“ชายารองชีพจรอ่อนมาก พวกเจ้าไปตามหมอที” หมอตำแยช่วยเหลืออย่างสุดความสามารถ ทั้งที่ชายารองก็มิได้ตกเลือด หรือเสียเลือดมากจนทำให้สลบไปทั้งอย่างนั้นได้ จะพูดให้ถูกก็คงจะเป็นหาสาเหตุของการหมดสติไปในครั้งนี้ไม่ได้นั่นเอง ซึ่งหมอตำแยเช่นนางถึงจะเชี่ยวชาญด้านการทำคลอด แต่นี่ดูเหมือนจะเกินขอบเขตความสามารถไปเสียแล้ว
ทุกคนภายในห้องทำคลอดต่างร้อนรนและร้อนใจ เพราะไม่เพียงชายารองที่เข้าขั้นวิกฤต พวกตนก็อาจจะต้องตายอยู่ที่นี่ด้วยเช่นกัน ถ้าหากนางเป็นอะไรไปคนทั้งห้องนี้ก็คงจะรับโทสะของท่านอ๋องไม่ไหว มีเพียงอาผิงเท่านั้นที่ยังพอมีสติ หญิงสาวตรงดิ่งไปตามท่านหมอทันทีที่หมอตำแยพูดจบ ทว่าเมื่อเปิดประตูออกไปก็พบเข้ากับหมอหลวงต้วนเข้าพอดี
“ผู้ใดไม่เกี่ยวข้องออกไปรอด้านนอก” ต้วนชิงเจาได้มารออยู่ก่อนแล้ว เขาได้รับคำสั่งจากฝ่าบาทให้มาเป็นตัวแทนพระองค์พร้อมกับเฉียนกงกง ด้วยเล็งเห็นว่าอาจจะเกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันขึ้นได้ทุกเมื่อ อย่างน้อยมีเขาอยู่ด้วยก็สามารถช่วยเหลือได้ทันท่วงที
เหล่านางกำนัลและหมอตำแยได้พากันออกไปรอด้านนอก เหลือไว้เพียงอาผิง เหลียงอ๋อง คอยเป็นลูกมือให้ท่านหมอเท่านั้น
“หนิงหนิง อดทนเข้าไว้นะ ข้ากับลูกขาดเจ้าไม่ได้เข้าใจหรือไม่” น้ำตาบุรุษไม่เคยหลั่งให้ผู้ใดมาก่อนนอกจากมารดาผู้ล่วงลับ บัดนี้กลับหลั่งออกมาได้อย่างง่ายดาย และไม่นึกอายสายตาผู้พบเห็น
ทางด้านหมอหลวงมากฝีมือ ทันทีที่ประตูถูกปิดลง เขาปราดเข้าไปตรวจอาการทันที หมอเฒ่าจับชีพจรคนป่วยดูเป็นอันดับแรก ก่อนจะเปิดเปลือกตาทั้งสองข้าง จากนั้นได้กางผ้าพับซึ่งเป็นที่เก็บเข็มแต่ละขนาดออกมา แล้วเลือกขนาดที่ตนเองต้องการ ปักเข็มลงบนมือและเท้าตามจุดสำคัญ กระนั้นอาการคนป่วยไม่ดีขึ้นเอาเสียเลย
“ท่านอ๋องชีพจรอ่อนไม่เหมือนคนปกติพ่ะย่ะค่ะ แม้จะอ่อนแต่ก็เต้นเป็นจังหวะปกติ หากจะอธิบายให้เข้าใจมันเหมือนชายารองหลับไปเท่านั้นพ่ะย่ะค่ะ” คนที่เป็นเช่นนี้มีไม่มากนัก สิ่งที่น่ากังวลมากที่สุดก็คือไม่รู้ว่าผู้ป่วยด้วยโรคนิทราจะตื่นขึ้นมาเมื่อใดไม่อาจบอกได้อย่างแน่ชัด
“แล้วนางจะตื่นขึ้นมาเมื่อใด” เหลียงเฟิงไม่ยอมห่างกายภรรยา แม้ภายในห้องจะเต็มไปด้วยกลิ่นเลือดคละคลุ้งจากการคลอดบุตร เขาก็ไม่นึกรังเกียจแต่อย่างใด คิดเพียงแต่ว่าทำอย่างไรให้ภรรยาฟื้นขึ้นมาได้
