“ข้าไปชายแดนตะวันออกครานี้ เลยคิดจะหาโอกาสพบกับเขา โชคดีที่เว่ยอ๋องออกหน้าพูดให้ จึงได้ปิ่นหยกของท่านอาจารย์มาชุดหนึ่ง” เย่เทียนหลางหยิบกล่องใส่ปิ่นออกมาจากแขนเสื้อ แล้วยื่นให้ภรรยาของสหาย โดยไม่สนมู่หรงอี้หวายที่ยืนหน้าทะมึนอยู่เสี่ยวจูกับเหม่ยเหมยต่างมองหน้ากันไปมา พวกนางไม่แน่ใจว่าเย่เทียนหลางจงใจยั่วโทสะนายหนุ่มหรือไม่ ถึงได้พูดเรื่องปิ่นขึ้นมาในเวลานี้ หากฮูหยินน้อยรับเอาไว้ มีหวังนายน้อยได้อาละวาดจนเรือนถล่มเป็นแน่“จื่อเหยาขอบคุณพี่ชายยิ่งนัก แต่ของล้ำค่าหายากเช่นนี้ น้องสาวคงรับไว้ ไม่ได้”“มิได้ เจ้าห้ามปฏิเสธ”“...” หลี่จื่อเหยาเพียงอมยิ้ม โดยไม่มีท่าทีจะยื่นมือออกไปรับของขวัญ“เพื่อความสบายใจ ให้ถือเสียว่าปิ่นหยกชิ้นนี้เป็นของขวัญแต่งงานย้อนหลังก็แล้วกัน” เย่เทียนหลางพยายามหาเหตุผลที่ฟังขึ้น อย่างไรวันนี้เขาต้องส่งมอบปิ่นนี้ให้จงได้“น้องสาวตรวจรายการของขวัญ พบว่าท่านให้มาแล้ว เช่นนั้นคงมิกล้ารับเพิ่มเติมอีก” หลี่จื่อเหยาให้เหตุผลด้วยใบหน้ายิ้มแย้มเย่เทียนหลางขมวดคิ้ว ทำเสียงเข้มไม่พอใจ “นั่นมันของพ่อข้า ไม่ใช่ของข้าเสียหน่อย”“น้องสาวไม่อาจรับไว้จริงๆ เจ้าค่ะ” หลี่จื่อเ
ทางด้านศาลาริมสระบัว เหม่ยเหมยแจ้งเย่เทียนหลางว่า นายของตนให้เขาไปรอที่ห้องรับรอง แต่ไม่รู้เพราะเหตุใด วันนี้คุณชายสกุลเย่ถึงได้ดื้อดึงนัก เขายังคงนั่งคุยกับหลี่จื่อเหยาต่อเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แม้นางจะให้เหตุผลกับเขาว่าหากมู่หรงอี้หวายไปที่ห้องรับรองแล้วไม่พบแขก เกรงว่านางจะถูกตำหนิเอาได้ แต่สหายของเจ้านายก็มิได้นำพาร่างสูงในอาภรณ์สีขาวขลิบฟ้าปักลายเมฆา เดินเข้ามาในศาลาริมสระบัวด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม มู่หรงอี้หวายส่งสายตารักใคร่ให้ภรรยาพร้อมเดินไปยืนอยู่ด้านหลังของนาง พลันแตะฝ่ามือลงบนไหล่บอบบางอย่างแผ่วเบา อากัปกิริยาแสดงออกถึงความสนิทสนมและเป็นเจ้าข้าวเจ้าของอยู่ในทีชายหนุ่มละสายตาจากภรรยา แล้วมองตรงไปยังเย่เทียนหลางที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม ริมฝีปากบางเอื้อนเอ่ยต้อนรับสหายด้วยน้ำเสียงทุ้มนุ่มเป็นกันเอง จากนั้นจึงค่อยหย่อนกายลงบนเก้าอี้เคียงข้างสตรีของตนมู่หรงอี้หวายรับน้ำชาจากเสี่ยวจูมาจิบ ก่อนจะเริ่มถามไถ่สารทุกข์สุกดิบของสหายราวกับห่วงใย เย่เทียนหลางเอ่ยขอบคุณแล้วเริ่มเล่าเรื่องการเดินทางครั้งล่าสุดให้สองสามีภรรยาฟังอย่างออกรสในจังหวะที่เขาเล่าถึงเรื่องน่าตื่นเต้นอย่างเช่น การ
