโล่งอก โชคดีที่อี้เฟิงเป็นสุภาพบุรุษพอที่จะไม่ทำในสิ่งที่บังคับฝืนใจใคร
‘ไม่สิ เขาเป็นประเภทไม่สนใจผู้หญิงเสียมากกว่า ไม่ใช่เพราะความเป็นสุภาพบุรุษอะไร แต่ก็ยังใจดีพาฉันออกมาจากงานเลี้ยงนั้น ว่าแต่ทำไมถึงเป็นเขาที่ช่วยฉันล่ะ แต่ก็ช่างมันเถอะเราก็ปลอดภัยดีแล้ว ต้องขอบคุณเขาถึงจะถูก’
หลังจากอาบน้ำเสร็จ หญิงสาวก็เลือกเสื้อคอจีนสีฟ้าหม่น คอเสื้อตั้งขึ้น สาบเสื้อเฉียงไปด้านข้างติดกระดุมผ้าสองเม็ดที่ด้านบนและสองเม็ดที่ข้างลำตัว แขนเสื้อทรงกระบอกแขนยาว จับคู่กับกระโปรงจีบรอบสีเข้ม
เป็นชุดที่บิดาเธอต้องการให้สวมใส่ ทั้งๆ ที่เธออยากใส่เสื้อผ้าตามสมัยนิยมตามอิทธิพลของต่างชาติ แต่ก็ต้องเชื่อฟังบิดาเลือกใส่เสื้อผ้าแบบดั้งเดิม
หญิงสาวลงจากห้องนอนแล้วนั่งที่โต๊ะอาหาร ตรงหน้ามีอาหารสามอย่างและซาลาเปาที่มารดาอุ่นให้ แต่ดูก็รู้ว่าซาลาเปานี่ไม่ใช่ฝีมือเธอแน่
กู่เหมยนั่งลงตรงข้ามลูกสาว แล้วยิ้มมองใบหน้าหวานที่ตอนนี้จ้องซาลาเปาตาไม่กะพริบ จึงถามไถ่ออกไปเพื่อดึงความสนใจ
“งานเลี้ยงเมื่อคืนสนุกไหม”
“ไม่สนุกเลยสักนิดค่ะ ลูกค้ามีแต่พวกคนเศรษฐีอวดรวยนิสัยไม่ดี เอาแต่ใจจะเอานั่นเอานี่ไม่หยุด” หญิงสาวเล่าให้ฟัง พร้อมคีบอาหารใส่ถ้วยข้าว แล้วพุ้ยข้าวใส่ปากอย่างเอร็ดอร่อย ไม่ได้เล่าเหตุการณ์อื่นๆ ให้มารดาไม่สบายใจ
“กินช้าๆ คำเล็กๆ ไม่มีความเป็นผู้หญิงเลย”กู่เหมยดุบุตรสาวคนเดียว จ้องมองด้วยใบหน้าที่ดูมีอะไรในใจต่างจากทุกครั้ง
เยี่ยฟางมองดูมารดา ริ้วรอยที่เหี่ยวย่นบนใบหน้าตามกาลเวลา ไม่ได้ทำให้ความงามของเธอลดลงเลยแม้แต่น้อย
“วันนี้แม่เป็นอะไรคะ ดูหน้าเครียดเชียว” เธอถามด้วยความห่วงใย
ผู้เป็นมารดาถอนหายใจ ตนคงปิดอาการไม่มิดสินะ “ไม่มีอะไรหรอก รู้สึกว่าช่วงนี้แม่ปวดท้องบ่อยน่ะ”
“งั้นก็ไปหาหมอสิคะ ลูกสาวแม่มีงานทำแล้วนะคะ อย่าลืมสิ พ่อกับแม่ไม่ต้องทำงานหักโหมแล้ว”
“แค่อยู่ในช่วงเป็นพนักงานฝึกหัดไม่ใช่เหรอ”
“ลูกสาวแม่เก่งขนาดนี้ ยังไงก็ต้องรับเป็นพนักงานประจำในเร็วๆ นี้แน่ค่ะ ดังนั้นแม่เอาเงินไปรักษาตัวเถอะนะคะ”
“แม่รู้ แม่รู้ แต่แม่ก็อยากเก็บเงินเอาไว้เผื่อได้ใช้ในยามที่จำเป็น” กู่เหมยเสียดายเงินในการรักษา
“ตอนนี้ก็จำเป็นแล้วค่ะแม่” เยี่ยฟางยื่นมือไปกุมมือของมารดาที่นั่งอยู่ตรงข้ามกับตน จ้องมองใบหน้าที่เริ่มมีริ้วรอยจางๆ ปรากฏให้เห็นในวัยสี่สิบห้า
