“เรื่องนี้ข้าขอไม่ตอบ เพราะมันไม่ได้เกี่ยวข้องกับเจ้าแม้แต่น้อย” หมอหลวงเลี่ยงที่จะตอบ คิดว่าคงต้องระวังสตรีผู้นี้เอาไว้ให้มากขึ้น
“เกี่ยวสิ ในเมื่อคนที่เจ้าไปพบคือคู่หมั้นคู่หมายของข้า”
“เอาไว้แม่นางเถียนเถียนได้รับการแต่งตั้งให้เป็นพระคู่หมั้นแล้วข้าจะตอบคำถามของเจ้าทุกคำถาม แต่ตอนนี้ข้าขอยืนยันคำเดิม ข้าต้องไปทำงานแล้ว” หมอหลวงหญิงโค้งศีรษะให้สตรีตรงหน้าเล็กน้อยก่อนเดินจาก
“เจ้าก็เป็นได้แค่หมอหญิงเท่านั้นแหละ ตำแหน่งอื่นที่สูงกว่านั้นอย่าได้หวังว่าจะข้ามหัวข้าไปได้”
จิงเจ๋อร์หยุดเดินแล้วหันไปมองหญิงสาวทางด้านหลัง โค้งศีรษะลงเล็กน้อยโดยไม่พูดอะไรแม้จะถูกเข้าใจผิด อยากจะบอกกับนางเหมือนกันว่าตำแหน่งนั้นไม่เคยคิดอาจเอื้อม และมั่นใจว่านางก็ไม่มีสิทธิ์ได้แตะเช่นกัน แต่จะพูดไปทำไมให้เปลืองน้ำลาย สู้เก็บเอาไว้หัวเราะทีหลังสะใจกว่า
ร้านอาหารไหมทอง
“อาจาง” เสี่ยวหมานเดินไปนั่งร่วมโต๊ะกับเพื่อนร่วมงานที่กำลังกินข้าวกลางวันอยู่กับภรรยา
“มีอะไรเหรอเสี่ยวหมาน”<
ห้องทำงานต้าเสินมองคนรักที่ยกถาดอาหารเข้ามากลางดึกด้วยสายตามึนตึง“เพิ่งกลับมาถึงไม่ทันไรก็รีบวิ่งเข้าครัวแล้ว เจ้านี่รักอาหารมากกว่าข้าอีกนะซูวี่”คนถูกต่อว่ายิ้มกว้าง วางถาดอาหารลงบนโต๊ะแล้วเดินไปหาคนรักที่นั่งเขียนอะไรอยู่ กอดคอและหอมแก้มเขาหนึ่งทีอย่างเอาใจ“ข้ารักท่านมากกว่าอาหารนะเจ้าคะ ถึงได้รีบเข้าครัวไปเตรียมอาหารรอบดึกให้ท่านด้วยตัวเอง เพราะหลายวันมานี้ข้าเห็นท่านกินได้น้อย ร่างกายก็ดูซูบลง” เห็นเขาอมยิ้มก็รีบหยอดคำอ้อนอ่อนหวานรอยยิ้มบางเบาค่อย ๆ คลี่กว้างขึ้นจนสุดฝีปาก ดึงร่างระหงที่สวมกอดอยู่ด้านหลังให้มานั่งบนตัก หอมแก้มหลายทีด้วยกัน“เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าข้าซูบเพราะกินได้น้อย”“ก็ข้าเห็น”“ข้าก็กินได้เป็นปกติของข้านั่นแหละ อยู่กับเจ้านี่แหละที่ข้ากินมากเกินไป”“แต่ท่านผอมลงจริง ๆ นะ ข้า..ข้ากอดอยู่ทุกคืนข้ารู้สึกได้” เธอตอบอย่างขัดเขินแต่ก็กล้าสู้สายตาด้วย“หึ..” ต้าเสินส่งสายตาหยอกเย้า “ที่ข้าผอมเพราะข้ากินเจ้