“ขออภัย กระหม่อมกำหนดเวลาไม่ได้พ่ะย่ะค่ะ” ต้วนชิงเจาส่ายหน้าอย่างจนปัญญา โรคนี้มิใช่รักษาไม่ได้ แต่ตัวยาที่จะใช้มันช่างหายากนัก แม้แต่ฝ่าบาทที่มีทั้งอำนาจและความยิ่งใหญ่ ก็ยังมีไว้ในครอบครองได้ไม่ทั้งหมด
“มีทางรักษาหรือไม่”
“มีพ่ะย่ะค่ะ แต่ว่ายาที่ต้องใช้ ส่วนผสมค่อนข้างหายาก ไม่แน่ว่าบางอย่างอาจจะหาไม่ได้แล้ว” ท่านหมอพูดไปตามตรง เพราะไม่อยากให้เหลียงอ๋องหวังมากเกินไป
“มีอะไรบ้างบอกข้ามา”
“โสมแดง หลินจือ ฝู่หลิง ชั่งจู๋ โดยเฉพาะหลินจือและโสมแดงต้องมีอายุไม่ต่ำกว่าร้อยปีจึงจะสามารถทำให้ยานี้มีฤทธิ์ได้มากพอพ่ะย่ะค่ะ ของทั้งหมดนี้หากทูลขอฝ่าบาทได้ก็ไม่น่ามีอะไรต้องห่วง แต่เอ่อ...” สมุนไพรทั้งสี่อย่าง ฝ่าบาทมีไว้ในครอบครอง ทว่าก็ไม่อาจรู้ได้ว่าพระองค์จะทรงมอบให้หรือไม่ ด้วยเป็นของที่หายาก อีกทั้งไม่รู้ว่าน้ำหนักในพระทัยของฝ่าบาท ที่มีต่อเหลียงอ๋องจะมากน้อยเพียงใด เขาก็อยากจะให้ท่านอ๋องเผื่อใจไว้บ้าง
“แต่อะไร” เหลียงอ๋องตวาดลั่น หงุดหงิดเหลือเกินอยากจะให้ต้วนชิงเจาพูดเสียให้จบไปทีเดียว
“แต่มีบางอย่างที่กระหม่อมคิดว่า อาจจะหาไม่ได้พ่ะย่ะค่ะ” มีเพียงตำนานถูกบันทึกไว้ในตำราเท่านั้นที่ตนได้เคยอ่านเจอ แม้แต่ตัวเขาเองยังคิดว่ามันคงจะมีแต่เทพนิยายเท่านั้นกระมัง ของวิเศษเช่นนี้จะหาได้จากที่ใด
“ยากแต่ไหนข้าก็จะหาให้ได้ พูดมาเถอะ”
“เป็นน้ำสีเขียวมรกตพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมอ่านจากตำราเก่าเล่มหนึ่ง บอกเอาไว้ว่าน้ำมรกตจะเกิดในหุบเขาลึกแต่ที่ดินตรงนั้นจะต้องอุดมสมบูรณ์ด้วยแร่ธาตุมากมาย น้ำมรกตจะเป็นของจริงหรือไม่ สังเกตได้จากน้ำจะใสมากจนเห็นถึงก้นบ่อ ทว่ามีสีเขียวมรกตเด่นชัดพ่ะย่ะค่ะ” ฟังดูเหมือนจะหาง่าย ทว่าผ่านมาหลายร้อยปีแล้วก็ยังไม่มีผู้ใดพบเจอ
“ได้ มีเท่านี้ใช่หรือไม่ เรื่องหาสมุนไพรข้าจัดการเอง ส่วนท่านดูแลภรรยาข้าให้ดีก็พอ” เหลียงเฟิงจูบซับหน้าผากมนไปจนถึงริมฝีปากซีดนั่นด้วยความห่วงใยปนรักใคร่ เขาจะต้องหายามารักษานางให้จงได้