มารดาวัยกลางคนยิ้มรับคำพูดที่ห่วงใยของบุตรสาว จากนั้นก็พยักหน้ารับให้อีกฝ่ายสบายใจ แต่ในใจก็ยังคงคิดต่อต้าน
อย่างไรตนก็ไม่อยากไปรักษาอยู่ดี โรคที่เธอเป็นมันไม่ใช่เงินแค่ห้าหยวนหรือสิบหยวนก็จะรักษาให้หายขาดได้ อย่างน้อยก็หนึ่งพันหยวน นั่นเป็นค่าใช้จ่ายในบ้านได้หลายเดือนเลยทีเดียว
เงินเดือนลูกสาวและสามีรวมกันเดือนละสองร้อยหยวนจะไปพออะไร
************************
หนึ่งปีต่อมามูลนิธิอี้เฟิงถูกเปิดขึ้นอย่างเป็นทางการ โดยใช้ที่ดินของสกุลจางที่อี้เฟิงได้คืนมาในการสร้างเป็นศูนย์ช่วยเหลือเด็กกำพร้าและผู้ยากไร้ตามที่เขาตั้งปณิธานเอาไว้ตอนนี้อี้เฟิงเป็นผู้ทรงอำนาจในวงการค้าขายวัตถุโบราณและเป็นนักธุรกิจที่ได้รับการยอมรับว่ามีความสามารถบางคนรู้ตัวตนของเขาเพราะอี้เฟิงไม่ได้ปิดบังอีกต่อไป แต่หลายคนก็ไม่รู้พื้นเพของนักธุรกิจคนนี้ รู้แค่เพียงว่าอี้เฟิงถอดหน้ากากออกแล้ว และไม่ได้อัปลักษณ์อย่างที่เขาเล่าลือกัน เป็นชายหนุ่มหน้าตาดีและมีความสามารถที่อยากปิดบังตัวตนเท่านั้นเยี่ยฟางตอนนี้ใช้ความสามารถเข้ามาทำงานในแผนกประมูลงานได้สมดั่งความตั้งใจ เธอได้รับความไว้ใจให้เป็นคนวิเคราะห์ความต้องการของลูกค้า และศึกษาพฤติกรรมและความชอบของคนที่มีความเป็นไปได้ที่อยากได้วัตถุโบราณชิ้นสำคัญนอกจากนี้ยังได้เรียนรู้จากอาจารย์เฉิน นักวิชาการผู้เชี่ยวชาญด้านวัตถุโบราณ เพื่อศึกษาประวัติความเป็นมาและวิธีการตรวจสอบของแท้ด้วยวิธีดั้งเดิม ซึ่งเป็นคนที่สอนอี้เฟิงจนมายืนในจุดนี้“อาฟาง กลับบ้านเถอะ” อี้เฟิงลงมาเรียกภรรยาด้วยตัวเอง หากเป็นวันศุกร์ถึงวันอาทิตย์ พวกเขาจะกลับไปนอนที่บ้
พิธีแต่งงานของทั้งคู่ ถูกจัดขึ้นโดยประยุกต์ให้เข้ากับยุคสมัยที่เปลี่ยนแปลงไป แต่ก็ยังคงความเป็นอนุรักษนิยมอยู่ตามที่เยี่ยชงต้องการสินสอดถูกนำไปให้ที่บ้านเจ้าสาว เจ้าบ่าวในนามของอี้เฟิงที่เปิดใบหน้าของเขาให้คนอื่นรับรู้ตัวตน และไม่ได้ปิดบังตัวตนจริงอย่างที่เคยตั้งใจไว้ตู้เย็น หม้อหุงข้าว และชุดเครื่องนอน สามสิ่งนี้บ้านเจ้าสาวซื้อใหม่เป็นของขวัญวันแต่งงาน เพื่อเตรียมเอาไว้ให้ขนย้ายไปที่เรือนหอ ตามธรรมเนียมการแต่งงานที่เจ้าสาวต้องย้ายไปอยู่บ้านฝ่ายชาย