“หรือเจ้าจะให้ข้ากลับไปกับจี้เฟิงก่อนล่ะ แล้วเจ้าค่อยตามกลับไปพร้อมกับซูวี่ทีหลัง”เจอคำถามนี้เข้าไปอวี่กงถึงกับพูดไม่ออก นึกโมโหใส่คนตัวใหญ่ที่ยืนนิ่งเหมือนกลายเป็นรูปปั้นหินไปแล้ว ถ้าไม่ใช่เพราะเขา มันก็คงไม่อึดอัดแบบนี้ตู้จี้เฟิงสบตาสู้กับสายตาเอาเรื่องที่เจตนามองมาที่ตนเป็นครั้งแรกตั้งแต่เกิดเรื่องในคืนนั้น คิ้วเข้มข้างขวาค่อย ๆ เลิกสูงขึ้น“ถ้าเจ้าไม่อยากไป ข้าไปคนเดียวก็ได้”“พูดแบบนี้อยากจะเอาหน้าคนเดียวเหรอ!”“ก็เจ้าไม่อยากไปเอง”“ไม่ต้องมาพูดให้ดูดีเลยนะ!”“อวี่กง”“พ่ะย่ะ..ขอรับท่านชาย”“จี้เฟิงเขาทำอะไรให้เจ้าไม่พอใจหรือเปล่า” เขาสังหรณ์ใจว่าระหว่างสองคนนี้ต้องมีปัญหาอะไรกันแน่ ๆ แม้ปกติจะเป็นไม้เบื่อไม้เมากันตลอด แต่เขาก็ไม่เคยมีอาการแบบนี้ให้เห็น“ปะ ๆ เปล่านี่ท่านชาย ทำ ๆ ไมถึงถามอย่างนั้นล่ะขอรับ” บุรุษร่างเล็กกว่าใครเพื่อนไม่กล้าสู้สายตาหลักแหลมของผู้เป็นนาย“ถ้าจี้เฟิงแกล้งเจ้า
“หวังว่าข้าจะไม่ได้ยินคำพูดแบบนี้จากปากของท่านอีก.. ส่วนเจ้า” ฮองเฮาหันไปทางหลานสาว มองนางด้วยสายตาจริงจัง “ข้าก็จะบอกเจ้าด้วยความหวังดีเป็นครั้งสุดท้ายเหมือนกัน เจ้าคิดว่าฝ่าบาทปล่อยให้องค์รัชทายาทไปอยู่นอกวังนานหลายเดือน จะไม่ส่งคนไปสืบดูเลยอย่างนั้นเหรอ”“ฝ่าบาททรงทราบเหรอเพคะ”“ใช่ ฝ่าบาททรงรู้เรื่องนี้ดี แต่พระองค์ก็ไม่ว่าอะไร ขอแค่นางเป็นคนที่องค์รัชทายาทรัก พระองค์ก็จะยอมรับอย่างไม่มีเงื่อนไข ด้วยเหตุนี้ข้าจึงบอกให้เจ้าออกมาจากตำหนักนั้นซะ เพราะฝ่าบาทมีคำสั่งให้องค์รัชทายาทกลับมาพร้อมกับคนรักของพระองค์แล้ว เข้าใจที่ข้าพูดไหม”“เพคะฮองเฮา” เถียนเถียนยอมรับด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ ไม่ได้เสียใจ แต่อับอายจนไม่รู้จะทำหน้าอย่างไร นางพยายามดิ้นรนหาทางที่จะได้เป็นองค์หญิงรัชทายาท แต่ทุกคนกลับไม่ช่วยเพราะรู้เรื่องของสตรีต่างแคว้นผู้นั้นดี แบบนี้นางก็คงไม่ต่างกับตัวตลกในคณะละครเร่คฤหาสน์ชิวเทียน“อวี่กง”เสียงเรียกคุ้นหูทำให้คนที่ถูกเรียกไม่ได้หันไปมอง แต่รีบสาว
“ออกมาจากที่นั่นเถอะเถียนเถียน คนอย่างองค์รัชทายาทไม่ใช่คนที่ข้าสามารถต่อกรได้ด้วยหรอกนะ เพราะแม้แต่ฝ่าบาทยังไม่กล้ายุ่งเรื่องส่วนตัวของพระองค์”“ถ้าเราเอาความมั่นคงของบัลลังก์มาอ้าง บางทีพระองค์”“อย่าพูดคำนั้นในตำหนักของข้านะใต้เท้ากวง” ฮองเฮารีบปรามก่อนที่อีกฝ่ายจะพูดจบ แม้นางจะเป็นพี่น้องกับเขา แต่ตอนนี้คนที่สำคัญกับนางที่สุดก็คือฮ่องเต้ และองค์รัชทายาทก็คือพระโอรสเพียงพระองค์เดียวของพระองค์ ไม่ว่าอย่างไรนางก็ต้องปกป้อง“พระองค์เปลี่ยนไปมากนะพ่ะย่ะค่ะ ถ้าท่านพ่อรู้”“เลิกเอาท่านพ่อมาอ้างสักทีเถอะใต้เท้า” พระนางขึ้นเสียงใส่พี่ชายที่เคยเดียดฉันท์นาง “ข้าจะบอกอะไรให้นะ เผื่อบางทีท่านอาจจะลืมไปแล้ว