เสียงคำสั่ง ขันทีสองคนที่อยู่ด้านหลังก็ก้าวออกมาข้างหน้าทันที หนึ่งในสองเอื้อมมือหมายคว้าจับร่างเล็กที่ยืนท้าทายไม่กลัวฟ้าดินอยู่เบื้องหน้าเจ้านายตน
“หยุดนะ!”
จิงหยูที่หมอบอยู่แทบพื้นเมื่อครู่ส่งเสียงร้องห้ามดังลั่น นางค่อยๆ พยุงร่างอันบอบช้ำของตัวเองมาคุกเข่าตรงหน้าร่างอรชรของว่านเสียนเฟย เอ่ยด้วยน้ำเสียงสั่นๆ
“ขอพระสนมโปรดเมตตาด้วย คุณหนูผู้นี้คือบุตรสาวของท่านแม่ทัพจ้าวกับองค์หญิงเฟยเซียน พระขนิษฐาของฮ่องเต้นะเพคะ”
คำบอกเล่าของจิงหยูมีผลให้ขันทีทั้งสองหยุดชะงักมือโดยพลัน ก่อนจะหันมามองผู้เป็นนายด้วยสีหน้าลังเลไม่แน่ใจ ว่านเสียนเฟยจ้องมองมาที่จ้าวเหมยฮวา ดวงตาคู่งามของนางยามนี้ช่วงโชติไปด้วยเปลวไฟแห่งความริษยายามได้ยินชื่อผู้ให้กำเนิดของเด็กหญิง
หากไม่เพราะนางแพศยาเฟยเซียนใช้เล่ห์เหลี่ยมยั่วยวนแม่ทัพจ้าว ผู้เป็นชายในดวงใจเสียจนตบแต่งมันเข้าเป็นฮูหยินเอกแล้วละก็ นางคงไม่ผิดหวังจนต้องยอมเข้ามาถวายตัว เป็นเพียงดอกไม้ประดับในวังหลังของฮ่องเต้เยี่ยงนี้
‘หากไม่มีนังเฟยเซียน ป่านนี้ข้าคงได้เป็นฮูหยินจ้าวไปแล้ว’
พลั่ก!
ร่างบอบบางของจิงหยูมีอันต้องกลิ้งลงจากพื้นศาลาตามแรงส่งของเท้าพระสนม สายตาคมกล้าของพระสนมว่านเสียนเฟยตวัดมองขันทีประจำตัว ก่อนจะตวาดถามด้วยน้ำเสียงโกรธเกรี้ยวในที
“ใครสั่งให้พวกเจ้าหยุดมือ”
สิ้นเสียงตวาด ขันทีทั้งสองจึงเริ่มขยับกายอีกครั้ง ถึงแม้อีกฝ่ายจะเป็นบุตรสาวแม่ทัพ ทว่าเจ้านายของพวกเขานั้นเป็นถึงพระสนมเอกแห่งฮ่องเต้ ระหว่างสองฝ่ายควรจะตามผู้ใดคนฉลาดย่อมรู้ดี ว่านเสียนเฟยยิ้มเย็นในใบหน้าเมื่อเห็นขันทีประจำตัวขยับกายทำตามคำสั่งนางอีกครั้ง
‘ฮึ! แค่ลูกสาวแม่ทัพกับองค์หญิงที่ไร้ศักดิ์ จะมาเทียบกับพระสนมคนโปรดอย่างนางได้อย่างไร นังจิ้งจอกเฟยเซียน ข้าจะตัดลิ้นลูกเจ้าเสีย อยากรู้นักว่าเจ้าจะทำหน้าแบบไหน ตอนที่ได้รู้ว่าลูกสาวผู้อัปลักษณ์ของเจ้าไม่มีลิ้นแล้ว’
จ้าวเหมยฮวามองขันทีตรงหน้า ดวงตากลมโตส่องประกายซุกซน ก่อนจะกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
“พวกเจ้ากล้าแตะตัวข้าหรือ น่าจะรู้ข่าวลือเรื่องข้าเป็นโรคติดต่อที่รักษาไม่หายนะ หากคิดจะแตะตัวข้าไม่กลัวกันหรือ”
ขันทีหนุ่มสะดุ้งสุดตัวรีบชักมือกลับ ก่อนที่พวกเขาจะพากันเช็ดมือกับเสื้อผ้าอย่างไม่กลัวเจ็บ ว่านเสียนเฟยใบหน้าบิดเบี้ยว สายตามองคนของตัวเองที่ตอนนี้ต่างพากันถูมือถูไม้เป็นลูกลิง มองแล้วช่างน่าขบขันเป็นยิ่งนัก
“พวกเจ้าอยากโดนประหารอย่างนั้นหรือ ข้าสั่งให้จับตัวนังเด็กนรกนี่มาตัดลิ้นไง”
