“สืบต่อไปว่าเหตุใดขุนนางหลินจึงถูกฆ่าล้างตระกูล แล้วฮ่องเต้ในปีนั้นไม่ส่งคนมาสืบสวนเรื่องนี้เพราะอะไร” ไป๋จิ่นหลินสั่งการอย่างรอบคอบ
“ทราบแล้วขอรับ นายท่านวางใจ พวกเราจะสืบเรื่องนี้ให้ละเอียดขอรับ”
“ขอบใจพวกเจ้ามาก ข้ากลับจวนก่อน หากติดขัดเรื่องใดก็ส่งคนมาแจ้งข้า”
“ขอรับนายท่าน”
ไป๋จิ่นหลินเดินออกจากห้องลับในร้านและเดินทางกลับจวนของตนเอง ระหว่างทางเขายังคงคิดถึงสาเหตุที่เกิดขึ้นกับตระกูลเดิมของตนเองไปตลอดทาง กระทั่งกลับถึงจวนตระกูลไป๋ ไป๋จิ่นหลินจึงเปลี่ยนสีหน้าเป็นอ่อนโยนตามปกติ
หนึ่งเดือนต่อมา
ในราชสำนักเกิดเรื่องถกเถียงกันในท้องพระโรงเมื่อเช้านี้ เพราะมหาเสนาบดีต่างเรียกพรรคพวกของตนเองในราชสำนักคุกเข่าเพื่อขอให้ฮ่องเต้แต่งตั้งรัชทายาทหลังจากผ่านมาหลายปี
“พวกเจ้าคิดจะกดดันเราหรืออย่างไร” ฮ่องเ
“เฮ้อ! หากพวกท่านต้องการติดตามไปจริง ๆ ทุกคนต้องระวังตัวให้มาก แต่พวกท่านบางส่วนจะต้องอยู่เมืองหลวงเพื่อคอยส่งข่าวให้เราที่เมืองเฉิงกุยด้วย ไม่จำเป็นต้องติดตามเราไปทั้งหมด” องค์ชายรองถอนหายใจอย่างปลดปลง พระองค์ไม่อาจขัดความหวังดีของพวกเขาได้จึงต้องอนุญาต“ขอบพระทัยองค์ชายพะย่ะค่ะ พวกเราจะแบ่งกันทำงานและจะไม่ทำให้องค์ชายต้องลำบากพระทัย” ซูต้าเหรินยิ้มออกมาเมื่อคิดว่าครานี้เขาจะได้เดินทางไปช่วยเหลืองานขององค์ชายรองก่อนเกษียณอายุราชการในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า“รบกวนซูต้าเหรินจัดการเรื่องแทนเราด้วย พวกท่านแยกย้ายกันไปเตรียมตัวเถอะ”“กระหม่อมรับบัญชาพะย่ะค่ะ พวกกระหม่อมทูลลา” ซูจินค้อมกายคำนับองค์ชายรองและออกไปจากตำหนักพร้อมขุนนางทั้งหมด เขายังต้องคัดเลือกคนที่จะติดตามไปยังเมืองเฉิงกุยแทนองค์ชายรองด้วยไป๋จิ่นหลินที่ได้รับรายงานจากคนขององค์ชายรอง เขาสั่งฮูต้าให้ไปรวบรวมยาทั้งหมดในร้านค้าทันที ส่วนสิ่งของจำเป็นสำหร
หนึ่งเดือนต่อมาท้องพระโรงวันนี้มีเรื่องใหญ่เกิดขึ้น เนื่องจากฝ่าบาทได้รับข่าวจากเมืองเฉิงกุยว่าเกิดน้ำท่วมและโรคระบาดครั้งใหญ่ สร้างความเดือดร้อนให้ราษฎรจำนวนมากโดยรอบเมืองเฉิงกุย“พวกเจ้ามีใครต้องการจะเดินทางไปแก้ไขปัญหาที่เมืองเฉิงกุยหรือไม่” ฮ่องเต้ตรัสถามขุนนางทั้งหลายที่อยู่ในท้องพระโรง“กราบทูลฝ่าบาท