สื่อถึงการเริ่มต้นชีวิตใหม่ของทั้งคู่ทุกคนมองเจ้าบ่าวเจ้าสาวด้วยความชื่นชม ทั้งคู่อยู่ในชุดแต่งงานแบบดั้งเดิม สีแดงมงคล และประดับด้วยเครื่องประดับที่มีมูลค่าอย่างสมเกียรติอี้เฟิงในชุดเจ้าบ่าวที่โดดเด่น นำขบวนรถมารับเจ้าสาวและพ่อตาแม่ยายที่บ้าน เพื่อไปจัดพิธีแต่งงานที่โรงแรมหรูใจกลางเมือง พร้อมกับรถบรรทุกคันเล็กที่จะขนของขวัญแต่งงานไปยังเรือนหอชั่วคราว นั่นคือห้องพักที่บริษัทหลี่โถว“จริงๆ พ่อจะเตรียมไว้แปดอย่าง แต่มันมากเกิน ฉันเลยให้เตรียมพอเป็นพิธีเท่านั้น” เธอกระซิบบอกเจ้าบ่าวของตน“เสียใจไหมที่แต่งงานกับผม แทนที่จะเป็นจางซีเหอ” เขาถ
เจ้าของร่างสูงใหญ่เดินเข้ามาในบริษัทด้วยรอยยิ้มที่ปรากฏภายใต้หน้ากากของเขา ข้างกายคือเยี่ยฟางที่เดินควงแขนเข้ามาอย่างเปิดเผย และเต็มไปด้วยรอยยิ้มที่สดใสสามเดือนแล้วที่หมั้นหมายกัน ความสัมพันธ์ของทั้งคู่พัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็ว ทุกคนในบริษัทหลี่โถวก็เห็นภาพหวานนี้จนชินตาอี้เฟิงที่เข้ามาทำงานเต็มเวลา ล้มเลิกระบบทำงานตอนเย็นและวันหยุด ก็ทำให้หลายฝ่ายทำงานสะดวกขึ้น“วันนี้คุณยิ้มกว้างกว่าทุกวันเลยนะคะ”“วันนี้ครบสองเดือนที่โฉนดครบกำหนดน่ะ ตอนนี้ผมได้ที่ดินตรงนั้นคืนมาแล้ว” เขาเดินไปนั่งที่เก้าอี้ทำงาน โดยที่คู่หมั้นสาวนั่งเก้าอี้ฝั่งที่อยู่ตรงข้ามโดยมีโต๊ะกั้นระหว่างทั้งคู่“แล้วคุณจะเปิดเผยตัวตนกับทุกคนตอนไหนคะ ในเมื่อทุกอย่างก็จบลงแล้ว คุณก็ประสบความสำเร็จ และได้ทุกอย่างกลับคืนมาแล้ว” หญิงสาวถามด้วยความใคร่รู้“พรุ่งนี้” เขายิ้มด้วยความสะใจเมื่อวานนี้ผลการตรวจสอบเอกสารเท็จทำให้หลายบริษัทถูกสั่งปรับค่าภาษีย้อนหลังจำนวนหลักแสนไปจนถึงหลักล้าน บางบริษัทถึงกับต้องปิดตัวลงเพราะข่าวฉาวทำให้ไม่มีคนเชื่อถือ แม้ปิงชางจะรอดมาได้ก็เจ็บหนักเอาการ“ให้ฉันไปด้วยไหมคะ” เยี่ยฟางถามด้วยน้ำเสียงที่ห่วงใย
ที่บริษัทตรวจสอบบัญชีที่จางซีเหอทำงาน เขาได้ทำการตรวจสอบและให้เตียวหม่ารับรองบัญชีให้กับบริษัทปิงชางไปตั้งแต่เดือนที่แล้วตอนนี้เขาได้ส่งคืนเอกสารรับรองไปยังบริษัทปิงชาง เพื่อให้ทางนั้นยื่นเข้าสู่สำนักงานตรวจสอบภาษีของรัฐบาลต่อไปตามขั้นตอนจางซีเหอได้ทำเอกสารตรวจสอบบัญชี และยื่นให้เตียวหม่ารับรองให้อีกสองบริษัทให้เสร็จเรียบร้อย