10 ปีต่อมา
ไช่เหมยฮวาที่โตเป็นสาวแล้วเตรียมตัวเดินทางกลับเมืองหลวงพร้อมมารดาและน้องชายที่เคยตัวเล็กแต่ตอนนี้สูงกว่านางไปแล้วในเวลาเพียงไม่กี่ปี สุขภาพของน้องชายนางก็ดีขึ้นเรื่อย ๆ ตั้งแต่เขาอายุครบ 10 ขวบ ทำให้พวกนางไม่ต้องเสียเงินหาซื้อยามาบำรุงเขาอีก ด้วยความสามารถของไช่เหมยฮวาและไช่ซิว ทำให้ตอนนี้ครอบครัวพวกนางมีเงินมากพอที่จะหาซื้อบ้านหลังเล็ก ๆ ในเมืองหลวง
อดีตพ่อบ้านอย่างซู่หยงกับคนอื่น ๆ ก็เก็บหอมรอมริบมาตลอดเช่นกัน พวกเขายืนยันที่จะติดตามไปรับใช้ไช่เหมยฮวาที่เมืองหลวง ถึงแม้พวกเขาจะเคยเป็นนักโทษที่ถูกเนรเทศมาก่อน แต่ด้วยหลายปีมานี้ฮ่องเต้มีราชโองการยกเว้นโทษของคนที่เคยถูกเนรเทศอย่างพวกเขาแล้ว ทุกคนจึงตั้งใจจะกลับไปช่วยเหลือคุณหนูทวงความยุติธรรมคืนให้นายท่านอย่างไช่ไท่ฟู่ พวกเขารู้ดีว่าการไปครั้งนี้อันตรายไม่น้อย แต่พวกเขาก็ไม่คิดจะทอดทิ้งเจ้านาย หากคุณหนูทำสำเร็จ พวกเขาก็จะลืมตาอ้าปากและสามารถเดินยืดอกอย่างสง่าผ่าเผยเหมือนในอดีตได้
ซู่หยงทำหน้าที่หารถม้าให้หม่าซูกับลูก ๆ นั่ง ส่วนพวกเขานั้นซื้อเกวียนเทียมลาสามคันสำหรับเดินทางเท่านั้น หม่าซูรู้สึกเกรงใจเขามากจนไม่กล้าขึ้นรถม้า
“ฮูหยินพาคุณหนูกับคุณชายขึ้นไปเถิดขอรับ พวกเราทำที่บังแดดบนเกวียนแล้ว ไม่ได้ลำบากอย่างที่ฮูหยินคิดหรอกขอรับ” ซู่หย่งคะยั้นคะยอให้หม่าซูรีบขึ้นรถม้า
“แต่ว่า… ข้าไม่อยากเอาเปรียบพวกท่านเจ้าค่ะ พวกเราแม่ลูกนั่งบนเกวียนได้เช่นกัน”
“ฮูหยินอย่าได้คิดเช่นนั้น พวกเราร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมาหลายปี ท่านน่าจะรู้ว่าพวกเราอยากให้พวกท่านเดินทางอย่างสบายใจนะขอรับ” ลุงปันมาช่วยเกลี้ยกล่อม
“ท่านแม่ ในเมื่อพวกท่านลุงเมตตา เราก็รับเอาไว้เถิดเจ้าค่ะ แต่พวกท่านลุงต้องรับเงินของพวกข้าเอาไว้ซื้อเสบียงระหว่างเดินทางนะเจ้าคะ” ไช่เหมยฮวายิ้มบางส่งให้ท่านลุงทั้งสองที่คอยดูแลพวกนางมาตลอด