“ไฉฉือหยุดความคิดของเจ้าเดี๋ยวนี้” คำพูดจากปากสาวเจ้าไม่ค่อยจะเข้าหู มู่หลางพยายามข่มกลั้นความโกรธของตนเองอย่างสุดความสามารถ“พวกเจ้าเป็นอันใดกัน น่ารำคาญยิ่งนัก จะไปไหนก็ไป” หลังจากเขากับภรรยาแอบฟังมู่หลางพูดคุยอยู่นาน ได้จังหวะเหมาะจึงแสร้งทำเป็นไม่พอใจไล่คนทั้งสองไปที่อื่นเสีย“ขออภัยพ่ะย่ะค่ะท่านอ๋อง กระหม่อมขอเวลาสักครู่พ่ะย่ะค่ะ” หากวันนี้ตกลงกันไม่เข้าใจ เห็นทีว่าไฉฉือคงต้องได้ยืดเวลากลับบ้านไปหาท่านป้าแล้ว“ไม่ต้อง อีกสองวันค่อยกลับมาทำหน้าที่ของเจ้า ไปแก้ปัญหาให้จบ อย่าให้ข้าเห็นเช่นนี้อีก” เหลียงเฟิงตวาดเสียงดุ ความจริงแล้วเขาก็อยากจะเล่นงิ้วต่อ แต่ภรรยาสุดที่รักกลับให้เขารีบจบบทบาทเจ้านายอารมณ์ร้ายนั่นเสีย ช่างน่าเสียดาย“ขออภัยอีกครั้งพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมจะไม่ให้เกิดขึ้นอีก” องครักษ์หนุ่มสำนึกผิดที่ตนทำให้นายเหนือหัวต้องรำคาญใจ ทั้งที่วันนี้ท่านอ๋องกับหวังเฟยควรจะได้ออกมาทานข้าวนอกอย่างสำราญใจแท้ ๆ กายหนาหันกลับไปคว้ามือเล็กคนข้างกาย พาอีกฝ่ายขึ้นชั้นสามไปอย่างรวดเร็ว“ว๊าย! พี่มู่เดี๋ยวก่อนเจ้าค่ะ” ไฉฉือร้องทัดทาน มือบางรวบเก็บชุดส่วนบนไว้แน่น ยิ่งพี่มู่ของนางดึงแรงเพียงใด
“เป็นอะไรไปไฉฉือ” หนิงเซียนเอ่ยถามขึ้น เมื่ออีกฝ่ายเอาแต่ก้มหน้าก้มตาเดินผิด ๆ ถูก ๆ“นายหญิงเจ้าคะ ให้ข้ากลับเถอะเจ้าค่ะ คนมองเต็มเลย สงสัยข้าน้อยแต่งตัวประหลาด” หญิงสาวกระซิบกระซาบเสียงเบา ตั้งแต่นางพาเข้าในโรงเตี๊ยม ก็ถูกผู้คนจับต้องตลอดทางเดิน ทำให้นางไม่เป็นตัวของตัวเองเท่าใดนัก“เป็นเพราะเจ้างดงามพวกเขาจึงได้มอง ไปกันเถอะ ไม่มีอะไรต้องกลัว ไม่อยากเจอพี่มู่ของเจ้าหรือ”“พี่มู่อยู่ที่นี่หรือเจ้าคะ” เมื่อนายหญิงเอ่ยชื่อพี่ชายที่แสนดี หญิงสาวก็หูผึ่งขึ้นมาทันที หลงลืมความอายไปชั่วขณะ“ใช่แล้ว ไปกันเถอะ” มู่หลางจงจำไว้ที่เจ้าพูดว่าจะไม่แต่งงานน่ะ ข้าจำคำนั้นขึ้นใจเชียวละ หุ หุเพราะหลายครั้งที่นางได้ยินคำนี้ออกจากปากองครักษ์หนุ่ม หนิงเซียนก็เฝ้ารอวันที่มู่หลางจะพลาดพลั้งบ้าง ส่วนมากคนพูดเช่นนี้ก็มักจะไม่พ้นผิดไปจากที่พูดเสียทุกรายมู่หลางหายใจฟึดฟัดเมื่อเห็นอีกคนเดินเข้ามาด้านในโรงเตี๊ยม วันนี้ไม่รู้ว่าท่านอ๋องคิดอะไรอยู่ ถึงได้ออกมานั่งรอหวังเฟยที่โต๊ะด้านนอก แทนที่จะเปิดห้องพิเศษเหมือนทุกครั้งไป นั่นใครสั่งใครสอนให้แต่งกายประหลาดเช่นนั้น เดินทีกระโปรงเปิดเปลือยไปถึงขาอ่อน แต่งมายั่