เพื่อไม่ให้เป็นที่สงสัยว่าทิ้งงานกลางคันและตัดสินใจยื่นใบลาออกจากบริษัทนี้ เพราะทุกอย่างเป็นไปตามแผนการแล้ว “นี่นายจะลาออกจริงๆ เหรอ ทำงานเสร็จตั้งสามงานแล้วนี่ ไม่รอเงินโบนัสก่อนเหรอ” เตียวหม่าถามด้วยความห่วงใย แต่ในใจนั้นคิดว่าโชคลาภได้ลอยมาถึงตนแล้วนอกจากจะได้งานและได้หน้าแล้ว ยังได้รับเงินในสิ่งที่ตนไม่ได้เป็นคนลงมือ ใครจะโชคดีไปกว่าเขาไม่มีอีกแล้ว“ครับ ผมจะต้องย้ายไปทำงานที่บริษัทใกล้บ้านเพราะต้องดูแลแม่ที่แก่ชรา ท่านไม่เหลือใครเลยนอกจากผม” เขาพูดด้วยน้ำเสียงที่แสร้งเสียดาย เตียวหม่าได้แต่ตบไหล่ให้กำลังใจเขา“นายยังหนุ่มยังแน่น ไปทำงานที่ไหนก็สามารถเริ่มต้นใหม่ได้เสมอ ขอให้โชคดีก็แล้วกัน” เขาไม่ได้รั้งพนักงานที่เก่งและรอบคอบคนนี้เอาไว้ แต่กลับพูดให้กำล
สัญญาซื้อขายหยกจักรพรรดิถูกลงนามทั้งสองฝ่าย เหลือเพียงให้จางเสิ่นนำโฉนดมาวางในวันจันทร์ก็เป็นอันเสร็จสิ้นจางเฟยหรงเดินควงแขนอี้เฟิงออกมาจากห้องเซ็นสัญญา เธอรู้สึกได้ถึงสายตาของพนักงานสาวในชุดกี่เพ้าสีแดงที่กำลังจ้องมองมาที่ตน จึงชักสีหน้าด้วยความไม่พอใจจนอี้เฟิงสังเกตเห็น“มีอะไรหรือเปล่าครับคุณหนูจาง” อี้เฟิงรีบถามอย่างเอาใจ“พนักงานของคุณจ้องมองฉันอยู่ ไม่สุภาพเอาเสียเลย” เธอพูดด้วยน้ำเสียงที่เย่อหยิ่ง และเอาแต่ใจเขาหันไปมองตามสายตาของหญิงสาว พบว่าเป็นเยี่ยฟางที่กำลังจ้องมองมา“คุณมานี่” เขาเรียกให้เธอเดินเข้ามาหาเยี่ยฟางมองแขนที่เธอวางคล้องแขนของอี้เฟิงแล้วก็รู้สึกไม่พอใจลึกๆ เรียวขางามก้าวเดินเข้าไปพร้อมกับก้มศีรษะเล็กน้อย เพื่อให้ความเคารพจางเสิ่นแหละจางเฟยหรงตามมารยาทของผู้ที่ต้องต้อนรับแขก“เธอคือเยี่ยฟาง เป็นคู่หมั้นของผม” อี้เฟิงแนะนำด้วยน้ำเสียงที่ไร้ซึ่งความรู้สึกในตอนนั้นเยี่ยฟางรู้สึกเจ็บแปลบเล็กน้อย แม้รู้ว่าเป็นการเล่นละครของเขา แต่มันต้องทำถึงขนาดนี้เลยหรือ‘คอยดูเถอะอี้เฟิง จบงานนี้เมื่อไหร่ฉันจะหยิกคุณให้หลังเขียวเลยเชียว’ หญิงสาวคิดในใจ“นี่คือประธานจางและคุณหนู