ไม่ว่าท่านพ่อจะมีอำนาจมากเพียงใด เราก็คานอำนาจของตระกูลหรงไม่ได้หรอก เห็นเขานิ่ง ๆ อย่าคิดว่าเขาหมดเขี้ยวเล็บ เขาก็แค่รักความสงบเท่านั้น แต่ถ้าเราไปสะกิดโดนแผลเขาเมื่อไหร่ คนที่เดือดร้อนไม่ใช่พวกเขาแน่ ดังนั้นอย่าทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่ รักษาชีวิตเอาไว้ดูหน้าหลานจะดีกว่า”&ldqu
ตู้จี้เฟิงฝากรอยรักไว้ตามเนื้อตัวนุ่มนิ่มหอมกรุ่นจนพอใจแล้วจึงผละออก มองหน้าแดงซ่านที่มีมือปิดปากเอาไว้.. วันนี้เขาจะทำแค่นี้ก่อน แต่ครั้งหน้าเขาไม่ยอมจบเพียงแค่นี้แน่“ใส่เสื้อผ้าซะ” เขาหันหลังให้เมื่อพูดจบ แต่เห็นอีกฝ่ายยังนอนนิ่งไม่ขยับจึงเหลียวไปมอง “อยากให้ข้าทำต่อใช่ไหม”“ไม่!” อวี่กงตวาดใส่ใบหน้าแดงก่ำ รีบลุกขึ้นหยิบเสื้อผ้ามาสวมมือไม้สั่น ใช่ว่าเขากับเพื่อนจะไม่เคยแก้ผ้าอาบน้ำด้วยกันมาก่อน แม้กับองค์รัชทายาทก็เคยแก้ผ้าเล่นน้ำด้วยกันมาแล้วแต่ทำไมความรู้สึกครั้งนี้มันถึงแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ทำไมเขาต้องอับอายจนใจสะท้าน ไม่กล้าแม้แต่จะด่าทอหรือทำตัวให้เป็นปกติ“ข้าจะไปเตรียมม้า แต่งตัวเสร็จแล้วรีบตามลงไปล่ะ”“ฟ้ายังไม่สางเลย ทำไมถึงรีบนัก” อวี่กงถามเมื่อหันไปมองที่หน้าต่าง“อีกครึ่งชั่วยามฟ้าก็แจ้งแล้ว นอนต่อก็คงไม่หลับ เดินทางเลยดีกว่า” จี้เฟิงตอบคำถามของเพื่อนแล้วเปิดประตูเดินออกไปขืนยังอยู่ในห้องต่อ เขาคงทนไม่ไหวแน่ตำหนักฮองเฮา
ตู้จี้เฟิงมองเพื่อนรักที่ทำหน้านิ่วคิ้วขมวด คีบอาหารใส่ปากอย่างต่อเนื่อง เหมือนกำลังเคี้ยวเสี่ยวเอ้อร์ตัวแสบอยู่ก็ไม่ปาน“หยุดนะ!”องครักษ์หนุ่มมองตามจอกเหล้าที่ถูกแย่งไปจากมือ แล้วค่อยมองหน้าตาบูดบึ้งของเพื่อน“หือ” เขาเลิกคิ้วถามหน้ามึน เพราะไม่รู้ว่าทำอะไรให้อีกฝ่ายไม่พอใจอีก“กินข้าวบ้างเถอะ”“ก็กินเหล้าแล้วไง”“เจ้าบ้า! ดีแต่สอนข้าแต่ไม่เคยสอนตัวเอง”“เจ้าโมโหเพราะข้าไม่ยอมกินข้าวเหรอ”“เปล่า ข้าโมโหเพราะเจ้าจะดื่มเหล้าจอกสุดท้ายของข้าต่างหาก” พูดจบเขาก็ดื่มเหล้าในจอกจนหมดตู้จี้เฟิงนิ่งอึ้งไร้คำพูดเพราะพูดไม่ทัน เหล้าที่เขาดื่มนั้นรสชาติแรงมาก เหมาะสำหรับชาวยุทธ์ที่ร่างกายแข็งแรงมากกว่า คนที่ไม่เคยฝึกยุทธ์ดื่มไปแค่ครึ่งจอกก็อาจจะเมาแล้วได้แต่มองหน้าคนที่ส่งยิ้มเหมือนเยาะมาให้...อวี่กงสะบัดศีรษะไปมาแรง ๆ เมื่อภาพใบหน้าของสหายรักร่างใหญ่เริ่มดูเบลอ เขาค่อย ๆ ยกมือที่หนักอึ้งไปหาใบหน้าคมคายคล้ำแดดองครักษ์หนุ่มคว