“เช่นนั้นก็ขอขอบคุณพวกท่านมากเจ้าค่ะ เงินนี่ให้พวกท่านเอาไว้ซื้อเสบียง” หม่าซูยื่นตั๋วแลกเงินหนึ่งร้อยตำลึงที่เก็บหอมรอมริบมาให้ซู่หยง
ซู่หยงรับตั๋วแลกเงินมาตามที่คุณหนูของเขาต้องการ เขารู้ดีว่าเงินนี้จะช่วยให้ทุกคนสามารถเดินทางไปถึงเมืองหลวงได้โดยไม่อดอยากระหว่างทาง ถึงแม้ว่าพวกเขาจะเก็บเงินได้ไม่น้อย แต่ค่าใช้จ่ายในการเดินทางครั้งนี้ก็ถูกใช้ไปเป็นจำนวนมาก ซู่หยงจึงยินดีรับความช่วยเหลือจากฮูหยินและคุณหนู
“ขอบคุณฮูหยินมากขอรับ พวกเรารีบออกเดินทางกันเถิด ตอนนี้สายมากแล้ว”
“ตกลง ไปกันเถอะ หากพวกท่านอยากหยุดพักก็จอดได้เลยนะเจ้าคะ”
“ขอรับฮูหยิน เชิญขอรับ” ซู่หยงประคองหม่าซูกับลูก ๆ ขึ้นรถม้า
ครั้งนี้ลุงเอ่อหนิวเป็นผู้บังคับรถม้าให้หม่าซู ส่วนเกวียนคันอื่น ๆ มีลุงปัน ลุงไห่กับลุงขุยเป็นคนขับ พวกเขาจะเข้าไปซื้อเสบียงแห้งในเมืองก่อนออกเดินทาง ส่วนของใช้จำเป็นของพวกเขานั้นถูกใส่ไว้ในเกวียนคันหลังสุด ด้วยในขบวนมีคนไม่มากนัก พวกเขาจึงนั่งบนเกวียนได้ไม่ลำบาก
สองเดือนต่อมา
ในที่สุดขบวนของไช่เหมยฮวาก็เดินทางมาถึงหมู่บ้านนอกเมืองหลวงไม่ไกลนัก แผนการที่นางวางเอาไว้คือให้ท่านแม่กับน้องชายอาศัยอยู่ที่หมู่บ้านพร้อมกับพวกท่านลุงทั้งหลาย ส่วนนางจะส่งลุงซู่หยงนำจดหมายไปมอบให้สหายสนิทของท่านพ่ออย่างลับ ๆ ที่จวนขุนนางอิง นางไม่ต้องการลากพวกเขาเข้ามายุ่งเกี่ยวกับการสืบหาความจริงเรื่องเมื่อ 10 ปีก่อน เรื่องนี้นางบอกกับทุกคนระหว่างทางมายังเมืองหลวงก่อนหน้านี้
หมู่บ้านที่พวกนางเข้าไปอาศัยชื่อหมู่บ้านเซียนปิง ห่างจากเมืองหลวงเพียงแค่ 10 ลี้ บ้านเรือนในหมู่บ้านมีชาวบ้านอาศัยอยู่ประมาณ 100 คน ทำให้ที่ดินในหมู่บ้านยังมีว่างอยู่ไม่น้อย เพราะผู้คนส่วนใหญ่ต่างเข้าไปทำงานและอาศัยอยู่ในเมืองหลวงจึงทำให้รอบนอกเมืองหลวงไม่ค่อยมีชาวบ้านอาศัย