งานประมูลของบริษัทหลี่โถวได้ถูกจัดขึ้นในวันเสาร์ ทุกอย่างเป็นไปอย่างราบรื่นตามที่ได้วางแผนเอาไว้วัตถุโบราณถูกนำออกมาประมูลขายทีละชิ้น เริ่มจากชิ้นที่ราคาถูกที่สุดไล่ไปจนถึงชิ้นสุดท้ายที่เป็นดาวเด่นของงาน นั่นก็คือคทามังกรซึ่งมีราคาประมูลขั้นต่ำที่ตั้งเอาไว้ที่สองล้านหยวนเป็นราคาที่สูงพอสมควรแต่กลับเป็นที่ต้องการของระดับมหาเศรษฐีนักธุรกิจ เพราะเชื่อว่าเป็นสิ่งนำโชคที่จะทำให้ธุรกิจเจริญรุ่งเรือง ซึ่งตอนนี้ยังไม่ได้ถึงเวลานำออกมาประมูลจางเสิ่นและลูกสาววัยยี่สิบสามปีของตน จางเฟยหรง ทั้งคู่มาร่วมงานนี้เพราะได้รับการ์ดเชิญจากบริษัทหลี่โถว และจางเฟยหรงก็อยากเข้าสังคมที่มีแต่เศรษฐีจึงรบเร้าบิดาให้พามาอี้เฟิงต้อนรับสองพ่อลูกด้วยตนเอง พาเดินชมวัตถุโบราณที่เป็นรูปถ่ายติดเอาไว้แทนของจริงที่รอการประมูลอยู่แววตาของเขามองจางเฟยหรงอย่างชื่นชม พร้อมทั้งชวนพูดคุยจนหญิงสาวนั้นรู้สึกว่าอีกฝ่ายมีใจให้แก่ตนแขกที่มาร่วมงานเป็นระดับมหาเศรษฐีที่ร่ำรวยทั้งนั้น แต่เขากลับเลือกที่จะมาต้อนรับแต่เธอกับบิดาเป็นการส่วนตัวหากจะบอกว่าคิดเข้าข้างตัวเองก็คงไม่ใช่“ประธานอี้ คุณฟู่อยากจะคุยกับคุณเป็นการส่วนตัว” เล
นานเท่าไรแล้วไม่รู้ที่เขานอนหลับไป พอตื่นขึ้นมาอีกครั้งก็ไม่เห็นคนที่บอกว่าจะเฝ้าไข้“อาฟาง ผมหิวน้ำ...อาฟาง” เขาเรียกหาเธอเสียงแหบ แต่ก็ไม่มีวี่แววของอีกฝ่ายอี้เฟิงลุกจากเตียงแล้วเดินออกไปนอกห้องนอน เห็นว่าเยี่ยฟางฟุบหลับอยู่ที่โต๊ะอาหารด้านนอก เขายืนมองเธอด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความรักใคร่ตั้งแต่จูบครั้งนั้นมาจนถึงความสัมพันธ์ที่แนบแน่นแนบ ยิ่งนานวันเขาก็ยิ่งหลงรักเธอมากขึ้นเรื่อยๆเขาเดินเข้าไปหาเธอแล้วโน้มใบหน้าลงไปข้างใบหู แล้วกระซิบเสียงพร่า “อาฟาง ตื่นได้แล้ว”หญิงสาวรู้สึกขนลุกเกรียวไปทั่วแผ่นหลัง จากนั้นก็ลืมตาตื่นลุกขึ้น ยืนมองอี้เฟิงที่เปลือยท่อนบนด้วยแววตาที่ขัดเขินเล็กน้อย“มาเฝ้าไข้ผม หรือว่าให้ผมมาเฝ้าคุณนอนหลับกันแน่”“ฉันเผลอหลับไปนานมากเลยเหรอคะ” เธอเอามือแตะริมฝีปาก สำรวจดูว่าตัวเองนอนน้ำลายไหลให้ตัวเองขายหน้าหรือไม่ เมื่อพบว่าปกติดีก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก“ผมอยากดื่มน้ำ เรียกหาสองรอบแล้วคุณไม่ตื่น ก็เลยลุกเดินมาดู”“เดี๋ยวฉันหาน้ำให้นะคะ” หญิงสาวบอกอย่างเอาใจ แล้วเดินไปหยิบน้ำมาให้เขา จากนั้นก็ยื่นแก้วน้ำให้พร้อมกับรอยยิ้มที่สดใสอี้เฟิงรับไปดื่ม พร้อมทั้งอมยิ้มอย่า