“เจ้านี่สวยนะ สวยเกือบจะพอๆ กับท่านแม่ข้าเลย” เด็กหญิงเอ่ยขึ้น น้ำเสียงคล้ายจะชื่นชม ก่อนจะเอียงคอมองอีกฝ่าย แล้วหรี่ตาพูดประโยคถัดไป “แต่ว่าน่าเสียดายนัก ท่านแม่ข้านั้นงดงามทั้งภายนอกและภายใน ไม่เหมือนกับเจ้า... ที่งามแค่เพียงกาย แต่จิตใจชั่วช้าเน่าเฟะยิ่ง”
คำพูดของเด็กหญิงประโยคนี้เปรียบประดุจน้ำมันที่ราดรดลงเปลวเพลิง ว่านเสียนเฟยกรีดร้องด่าทอเสียงดังลั่น นังเด็กสารเลวมันกล้าด่านาง
“กะ...แก นังเด็กนรกส่งมาเกิด แกมันก็แพศยาเหมือนๆ กับแม่ของแกนั่นแหละ”
จ้าวเหมยฮวามองอีกฝ่ายด้วยสายตาเย็นชา กล้าด่ามารดานางอย่างนั้นหรือ หากวันนี้ไม่เอาคืนนางยอมเป็นลูกหมาเลย ร่างน้อยที่ยืนนิ่งพลันถลันกายใส่ขันทีผู้อยู่หน้าพระสนมสาวด้วยความไว
ขันทีทั้งสองต่างเป็นผู้ฝึกยุทธ์ที่พอมีฝีมือ เมื่อเห็นร่างเล็กก้าวเข้ามา ก็สาวเท้าถอยห่างไม่เข้าปะทะด้วย เด็กหญิงอมยิ้มบางใต้ผ้าคลุม ก่อนย่อกายตวัดเท้าหมุนเกี่ยวปลายเท้าขันทีคนหน้าสุด นิ้วเล็กๆ เกร็งโคจรปราณ แล้วดีดใส่หน้าอกขันทีผู้โชคร้ายอย่างรวดเร็ว
ขันทีหนุ่มไม่ทันได้มองเห็น ร่างหนาๆ ของเขาก็หงายหลัง พาเอาเพื่อนขันทีอีกคนหงายต่อกันไปอีกทอด ว่านเสียนเฟยเบิกตากว้างเมื่อเห็นร่างตรงหน้าหงายหลังมาทับตน
“กรี้ด!”
“โอ้ย!”
“ว้าย! พระสนมเพคะ”
เด็กหญิงมองกลุ่มคนเบื้องหน้าที่ตอนนี้พากันลงหงายท้องไปกองอยู่บนพื้นด้วยสีหน้าแสดงความรื่นรมย์ แววตาฉายประกายเจ้าเล่ห์น้อยๆ จิงหยูมองภาพตรงหน้าก็ตกตะลึง ในใจนึกหวั่นเกรงแทนบุตรีแม่ทัพ นางค่อยๆ ก้าวถอยหลังออกมาไม่ให้เป็นที่สังเกต จากนั้นจึงมุ่งหน้าวิ่งไปทางตำหนักของฮ่องเต้
จ้าวเหมยฮวาเหลือบตามองตามหลังร่างนางกำนัลสาว ในใจนึกชื่นชมไหวพริบอีกฝ่าย ที่รู้ว่าควรจะทำอะไรในสถานการณ์แบบนี้ ถ้าอย่างนั้นนางเองก็ควรจะทำอะไรด้วยสินะ
“ท่านพ่อข้าเป็นถึงแม่ทัพใหญ่ รบเพื่อบ้านเมือง สร้างคุณงามความดีมาหรือก็ไม่ใช่น้อย พวกเจ้ากล้าทำร้ายข้ากระนั้นหรือ”
ว่านเสียนเฟยได้ฟังคำอีกฝ่าย ใบหน้างามก็ยิ่งบูดเบี้ยว นางร้องด่าน้ำเสียงเกรี้ยวกราด”
“นังทารกน้อย วาจาสามหาว ต่อให้บิดาเจ้าคือแม่ทัพแล้วอย่างไรเล่า จงจำใส่หัวน้อยๆ ของเจ้าเสีย แม่ทัพก็คือคนรับใช้ดีๆ นี่เอง จะอยู่หรือตายล้วนเป็นพวกข้าผู้เป็นนายออกคำสั่ง เจ้ามันก็มิต่างอะไรกับมารดาแพศยาของเจ้า มีหน้าอันใดมาอวดอ้างตนต่อหน้าข้า ผู้เป็นสนมแต่งตั้งของฮ่องเต้”
“ที่เจ้าเกลียดท่านแม่ข้า คงไม่ใช่เพราะถูกท่านแม่ข้าเอาชนะเสียละมั้ง” เด็กหญิงเอ่ยยั่วเย้า นางจับจุดอ่อนอีกฝ่ายมาเป็นประเด็น
“หน็อย! อย่าอยู่เลย นังเด็กบ้า” ร่างอวบอิ่มก้าวเข้าหาเด็กน้อยทันทีเมื่อถูกอีกฝ่ายจี้ถูกจุดอ่อนของตน