หม่าซูนำเงินไปซื้อที่ดิน 20 หมู่ สำหรับสร้างที่พักและอาศัยอยู่กับทุกคนแทนที่การปล่อยให้พวกเขาหาเช่าบ้านในหมู่บ้าน ส่วนค่าใช้จ่ายก็เป็นเงินที่ลูก ๆ ของนางช่วยกันสร้างสิ่งประดิษฐ์นำไปขายมาตลอด 10 ปี เงินในมือของนางมีไม่ต่ำกว่า 1000 ตำลึง เพราะพวกนางกินใช้อย่างประหยัด
หนึ่งเดือนต่อมา
หลังจากที่ทุกคนช่วยกันสร้างบ้านและเรือนพักโดยหม่าซูว่าจ้างช่างไม้ในหมู่บ้านรวมถึงชาวบ้านมาช่วยกันสร้างจึงทำให้ภายในที่ดินผืนนี้มีบ้านหลายหลัง ส่วนที่ดินรอบ ๆ ก็ล้อมรั้วรอบพื้นที่ทั้ง 20 หมู่ เพื่อความปลอดภัยของคนในบ้าน คราแรกผู้ใหญ่บ้านคิดว่าพวกเขาน่าจะเป็นคนร่ำรวย แต่พอเห็นบ้านที่พวกเขาสร้างไม่ได้หรูหราอย่างที่คาดเดา เขาจึงบอกชาวบ้านไม่ต้องสนใจคนกลุ่มนี้อีก
“ท่านแม่ พรุ่งนี้ข้าจะมอบจดหมายให้ลุงซู่ไปส่งท่านอาอิงนะเจ้าคะ”
“เจ้าแน่ใจหรือว่าจะทำเช่นนี้ แม่เป็นห่วงเจ้านะฮวาเอ๋อ”
“ข้าแน่ใจเจ้าค่ะ ท่านแม่กับซิวเอ๋อไม่ต้องเป็นห่วง ท่านอาอิงจะต้องดูแลข้าเป็นอย่างดีแน่นอนเจ้าค่ะ อย่างไรก็ไม่มีใครรู้ว่าพวกเขาเคยรับข้าเป็นลูกบุญธรรมมาก่อน”
“ท่านพี่จะต้องกลับบ้านทุกเดือนนะขอรับ อย่าทำให้พวกเราเป็นห่วง”
“พี่รู้แล้ว เอาไว้เจ้าสร้างสิ่งประดิษฐ์ขึ้นมาสักหลายอย่าง พี่จะนำเข้าไปขายในร้านค้าให้เจ้าเอง เจ้ากับท่านแม่จะได้มีเงินใช้จ่าย อ้อ ระวังตัวกันด้วยนะเจ้าคะ อย่าเข้าไปในเมืองหลวงเด็ดขาด รอจนกว่าข้าจะมาหาเท่านั้น”
ทั้งสามหารือกันจนค่ำมากแล้ว หม่าซูจึงปล่อยให้ลูก ๆ กลับไปพักผ่อนที่ห้องเพื่อที่พรุ่งนี้จะได้ตื่นไปช่วยกันดูแลแปลงผักและเล้าไก่ ซึ่งพวกนางส่งคนไปซื้อมาเมื่อหลายวันก่อนเพื่อประหยัดค่าใช้จ่าย
หลังอาหารเช้าวันต่อมา ไช่เหมยฮวานำจดหมายไปฝากลุงซู่เพื่อให้เขาเดินทางเข้าไปยังเมืองหลวงในช่วงสาย
“ให้ข้าไปที่จวนขุนนางอิงหรือขอรับ?”