ในตอนเช้าวันอาทิตย์ จางซีเหอมีอาการไข้อ่อนๆ จากพิษบาดแผล เขาตัดสินใจที่จะแต่งตัวไปทำงานและทำตัวให้เป็นปกติที่สุด เพราะหากอยู่ที่บ้านอย่างไรมารดาก็ต้องรู้แน่เมื่อคืนนี้เขากลับมาถึงบ้านในยามดึก เพราะไม่อยากให้มารดาสงสัยเพราะไม่ได้แจ้งเอาไว้ล่วงหน้าว่าจะไม่กลับเขาหยุดยืนแล้วเงยหน้ามองขึ้นไปยังหน้าต่างห้องของเยี่ยฟาง แต่ก็ไม่พบแม้แต่เงา เธอคงจะนอนหลับไปแล้ว เนื่องจากตอนนั้นก็เป็นเวลาค่อนข้างดึก แต่ก็ดีแล้วที่เธอไม่เห็น เพราะใบหน้าเขาเมื่อคืนนี้ซีดไร้สีเลือดและดูอิดโรยมากเขามองดูเสื้อผ้าของเมื่อคืนนี้ที่เปลี่ยนชุดกลับมาที่บ้าน โชคดีที่เลือดไม่ซึมออกมาด้านนอกไม่อย่างนั้นตอนซักผ้ามารดาคงได้ตกใจอย่างแน่นอน“วันอาทิตย์นี้ก็ยังทำงานอีกเหรอลูก”“ครับแม่”“ไม่กินข้าวเช้าก่อนเหรอ” ลู่จินหรงเรียกลูกชายที่ถือกระเป๋าเดินผ่านไป ไม่มานั่งที่โต๊ะอาหารอย่างเช่นทุกครั้ง“ไม่หรอกครับแม่ วันนี้ผมมีงานด่วน” พูดจบเขาก็รีบเดินออกจากประตูบ้านรถของบริษัทยังไม่มาจอดรับเยี่ยฟาง เธอคงกำลังรับประทานอาหารเช้าอยู่ ดังนั้นเขาจึงฝืนขับรถออกไปได้สักพัก ก็จอดเรียกคนของตนที่ซุ่มดูอยู่บริเวณบ้านเพื่อปกป้องดูแลมารดาและคร
คทามังกร วัตถุโบราณชิ้นสำคัญที่อี้เฟิงได้มาจากต่างประเทศ เป็นวัตถุโบราณที่หายากของจีนที่มหาเศรษฐีของฝั่งยุโรปได้ซื้อไปสะสมไว้เขาสามารถติดต่อและนำกลับมาได้โดยการช่วยเหลือของตระกูลใหญ่ที่ไม่ได้เปิดเผยสิ่งนี้ทำให้เหล่าจิ้ง ศัตรูสำคัญทางธุรกิจรู้สึกไม่พอใจเป็นอย่างมาก พวกเขาก็ต้องการวัตถุโบราณชิ้นนี้ มาขายให้แก่ลูกค้าที่จะจัดประมูลชนกันในสัปดาห์หน้าหากมีคนรู้ว่าอีกฝ่ายมีวัตถุโบราณชิ้นนั้นแล้ว เหล่าเศรษฐีก็จะแห่ไปลงทะเบียนร่วมประมูลงานของบริษัทหลี่โถวมากกว่าแน่นอน“ตั้งแต่เด็กนั่นก้าวขึ้นมาในวงการค้าขายวัตถุโบราณ ฉันก็สูญเสียลูกค้าไปมากมาย จนตอนนี้บริษัทของมันใหญ่โตแทบจะแซงบริษัทของเราไปแล้ว แต่ก็ยังไม่สามารถทำอะไรมันได้” น้ำเสียงนั้นแสดงความเกรี้ยวกราดออกมาที่ปรึกษาวัยสามสิบสองยืนนิ่ง แล้วเสนอวิธีที่จะจัดการกับอี้เฟิง“ถ้าอย่างนั้นเราก็เล่นงานประธานอี้โดยตรง โดยใช้วิธีที่ต่างออกไป ศัตรูของเขาไม่ได้มีแค่เราอยู่กลุ่มเดียว อีกอย่างอีกฝ่ายคงไม่คิดว่าเราจะทำซึ่งหน้า คงไม่ได้เตรียมตัวเอาไว้ และคงคิดไม่ถึงว่าจะเป็นฝีมือของเราแน่”“ว่ามาสิ” เหล่าจิ้งเริ่มใจเย็นลง แล้วรับฟังวิธีการของที่ปรึกษา
Comments