“หากไม่มีอะไรจะพูดก็ออกไป ข้ามีงานต้องทำ” เขาว่าแล้วโบกมือไล่ทันที“มี...มีเจ้าค่ะ บ่าวบังเอิญผ่านไปพอดี ก็เห็น... เห็น...” นางทำหน้าเหมือนกลืนยาขม “บ่าวเห็นคุณชายเย่กอดจูบกับฮูหยินน้อยอยู่ในศาลาริมสระบัวเจ้าค่ะ” หลินหลินเอ่ยเสียงเบา ทำราวกับว่าไม่ต้องการให้ผู้ใดได้ยินทว่าความจริงนางอยากกู่ร้องให้ก้องคฤหาสน์ ป่าวประกาศให้ทุกคนได้รู้ถึงพฤติกรรมน่าอายของหลี่จื่อเหยายามนี้มู่หรงอี้หวายรู้สึกเหมือนถูกหลินหลินเอาค้อนฟาดศีรษะ ทั้งมึนงง และเจ็บปวดยิ่งครั้นเห็นนายหนุ่มนั่งนิ่ง ไม่มีท่าทีเดือดดาลอย่างที่คิด หลินหลินก็ยิ่งร้อนใจ “บ่าวเคยได้ยินคนพูดกันว่า ฮูหยินน้อยเคยผิดสัญญาแต่งงานกับนายน้อย แล้วไปหมั้นหมายกับคุณชายเย่ จนเป็นเหตุให้ท่านได้รับบาดเจ็บ เดือดร้อนถึงนายท่านใหญ่ที่ต้องออกปากไกล่เกลี่ย ตระกูลหลี่จึงยอมรักษาสัญญากับตระกูลมู่หรง แต่พอนายน้อยป่วย จำอะไรไม่ค่อยได้ ทุกคนก็พากันปกปิดเรื่องนี้จากท่าน บ่าวคิดไม่ถึงจริงๆ ว่าชายหญิงคู่นี้จะยังเหลือเยื่อใยกันอยู่ ถึงได้กระทำเรื่องงามหน้ากลางวันแสกๆ กลางสวนไม่อายฟ้าดิน...”ความอดทนพังทลาย มู่หรงอี้หวายควันออกหู เขาตวาดออกไป ด้วยน้ำเสียงอันดุด
“ก็ได้ ข้ารับปากท่าน แต่ต้องไม่มีผู้ใดล่วงรู้ว่าถุงหอมนี้ข้าเป็นผู้ทำขึ้น”“ไม่ต้องห่วง ความจริงแล้วพี่ชายเนื้อหอมมาก ใช่ว่าจะไม่เคยมีผู้ใดมอบถุงหอมหรือผ้าเช็ดหน้าให้ อี้หวายเองก็ไม่เคยละลาบละล้วงถามว่าเป็นของคุณหนูบ้านใดสักครั้ง” เขารู้ว่านางกังวลเรื่องใดจึงเสริมความมั่นใจได้ตรงจุด “แล้วข้าจะบอกให้อีกอย่างหนึ่ง อี้หวายไม่ชอบกลิ่นหวานเอียนเช่นนี้หรอก เจ้าเปลี่ยนเป็นพวกกลิ่นอ่อนๆ หรือ พวกกลิ่นไม้หอมราคาแพงคงถูกใจเขามากกว่า”หลี่จื่อเหยาคร้านจะทวงชายหนุ่มอีกต่อไป นางตั้งใจว่าจะปักถุงหอมอันใหม่ที่ประณีตกว่าเดิม และคงต้องเปลี่ยนเป็นกลิ่นอื่นตามคำแนะนำของเย่เทียนหลาง