“ใช่แล้วเจ้าค่ะ รบกวนท่านลุงบอกคนที่จวนว่าลูกบุญธรรมมาถึงแล้ว ท่านอาอิงจะเข้าใจดี หลังอ่านจดหมาย ท่านอาอิงคงเดินทางมาที่นี่เพื่อรับข้าเข้าเมือง”
“ได้ขอรับ ข้าจะบอกคนที่จวนตามคำสั่งของคุณหนู”
“ขอบคุณท่านลุงซู่มากเจ้าค่ะ เรื่องท่านแม่กับซิวเอ๋อหลังจากนี้ ข้าคงต้องรบกวนพวกท่านช่วยดูแลพวกเขาด้วยนะเจ้าคะ ข้าจะกลับมาที่นี่เดือนละครั้งเท่านั้น”
“ขอรับคุณหนู ท่านไม่ต้องเป็นห่วง หากต้องการให้ข้าช่วยสิ่งใดก็บอกได้ขอรับ”
“ช่วงนี้ข้ายังไม่มีสิ่งใดให้ท่านลุงช่วยเจ้าค่ะ ท่านรีบไปเข้าเมืองเถิด ประเดี๋ยวจะได้รีบกลับมากินข้าวเที่ยงกัน” ไช่เหมยฮวากล่าวพร้อมรอยยิ้มบาง
“ขอรับคุณหนู ข้าจะรีบไปรีบกลับขอรับ”
ไช่เหมยฮวามองส่งซู่หยงที่เดินไปเทียมเกวียนเพื่อเข้าเมือง 10 ปีที่ผ่านมา ถึงแม้ไช่เหมยฮวาจะแสดงออกภายนอกว่าเป็นคนร่าเริงแจ่มใส แต่ในใจของนางยังคงจดจำความคับแค้นใจในปีนั้นได้เป็นอย่างดี ไม่ว่าจะเกิดสิ่งใดหลังจากนี้ นางจะต้องมีชีวิตอยู่และสืบหาความจริงเรื่องทั้งหมดให้ได้
สองเดือนต่อมาหลังจากหม่าซูใช้เวลาปรึกษาเรื่องลูกสะใภ้กับบุตรสาวและตระกูลอิงนานกว่าหนึ่งเดือนก่อนหน้านี้ ในที่สุดนางก็เลือกบุตรีแม่ทัพรักษาเมืองที่เก่งการต่อสู้และยังชอบบุตรชายนางตั้งแต่คราแรกที่ได้พบกัน ถึงแม้นางจะดูซุกซนไปสักหน่อย แต่ความจริงใจและใสซื่อของนางหาได้ยากในหมู่บุตรีขุนนางไช่ซิวหลังจากถูกนางก่อกวนอยู่นานนับเดือน ในที่สุดเขาก็ยอมตกลงแต่งงานกับหลูเซี่ยวเอ๋อจนได้ นั่นเพราะไช่ซิวเพิ่งเคยพบคุณหนูใสซื่อเช่นนี้ครั้งแรกเช่นเดียวกัน อีกทั้งความจริงใจของนางที่มีต่อตนเองซึ่งเขารับรู้ได้ ทำให้เขาไว้ใจที่จะแต่งงานกับนางอย่างไม่รังเกียจงานมงคลสมรสของไช่ซิวนับเป็นงานแรกหลังจากเกิดการกบฏ ทำให้ขุนนางมากมายต่างพากันเข้าร่วมงานอย่างคับคั่ง ฮ่องเต้ยังประทานของขวัญแต่งงานให้แก่กั๋วกงหนุ่มของราชสำนักจำนวนมาก ทำเอาขุนนางหลายครอบครัวต่างอิจฉาความโปรดปรานที่ฝ่าบาทมอบให้ไช่ซิวไม่น้อยไท่จื่อและไท่จื่อเฟยยังเสด็จมางานนี้ด้วยพระองค์เอง นับว่างานแต่ง