“น้องสาวทางสายเลือดหรือไม่” ตรงส่วนนี้ที่นางรู้สึกสงสัย ก็ไหนมู่หลางเคยบอกว่าไม่มีครอบครัวแล้วอย่างไร เหตุใดถึงได้มีน้องสาวโผล่มาได้“ไม่ ๆ เจ้าค่ะ ข้าน้อยเป็นเพียงบุตรสาวคนข้างบ้านพี่มู่ แต่ว่าเติบโตมาด้วยกันจึงสนิทกันเจ้าค่ะ” หญิงสาวรีบชี้แจงให้นายหญิงคนงามเข้าใจ นางและพี่มู่ห่างกันตั้งหกปี แม้จะเคยสนิทสนมกันมาก ทว่าเมื่อโตขึ้นพี่มู่กลับเว้นระยะห่าง แม้แต่เคยเล่นกอดคอกันเมื่อตอนเด็ก ๆ เขายังสั่งห้ามมิให้เข้าใกล้ ซึ่งนางก็ไม่ค่อยจะเข้าใจสักเท่าใดนัก“จริงหรือ แล้วเขาดูแลเจ้าดีหรือไม่” ที่หนิงเซียนซักถามเช่นนั้น ก็เพราะว่ามู่หลางเป็นคนค่อนข้างจะทึ่มทื่อปากหนักในเรื่องชายหญิง นางก็อยากจะรู้เขาจะมีความรู้สึกพิเศษอะไรกับไฉฉือหรือไม่ สตรีหน้าตาจิ้มลิ้มน่ารักออกปานนี้ ไม่มีความรู้สึกอันใดก็คงจะแปลกไม่น้อย“ดีมากเจ้าค่ะ มีอะไรก็นึกถึงข้ากับท่านแม่ตลอดเลย นี่ก็ห่วงว่าพี่มู่จะหาภรรยาไม่ได้ แก่ไปคงได้อยู่ตัวคนเดียว ท่านแม่จึงให้ข้ามาดูให้เห็นกับตาเจ้าค่ะ” ด้วยความใสซื่อ ไฉฉือจึงพูดออกมาอย่างไม่มีปิดบัง แต่เมื่อถึงตอนนั้น หากเขามีคนรักขึ้นมาจริง นางก็ไม่รู้ว่าตนเองจะทำใจรับได้หรือไม่ ที่ผ่านมาต
ไฉฉือสาวน้อยจากหมู่บ้านชนบทยืนชะเง้อคอยาวอยู่หน้าประตูวังอันใหญ่โต นางไม่คิดว่าพี่มู่จะอยู่ดีเกินคาดไปมาก เมื่อได้เห็นกับตาก็สบายใจไปเปลาะหนึ่งที่ผ่านมานางและมารดากลัวว่าเขาจะอยู่อย่างยากลำบาก เงินที่แบ่งปันให้นางกับครอบครัวทุกเดือนก็มากโข แล้วไหนจะมีของฝากราคาแพงอีกมากมาย เพราะแบบนี้มารดาจึงไม่สบายใจ เกรงว่ามู่หลางจะเอาแต่ทำงานหนักไม่รู้จักดูแลตนเอง เงินที่ได้มาก็คงจะส่งให้พวกตนทั้งหมด ด้วยเขามีนิสัยคิดถึงผู้อื่นมากกว่าตนเองเสมอครอบครัวไฉฉือและมู่หลางไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกันทางสายเลือดแต่อย่างใด เป็นเพียงเพื่อนบ้านที่ดีต่อกันเท่านั้น ตอนเด็กนางและเขาสนิทกันมาก ในตอนมู่หลางอายุได้สิบหนาวบิดามารดาตายจากด้วยโรคระบาด ไม่มีญาติมิตรคอยดูแล มารดาไฉฉือสงสารจึงได้ส่งเสียเลี้ยงดูราวกับลูกในไส้ สำหรับสายตาของหญิงสาว มารดาออกจะรักมู่หลางมากกว่านางที่เป็นบุตรสาวแท้ ๆ เสียอีกเมื่อเติบโตต่างฝ่ายต่างแยกย้าย ไฉฉือเป็นเพียงสตรีจึงทำได้แค่ช่วยมารดาทำสวนทำไร่อยู่บ้านนอก ส่วนมู่หลางเขาได้เดินทางมาเมืองหลวงเพื่อหางานทำ หลังจากนั้นก็ไม่ได้พบหน้ากันอีกเลย มีเพียงจดหมายพร้อมกับตั๋วเงินแนบมาให้ในทุก ๆ เดื