นางจึงล้มเลิกความตั้งใจ แล้วกลับไปนั่งจิบชาตามเดิมครั้นเห็นนายหญิงกับแขกต่างกลับไปนั่งประจำที่แล้ว เสี่ยวจูก็ถอนหายใจโล่งอก แต่ก็อดตำหนิเย่เทียนหลางมิได้ ชายผู้นี้มีใจให้นายหญิงจริง แต่ทั้งสองก็นับว่าไร้ซึ่งวาสนาไปแล้ว ไม่ใช่ว่าควรจะรักษาระยะห่างกันหรอกหรือเนื่องจากเสี่ยวจูอยู่ที่นี่มาเป็นแรมเดือน นางไม่ได้หูหนวกตาบอด ไยจะไม่รู้ว่ามู่หรงอี้หวายไม่ใช่คนใจเย็น แม้หน้าตาหล่อเหลาดูสุขุมลุ่มลึก ใบหน้าประดับด้วยรอยยิ้มที่น่าลุ่มหล
หลี่จื่อเหยาได้ฟังก็ยิ้มขื่น นางพลันนึกถึงคำตำหนิ ของมู่หรงอี้หวายขึ้นมา จึงรู้สึกได้ว่าตนอาจจะเป็นสตรีที่ไม่รู้จัก ‘สำรวม’ จริงๆ ก็ได้“เห็นพี่ชายเป็นเช่นนี้ ให้ยิ่งรู้สึกผิดนัก น้องสาวไม่ควรให้ความสนิทสนมกับท่านตั้งแต่แรก”“หากจะมีผู้ใดผิด ก็คือข้า เรื่องครานั้นเป็นเพราะข้าไม่อาจจะระงับความต้องการของตัวเองได้” เขายื่นมือออกไปหมายจะจับมือของนางมากอบกุม แต่ก็มีอันต้องชะงักเมื่อหญิงสาวชักมือหลบเลี่ยง “เหยาเอ๋อร์...”“เพราะน้องสาวรู้ถึงความจริงใจของท่าน จึงมิได้ติดใจโกรธเคือง แต่เรื่องก็ผ่านไปแล้ว เราไม่ควรนำมาใส่ใจอีก” นางหลุบสายตาลง พยายามลบเลี่ยงแววเว้าวอนในดวงตาคู่นั้นอย่างเต็มกำลัง นางไม่ต้องการให้เขาคาดหวังสิ่งใดอีก หากที่ผ่านมาเป็นตนวางตัวไม่ดี จนทำให้เขาไม่ยอมตัดใจ ยามนี้ก็ยิ่งไม่ควรอย่างยิ่งที่จะแสดงความเมตตา สงสาร หรือเห็นอกเห็นใจอีกฝ่ายจนทุกอย่างเลยเถิดมากไปกว่านี้ “พี่ชายก็ทราบดีว่าน้องสาวตัดสินใจอย่างไร”“ข้ารู้...เจ้าเลือกเขา” น้ำเสียงขาดห้วงราวกับจะขาดใจ“พี่ชายเป็นคนดี น้องสาวเชื่อว่าวันหนึ่งท่านต้องพบสตรีที่รักท่านอย่างจริงใจแน่”“หลี่จื่อเหยา เจ้าช่างใจร้ายนัก”“หากพี่
“ฮูหยินน้อย...” น้ำเสียงนางสั่นเครือ ดวงตาเอ่อคลอ สงสารนายหญิงของตัวเองจับใจ“เจ้าอย่าทำเหมือนข้าน่าสงสารได้หรือไม่” หลี่จื่อเหยาหันกลับมามองหน้าคนสนิท “ท่านพี่ยังไม่ได้ทำอะไรที่ผิดต่อข้า เจ้าจะให้ข้าร้องไห้โวยวายหรือ”“บ่าวขออภัยเจ้าค่ะ” เสี่ยวจูก้มหน้า ย่อกายสำนึกผิด ดูแล้วก็ให้นึกสงสารหลี่จื่อเหยามองเสี่ยวจูที่ยังก้มหน้านิ่ง พลางถอนหายใจ“เอาเถิดๆ ข้าไม่โกรธเจ้าหรอก แต่วันนี้ข้าคงทำงานไม่ไหวแล้ว แต่หากได้ไปนั่งเล่นที่ศาลาในสวน คงรู้สึกผ่อนคลายได้บ้าง เจ้าให้คนไปเตรียมของว่างให้ข้าดีกว่า อ่อ...