กระหม่อมคิดว่าเรื่องนี้เจ้าเมืองเฉิงกุยน่าจะจัดการได้พะย่ะค่ะ เราเพียงส่งเงินช่วยเหลือไปให้พวกเขาก็น่าจะเพียงพอแล้ว” มหาเสนาบดีกล่าวอย่างรู้ดีว่าเจ้าเมืองเฉิงกุยเป็นคนของเขา หากนำเงินจากท้องพระคลังส่งไปยังเมืองนั้น เขาเองก็จะได้รับส่วนแบ่งเงินบรรเทาทุกข์ครานี้ด้วย“กราบทูลเสด็จพ่อ ลูกคิดว่าการมอบเงินให้อย่างเดียวไม่น่าจะเพียงพอพะย่ะค่ะ หากหมอที่เมืองเฉิงกุยไม่สามารถควบคุมโรคระบาดได้ แล้วมีคนหนีออกจากเมืองจนแพร่โรคไปทั่วแคว้น พอถึงตอนนั้นจะแก้ไขปัญหาก็คงยากราวกับขึ้นสวรรค์” องค์ชายรองรู้ดีว่ามหาเสนา
จูเค่ออี้หมิงไม่สนใจงานแต่งงานของไป๋จิ่นหลิน ตอนนี้เขากำลังเตรียมคนให้ลอบเข้ามาในเมืองหลวงอย่างลับ ๆ เพื่อเวลาที่หัวข้อการทดสอบออกมา เขาจะได้ส่งคนไปจัดการขุนนางฝ่ายองค์ชายรองเสียก่อน เรื่องนี้เขาไม่ได้ปรึกษามหาเสนาบดี เพราะรู้ดีว่าความคิดท่านพ่อของตนเองช่างคร่ำครึและระแวดระวังมากเกินไป จนทำให้แผนการที่ผ่านมาของจูเค่อหรงเจี้ยนมักไม่ค่อยสำเร็จ จูเค่ออี้หมิงจึงต้องหาทางกลบเกลื่อนแทนอยู่หลายครั้ง ไม่เช่นนั้นป่านนี้พ่อของเขาคงถูกฝ่าบาทลงโทษไปนานแล้วคนขององค์ชายรองที่แอบติดตามเตียหย่งไปยังภูเขานอกเมืองหลายวันก่อน ตอนนี้เขารู้ถึงแหล่งซ่องสุมกำลังของตระกูลจูเค่อว่าอยู่ที่ใดแล้ว หลังจากทราบสถานที่และลอบออกมาได้อย่างปลอดภัย เขารีบใช้วิชาตัวเบาเดินทางกลับเข้าเมืองหลวงเพื่อบอกเรื่องนี้ให้องค์ชายรองทราบทันที น่าเสียดายที่ระยะทางนั้นอยู่ไกลจากเมืองหลวงมากพอสมควร ทำให้ตอนนี้เขายังไปไม่ถึงเมืองหลวงเลย ถึงแม้จะเดินทางมานานถึงหนึ่งสัปดาห์แล้วก็ตามทีงานเลี้ยงที่ตระกูลไป๋จัดขึ้นนับว่าสมกับเป็นคหบดีใหญ่ การแสดงที่ถูกจ้างมาต่าง
องค์ชายรองพาพระชายากลับตำหนักในช่วงบ่าย พระองค์ปล่อยให้นางนอนพักผ่อนต่อโดยไม่ให้คนไปรบกวน ส่วนพระองค์เองก็ไปนั่งทำงานที่ห้องหนังสือในตำหนักด้วยความเคยชิน“องค์ชาย มีข่าวจากสายของเราในจวนมหาเสนาบดีพะย่ะค่ะ” อู๋เหลยเข้ามารายงาน“ว่ามา” องค์ชายรองยังคงก้มหน้าอ่านฎีกาที่อยู่บนโต๊ะต่อ“คนสนิทของจูเค่ออี้หมิงเดินทางออกนอกเมืองหลวง ไม่ทราบองค์ชายจะให้คนติดตามต่อไปหรือไม่พะย่ะค่ะ”“ตามไป ต้องรู้ให้ได้ว่าเขาไปทำสิ่งใดที่นอกเมืองในสถานการณ์ที่ราชสำนักไม่มั่นคง”“กระหม่อมจะรีบส่งคนติดตามไปอย่างใกล้ชิดพะย่ะค่ะ” อู๋เหลยกล่าวจบก็ทูลลาออกจากห้องหนังสือขององค์ชายรองไปเซียงเซียววางฎีกาที่ตรวจเสร็จลง ในหัวพระองค์กำลังคาดเดาแผนการของจูเค่ออี้หมิงหลังจากนี้ ถึงแม้องค์ชายอยากไปปรึกษาสหายอย่างไป๋จิ่นหลิน แต่พระองค์รู้ว่าอีกไม่กี่วันก็จะถึงงานแต่งงานของสหายพระอ