ระหว่างที่การต่อสู้ด้านในกำลังดุเดือดเลือดพล่าน แม่ทัพหลัวก็พาทหารฝีมือดีเข้ามาถึงลานจัดงานเลี้ยงและลงมือฆ่าแม่ทัพซัวเถากับพวกโดยไม่พูดพร่ำทำเพลงให้เสียเวลา คนของจูเค่ออี้หมิงเริ่มล้มตายราวใบไม้ร่วง ด้วยความสามารถอันสูงส่งของกองกำลังแม่ทัพหลัว ทำให้พวกเขาใช้เวลาไม่นานก็สังหารกบฏทั้งหมดในลานจัดเลี้ยงสำเร็จ ส่วนจูเค่ออี้หมิงถึงแม้จะบาดเจ็บสาหัสแต่ก็ยังมีลมหายใจอยู่“กราบทูลฝ่าบาท กบฏทั้งหมดถูกสังหารสิ้นแล้วพะย่ะค่ะ” แม่ทัพหลัวคุกเข่ารายงานเสียงดังหลังจากจัดการศัตรูจนไม่สามารถต่อสู้ได้อีก“ขอบใจเจ้ามากแม่ทัพหลัว ความดีความชอบของเจ้ากับกองทัพตะวันออกในครานี้ ข้าจะมอบเสบียงและเงินเพื่อเป็นขวัญกำลังใจให้พวกเจ้าทำหน้าที่ปกป้องชายแดนต่อไป สำหรับกบฏที่ยังไม่ตาย ให้จับกุมเข้าคุกหลวงรอวันประหาร ตระกูลจูเค่อซึ่งเป็นผู้นำในการก่อกบฏ ลงโทษประหารเก้าชั่วโคตร ริบทรัพย์ทั้งหมดเข้าคลังหลวง” ฮ่องเต้ตรัสหลังจากเหตุการณ์ต่าง ๆ สงบลง“ฝ่าบาทโปรดพิจารณา กระหม่อมไม่ทราบเรื่อ
“ฮ่า ฮ่า ไม่คิดว่าฮ่องเต้แคว้นต้าเซียงจะโง่เขลาถึงเพียงนี้ เจ้าคิดว่าแคว้นอู่ของเราพาคนมาน้อยหรืออย่างไร กองทัพเล็ก ๆ ของเจ้ามีหรือจะต้านทานคนของพวกเราได้”แม่ทัพซัวเถาชักดาบที่ซ่อนไว้ออกมาทันที รองแม่ทัพอีกสองคนก็เดินตามหลังเขาไปยังหน้าพระที่นั่งของเซียงเหวินเช่นกัน“ฮึ! เราก็นึกว่าใครที่กล้าพูดจาไร้มารยาท ที่แท้ก็แม่ทัพแคว้นอู่ ซัวเถานี่เอง” ฮ่องเต้ทอดพระเนตรศัตรูทั้งสามอย่างเหยียดหยาม“คุ้มกันฝ่าบาท!!!” ทหารองครักษ์รีบลุกมายืนบังด้านหน้าพระแท่นของฮ่องเต้“ไร้ประโยชน์! คนของข้ากำลังจะเข้ามาที่นี่แล้ว พวกเจ้าหากไม่อยากตายก็รีบหลบไปเสียแต่โดยดี” แม่ทัพซัวเถาเอ่ยอย่างถือดี ด้วยฝีมือของพวกเขาแล้ว องครักษ์หลวงเหล่านี้แทบจะไม่ใช่คู่มือของพวกเขาเลย“หุบปาก! เป็นเพียงแม่ทัพเฒ่าผู้หนึ่ง กลับกล้ามาโอหังถึงแคว้นต้าเซียง” รัชทายาทตรัสอย่างไม่พอพระทัย พระองค์ทอดพระเนตรท่าทางของ
“ท่านมหาเสนาบดีกล่าวผิดแล้ว ข้าแซ่ฟู่ นามหยาง ไม่ใช่คนตระกูลจูเค่อของท่าน”“เจ้าลูกสารเลว!! เจ้ากลับลืมว่าเติบโตมาจากจวนมหาเสนาบดีของข้า” จูเค่อหรงเจี้ยนโกรธจนแทบกระอักเลือดออกมาเมื่อได้ยิน“ขออภัย ตั้งแต่ข้าแต่งเข้าตระกูลฟู่ พ่อของข้าในตอนนี้คือนายท่านฟู่โจวคนเดียว”ก่อนที่จูเค่อหรงเจี้ยนจะเข้าไปทำร้ายร่างกายฟู่หยาง