เด็ก ๆ สามคน รวมไปถึงมู่หลางนั่งล้อมวงดื่มชากินขนมกันอยู่ศาลาพัก พร้อมกับพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน จวนแม่ทัพหยางให้ความเอ็นดูเด็กแฝดเป็นอย่างมาก ฮูหยินหยางอยากให้บุตรชายได้มีบุตรแบบนี้สักคู่ทว่าแต่งงานมาได้สองปีกลับยังไม่มีหลานให้อุ้ม พวกเขาจึงแก้เหงาด้วยการขอท่านหญิงน้อย ท่านอ๋องน้อย มาเล่นที่จวนแม่ทัพในบางครั้งขนมพร้อมกับน้ำชาแสนอร่อยถูกลำเลียงมาวางจนเต็มโต๊ะ ทำเอาเด็ก ๆ ทั้งสามตาลุกวาวอย่างถูกอกถูกใจ มาจวนแม่ทัพทีไรล้วนแล้วแต่มีของอร่อยให้ได้กินจนเต็มคราบแต่เมื่อกลับถึงวังของหวานเหล่านี้จะกินตามใจปากไม่ได้แล้ว เพราะท่านแม่มักจะจำกัดการกินของพวกเขาเสมอ ท่านแม่บอกว่าเด็กกินของหวานไม่ดี ฟันจะผุ ถูกแมลงตัวร้ายกินหมดปาก“เฮ้อ” เด็กหญิงเคี้ยวขนมแก้มตุ่ย นั่งถอนหายใจราวกับมีเรื่องให้หนักใจเป็นหนักหนา กระนั้นก็ยังยกขนมในมือขึ้นกัดเข้าไปอีกคำโต“ไม่สบายตรงไหนหรือพ่ะย่ะค่ะท่านหญิง” หลี่หยุนรีบวางขนมในมือทันที พร้อมกับถามไถ่ด้วยความเป็นห่วง“เราไม่เป็นไร เราแค่กังวลใจ”“ท่านหญิงกังวลใจเรื่องอะไรหรือพ่ะย่ะค่ะ เล่าให้กระหม่อมฟังได้หรือไม่” มู่หลางรู้สึกเป็นห่วง ท่านหญิงเป็นเด็กร่าเริง น้อยนักท
“หนิงหนิง พี่ทนไม่ไหวแล้ว”กายหนาจับภรรยาหันหน้าเข้าผนังห้องทันที ก่อนจะถลกกระโปรงหญิงสาวขึ้นถึงเอว จากนั้นท่อนเนื้ออันใหญ่โตสอดเข้าผสานเนินสาวอย่างรวดเร็ว อีกทั้งยังออกแรงโยกไปตามอารมณ์ดิบเข้าออกเป็นจังหวะช้าเร็วตามแรงอารมณ์ ไม่แม้แต่จะเล้าโลมให้เสียเวลา“ท่านพี่เดี๋ยวก่อน” หนิงเซียนบัดนี้นางได้ถูกคนตัวโตตอกอัดตนเองเข้ากับผนังอย่างไม่ทันตั้งตัว นางและเขาใช้ชีวิตรักฉันสามีภรรยามานาน จนบุตรแฝดทั้งสองอายุได้สามหนาวแล้ว ทว่าความต้องการของสามีก็มิได้ลดน้อยลงจากเดิม ในบางครั้งออกจะมีความต้องการมากล้นเสียด้วยซ้ำตั้งแต่เจ้าสองแสบเริ่มโต นางและเขาก็มิได้มีเวลาให้กันมากเท่าใดนัก ด้วยบุตรทั้งสองต่างงอแงอ้อนขอนอนด้วยทุกค่ำคืน แม้พวกเขาจะโตมากพอที่จะแยกห้องนอนกันได้แล้ว แต่ก็ยังเกาะติดผู้เป็นมารดาราวกับลูกลิง บิดาผู้หลงบุตรมีหรือจะไม่ยอมตามใจ ผลกรรมทั้งหมดได้ตกมาอยู่ที่เขาแทน“พี่ขอเถอะ ประเดี๋ยวลูกก็คงกลับจากเรียนวิชาดาบแล้ว” เขาอดกินภรรยามาเกือบเจ็ดวันแล้ว เวลานี้ได้โอกาสเหมาะ จึงไม่พลาดที่จะกลืนกินภรรยาสาว ทุกเวลาล้วนมีค่าสำหรับเขา“อ๊ะ! แรงไปแล้วนะเจ้าคะ” หนิงเซียนหัวโยกหัวคลอน เขาไม่ยอมผ่อน