แล้วอย่าลืมให้เหม่ยเหมยหยิบงานปักที่ข้าทำค้างไว้มาด้วยเล่า”พูดจบนางสาวเท้าออกไปจากห้องหนังสือทันที ร่างอรชรมุ่งหน้าไปยังศาลาริมสระบัวในสวนของเรือนลู่หลิน ในใจบังเกิดความรู้สึกอันยากจะอธิบายจะว่าหวาดหวั่นก็ไม่ใช่ จะว่าทุกข์ก็ไม่เชิงไม่ใช่ไม่เคยคิดว่า หากสามีต้องการรับอนุจะทำเช่นไร แต่ตามธรรมเนียม หลังแต่งงานต้องรอหนึ่งปีบุรุษจึงจะสามารถรับอนุได้ แต่นี่เพิ่งเดือนเศษเท่านั้น มู่หรงอี้หวายจะหักหน้าและทำร้ายจิตใจนางได้ลงคอหรือแต่ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม พ่อสามีย่อมไม่สนับสนุนให้บุตรชายทำเรื่องเสื่
หลี่จื่อเหยากวาดสายตาจนพบเป้าหมาย นัยน์ตาหงส์งดงามหรี่ลงอย่างมาดหมาย นางยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม จดจ้องใบหน้าของหมิงจูนิ่งถึงแม้จะยังไม่ได้กล่าวอันใดสักคำ ผู้ถูกจ้องกลับรู้สึกอึดอัดจนยากจะทานทน แรงกดดันทำให้เหงื่อบนหน้าผากเริ่มผุดพรายเมื่อทำให้อีกฝ่ายรู้สึก ‘ร้อนตัว’ ได้สำเร็จ หลี่จื่อเหยาจึงเก็บสายตากลับมา แล้วยิ้มกว้างอย่างเป็นกันเองให้ทุกคน“ข้าเพิ่งได้รับมอบหมายให้ดูแลเรือนหลังทั้งหมด จึงเพิ่งมีโอกาสได้พบทุกคนพร้อมหน้าพร้อมตาในวันนี้เนื่องจากหัวหน้างานในส่วนต่างๆ เป็นผู้ที่ท่านพ่อกับท่านพี่ไว้ใจแต่งตั้ง ข้าจึงยังไม่คิดเปลี่ยนแปลงในตอนนี้ ดังนั้น หัวหน้างานทั้งหลายจงหมั่นควบคุมตักเตือนผู้ที่ตนดูแลให้อยู่ในระเบียบ สิ่งใดควรทำ ไม่ควรทำ คิดว่าทุกคนคงทราบกันดีอยู่แล้ว ข้าหวังว่า ต่อแต่นี้ไปทุกคนจะมุ่งมั่นตั้งใจทำงานในหน้าที่ของตนให้ดี”“บ่าวทราบแล้วเจ้าค่ะ/ขอรับ” เหล่าหัวหน้างานต่างรับคำสั่งโดยพร้อมเพรียง“หากทุกคนตั้งใจทำงาน ข้าจะมีรางวัลให้อย่างแน่นอน ส่วนผู้ใดที่ไม่ตั้งใจทำงาน ละเลยกฎบ้าน ย่อมได้รับโทษ”“บ่าวทราบแล้วเจ้าค่ะ/ขอรับ”“ยังมีสิ่งที่สำคัญที่สุด พวกจงฟังเอาไว้ให้ดี สิ่งที่ข้าเก