หัวหน้าของเขาก็ก้าวเข้ามาดักทางเอาไว้เสียก่อน“หลีกไป! ข้าจะสั่งสอนลูกของข้า!!” มหาเสนาบดีตวาดว่า“เจ้าไม่มีสิทธิ์ทำร้ายลูกน้องข้า เขาก็บอกแล้วว่าแซ่ฟู่ นามหยาง เจ้ายังคิดอ้างสิทธิ์ความเป็นพ่อได้อย่างไรกัน ช่างหน้าไม่อายนัก”จูเค่อหรงเจี้ยนถูกความจริงทำให้โมโหหนักขึ้นไปอีก ขุนนางหลายคนรีบเข้ามาห้ามมหาเสนาบดี อย่างไรพวกเขาก็ยังอยากเข้าร่วมงานเลี้ยงหลังพิธีแต่งตั้งอยู่จึงไม่อยากทะเลาะกับทหารองครักษ์เหล่านี้
ห้าวันต่อมาจูเค่ออี้หมิงเข้าเมืองหลวงพร้อมทหารแคว้นอู่จำนวนหนึ่ง ส่วนทหารที่เหลืออีกเกือบหนึ่งหมื่นคนซึ่งปลอมตัวเป็นผู้ลี้ภัยถูกกักเอาไว้ภายนอกเมืองหลวงตามรับสั่งของฮ่องเต้ พระองค์ออกราชโองการให้ผู้ลี้ภัยอาศัยอยู่ภายนอกเท่านั้น เพราะเมืองหลวงไม่สามารถรองรับผู้ลี้ภัยสงครามจำนวนมากได้เขากลับไปถึงจวนก็ถูกผู้เป็นพ่อเรียกพบด่วน จูเค่ออี้หมิงสั่งให้เตียหย่งพาแม่ทัพซัวเถากับรองแม่ทัพหลายคนไปพักผ่อนที่เรือนรับรองก่อน ส่วนตัวเขาเองก็ไปยังห้องหนังสือที่จูเค่อหรงเจี้ยนนั่งรออยู่“เจ้ารู้ข่าวที่องค์ชายรองกำลังจะเข้ารับตำแหน่งรัชทายาทในอีกสองวันข้างหน้าหรือยังอี้หมิง” จูเค่อหรงเจี้ยนไม่รอให้ลูกชายนั่งดี ๆ แต่กลับรีบถามขึ้นมา“ลูกทราบแล้วขอรับ ท่านพ่อมีสิ่งใดจะสั่งหรือไม่” จูเค่ออี้หมิงไม่คิดจะบอกแผนการของตนเอง เพราะพ่อของเขาจะต้องไม่ยอมให้เขาดำเนินการตามแผนแน่“ข้าวางคนเอาไว้ในงานพิธีแล้ว ร
สองสัปดาห์ต่อมาฮ่องเต้ตรวจสอบหลักฐานทุกอย่างเกี่ยวกับมหาเสนาบดีและบุตรชาย พระองค์มีรับสั่งให้องค์ชายรองกับไป๋จิ่นหลินเข้าเฝ้าทันที หลังทำความเคารพฮ่องเต้แล้ว ทั้งสองก็นั่งลงที่เก้าอี้ตามรับสั่งของฝ่าบาท“หลักฐานเหล่านี้เราเกรงว่าจะยังไม่เพียงพอ มหาเสนาบดีจะต้องอ้างว่ามีผู้ปลอมแปลงหลักฐานเพื่อใส่ร้ายเขาแน่ อีกทั้งขุนนางเกินครึ่งในราชสำนักยังเข้าข้างเขา”“เช่นนั้นเราก็ไม่สามารถโค่นตระกูลจูเค่อได้หรือพะย่ะค่ะ” องค์ชายรองขมวดคิ้วมุ่น“ลูกใจเย็นก่อน พ่อคิดว่ามหาเสนาบดีจะต้องเผยตัวออกมาเองแน่หากพ่อมีราชโองการแต่งตั้งเจ้าเป็นรัชทายาท แต่เจ้าต้องสั่งองครักษ์ให้ดูแลอิงฮวาให้ดีนะ”“แผนการของฝ่าบาทเป็นไปได้พะย่ะค่ะ กระหม่อมจะส่งคนไปคอยดูแลตำหนักองค์ชายรองอย่างลับ ๆ เพิ่มเอง” ไป๋จิ่นหลินเห็นด้วยกับความคิดของฮ่องเต้“ขอบใจเจ้ามากนะจิ่นหลิน