พระสนมกุ้ยเฟยที่มารอดูสะใภ้ใหม่ของราชวงศ์ที่ตำหนักเฟิ่งฮัวตั้งแต่เช้ากลับต้องรอคอยอย่างหงุดหงิดที่คู่บ่าวสาวไม่มาเสียที“ฝ่าบาทไม่คิดจะให้คนไปตามองค์ชายรองกับพระชายาหรือเพคะ พวกเรารอมาจนจะถึงเวลาเสวยพระกระยาหารเที่ยงแล้วนะเพคะ” กุ้ยเฟยตรัสด้วยใบหน้าบูดบึ้ง“เจ้าจะรีบอะไร? คนของเจ้ารองก็มาบอกแล้วว่าพวกเขาเพิ่งจะพักผ่อนกันตอนรุ่งสางนี่เอง หากเจ้ารอไม่ไหวก็กลับตำหนักไปเสีย” ฮ่องเต้ตรัสอย่างไม่พอพระทัย พระองค์ไม่รู้ว่ากุ้ยเฟยจะมาตำหนักฮองเฮาทำไมกัน ทั้งที่เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับนางแม้แต่น้อย ฝ่าบาทมองสีหน้าฮองเฮาที่ยังคงนิ่งเรียบก็รู้สึกผิดในใจ กุ้ยเฟยมักทำตัวก้าวก่ายพระราชอำนาจของฮองเฮาหลายคราแล้ว แต่พระองค์ก็ตัดใจลงโทษนางไม่ได้เสียที“ขอพระองค์อย่าเพิ่งทรงกริ้ว หม่อมฉันแค่กลัวว่าฝ่าบาทกับฮองเฮาจะหิวเพคะ” กุ้ยเฟยหาทางออกให้ตัวเอง ไม่เช่นนั้นนางคงถูกคนของฝ่าบาทส่งตัวกลับตำหนักแน่ วันนี้นางมาก็เพื่อต้องการทำให้สะใภ้ใหม่ของฮองเฮาต้องอับอายเท่านั้น หากนา
อิงฮวากินอาหารอิ่มแล้ว นางเงยหน้าขึ้นมององค์ชายรองที่ตาเป็นประกายแปลก ๆ ทำเอาอิงฮวาหน้าแดงก่ำขึ้นมาอีกครั้ง“องค์ชายจะดื่มเหล้ามงคลเลยหรือไม่เพคะ หม่อมฉันจะได้ไปอาบน้ำก่อน”“อืม… ดื่มก่อนก็ดี มาเถอะ” องค์ชายรองรินเหล้าใส่จอก จากนั้นจึงคล้องแขนดื่มเหล้ามงคลกับพระชายาด้วยรอยยิ้มบาง“เอ่อ… หม่อมฉันขอตัวไปถอดเครื่องประดับก่อนนะเพคะ” อิงฮวาก้มหน้างุด ๆ ก่อนจะลุกจากโต๊ะเพื่อเดินไปยังโต๊ะเครื่องแป้งที่อยู่ไม่ไกล“เราจะพาไปเอง” องค์ชายรองไม่พูดพร่ำทำเพลง พระองค์ช้อนตัวอุ้มอิงฮวาเข้าสู่อ้อมอกแล้วเดินดุ่ม ๆ ไปวางนางลงเก้าอี้หน้าโต๊ะเครื่องแป้งอิงฮวาได้แต่ซุกหน้าลงบนอกขององค์ชายรองอย่างเขินอาย นางไม่มีเวลาแม้แต่จะตกใจที่พระสวามีอุ้มนางขึ้นมาอย่างไม่บอกไม่กล่าวองค์ชายรองช่วยอิงฮวาถอดเครื่องประดับผมออกอย่างระมัดระวัง เมื่อเห็นว่านางไม่ได้เอ่ยห้าม พ