ทั้งที่สิ่งเหล่านี้เหม่ยเหมยก็เคยทำให้มู่หรงอี้หวาย แต่ไม่รู้ว่าทำไมพอเปลี่ยนเป็นสาวใช้ผู้นี้นางกลับรู้สึกไม่สบายใจขึ้นมาพลันหัวใจหลี่จื่อเหยาหล่นวูบ เมื่อสามียื่นมือไปลูบใบหน้าเกลี้ยงเกลาของหลินหลิน หนำซ้ำยังเกลี่ยปลายนิ้วเวียนวนอยู่บนริมฝีปากสีชมพูจนสาวใช้วัยกำดัดยืนตัวสั่นเคลิบเคลิ้มความขมฟาดเกิดขึ้นในลำคอ หลี่จื่อเหยากำหมัดแน่น ก่อนจะสะบัดหน้าเดินออกมาอย่างเงียบเชียบ นางรับรู้ถึงกระแสน้ำอุ่นๆ ที่หางตาตนเอง แต่ก็ทนกล้ำกลืนฝืนสะอื้นไว้ พลางปลอบใจตนเองว่า สามีก็แค่หยอกเอินสาวใช้เล่นเท่านั้น หากเห็นแค่นี้แล้วโวยวาย ก็จะทำให้ตนเองอับอายเสียเปล่าๆ เท่านั้นหลี่จื่อเหยาคิดได้ดังนั้น ก็ใช้ผ้าเช็ดหน้าซับน้ำตาออกไปจนสิ้นด้วยไม่ต้องการร้องไห้ให้ผู้ใดเห็นอีกแล้วน้ำตาไม่ช่วยอะไร ยิ่งทำให้ตนเองดูน่าสมเพช และไร้ราคา ครานี้ไม่ว่าจะมีสิ่งใดเกิดขึ้น นางจะต้องเข้มแข็งเอาไว้ บรรยากาศภายในเรือนลู่หลินในระยะนี้เต็มไปด้วยความชื่นมื่นอย่างยิ่ง ทว่าทั้งที่นายน้อยพยายามเอาอกเอาใจภรรยาสารพัดจนดู ‘ผิดปกติ’ แต่เสียงซุบซิบเริ่มเกิดขึ้นอีกครั้ง หลังจากหลินหลินได้เลื่อนชั้นเป็นสาวใช้ขั้นหนึ่งอย่างรวดเร็ว หนำ
มู่หรงอี้หวายในชุดฝึกยุทธ์สีคราม สวมปลอกแขนหนังทั้งสองข้าง รวบผมขึ้นทั้งหมดมัดไว้ด้วยแถบรัดผมหนังเส้นหนึ่ง เผยใบหน้าราวหยกสลักที่ยามนี้เคร่งขรึมจริงจังเขารวบรวมลมปราณ พร้อมออกหมัดทรงพลังไปทำลายหุ่นไม้ ตัวที่สอง และสามท่วงท่าสง่างาม ทว่าดุดันแข็งแกร่ง ช่างดูทะมัดทะแมง และองอาจยิ่งนักใครจะรู้บ้างว่า นอกจากเชี่ยวชาญเรื่องการค้าแล้ว คุณชายใหญ่ตระกูลมู่หรงนับว่าเป็นผู้มีฝีมือในเชิงยุทธ์ผู้หนึ่ง ทั้งที่ปกติชายหนุ่มจะดูเหมือนหนุ่มผิวขาวเจ้าสำราญ ท่าทางสุภาพทำให้บางครั้งพวกอันธพาลชะตาขาดเข้ามาหาเรื่องรีดไถเขา เวลานั้นเอง คุณชายผู้สงบเสงี่ยมราวบัณฑิต ก็จะกลายร่างเป็นจอมยุทธ์์หน้าหยก สั่งสอนเสียจนคนพาล เหล่านั้นแตกกระเจิงด้วยความสามารถรอบด้านเหล่านี้ ทำให้คหบดีมู่หรงเหอผู้พ่อเบาใจยิ่ง เขาค่อยๆ ถ่ายทอด และมอบหมายงานให้บุตรชายดูแล เพื่อที่ตนจะได้ปลีกตัวไปท่องเที่ยวทั่วแคว้น มู่หรงอี้หวายจึงทำงานหัวไม่วางหางไม่เว้น เพราะกิจการของตระกูลนั้นมากมายก่ายกอง ทำให้แทบไม่มีเวลาส่วนตัว มารู้ตัวอีกทีเขาก็อายุยี่สิบสามปีเข้าไปแล้ว แต่ยังไม่พบคนที่ถูกใจ จนในที่สุดก็ได้พบรักกับคุณหนูตระกูลหลี่ สร้างตำนานรั