นางไม่เกรงกลัวโรคที่มันขู่แม้แต่น้อย ด้วยมั่นใจว่านังเด็กทารกน้อยขู่ให้คนของนางไม่กล้าลงมือเท่านั้นเอง จ้าวเหมยฮวาใช้ปลายเท้าแตะพื้นถอยหลัง มองคล้ายถูกกระแทกใส่ แต่มือเล็กนั้นลอบสะบัดปราณใส่ท้องน้อยสตรีสาวตรงข้าม
ว่านเสียนเฟยชะงักร่างทรุดลงไปชั่วอึดใจ มือกุมท้องตัวงอโค้ง ดวงตามองร่างเล็กที่กระเด็นออกไป ในใจสับสนงุนงงเป็นอย่างยิ่ง นางไปถูกตัวนังเด็กนั่นด้วยหรือ แล้วทำไมท้องถึงได้ปวดเช่นนี้
ด้านจ้าวเหมยฮวา หลังแสร้งทำเป็นกระเด็น เด็กหญิงก็จงใจใช้ฝ่ามือรับน้ำหนักตัวครูดกับหินอ่อน จนฝ่ามือน้อยของนางนั้นเปรอะเปื้อนเต็มไปด้วยโลหิตสีแดงฉาน
“อึก... จะ...จับ...จับมันไว้สิ”
ขันทีที่ยืนนิ่งพลันได้สติรีบตรงเข้ายึดแขนเด็กหญิงคนละข้าง ใบหน้าเล็กลอบยิ้มเย้ยก่อนจะเกร็งปราณบนฝ่ามือสองส่วนเข้าพัวพัน เมื่อสบจังหวะจึงกระแทกปราณใส่ท้องอีกฝ่าย ทั้งสองตัวโก่งจุกจนไร้สุ่มเสียง ร่างไถลไปด้านหลัง แต่ไม่ล้มหงายหลัง ด้วยมือนั้นถูกเด็กน้อยจับยึดไว้
ก่อนร่างน้อยจะแสร้งล้มลงเอาเข่าครูดกับพื้น มองดูเผินๆ คล้ายว่าตัวเองถูกขันทีทั้งสองฉุดกระชากลากจนล้มลงกระนั้น
ขันทีผู้โชคร้ายนั้นจุกแสนจุก ทว่าต้องพยายามทำหน้าที่ จึงคว้ามือน้อยจับพลิกหลัง กดเจ้าของร่างให้คุกเข่ากับพื้น ว่านเสียนเฟยมีรอยยิ้มเยาะเย้ย ปราดเข้ามาตบใบหน้าเล็กเสียงดังฉาดใหญ่ จ้าวเหมยฮวายิ้มเย็น ในใจคิดจดบัญชีแค้นอีกฝ่ายไว้ไม่มีตกหล่น
“เฮอะ! นังเด็กนรก วันนี้ข้าจะสั่งสอนเจ้าให้รู้สำนึก ตัดลิ้นมันทิ้งเสีย!”
นางกำนัลสาวคนสนิทก้าวมาประคองนายตนให้ถอยห่าง ขันทีหนึ่งในสองหยิบมีดสั้นในอกเสื้อขึันมา มือหนึ่งจับที่ผ้าผูกหน้าของร่างเล็กหมายกระตุกออก
“เดี๋ยว! ข้าจะเปิดผ้าที่ใบหน้ามันเอง”
เสียงสั่งเอ่ย ข้ารับใช้หนุ่มย่อกายเบี่ยงหลบอย่างรู้หน้าที่ ปล่อยให้ร่างอวบอิ่มก้าวมายืนข้างหน้าเด็กหญิงแทนตน
“ที่เจ้าใช้ผ้าผูกปิดหน้า คงเป็นเพราะอับอายใบหน้าตัวเองสินะ ข้าอยากจะเห็นจริงๆ ว่ามันจะอัปลักษณ์สักเพียงไหน”
จ้าวเหมยฮวายิ้มเย้ยให้แก่คำพูดเสียดสี ก่อนจะตอบกลับอีกฝ่ายด้วยน้ำเสียงแบบเดียวกัน
“จะอัปลักษณ์เพียงใด ก็คงไม่อาจเทียบได้กับความสกปรกในใจเจ้า”
เพียะ!
“ขนาดเวลาอย่างนี้ยังกล้ามาตีฝีปาก เจ้านี่มันเหมือนมารดาจริงๆ”
เจ้าของร่างน้อยรับรู้ถึงรสโลหิตในปาก ในใจคิดบวกหนี้แค้นนี้ไว้หมดสิ้น ดวงตาเด็กหญิงวาวโรจน์ดุจเปลวไฟ
“มาเริ่มกันดีกว่า ข้าอยากรู้นักว่ามารดาเจ้าจะทำหน้าเช่นใดยามเห็นเจ้าไม่มีลิ้น”
กล่าวจบนางก็ยกมือขึ้นจับผ้าสีขาวผืนบางบนใบหน้าเด็กหญิง แล้วออกแรงดึงหมายจะกระชากให้หลุด
ฟุ่บ!
ขันทีผู้จับร่างบางของจ้าวเหมยฮวากระตุกร่างสั่นสะท้านเมื่อมีปราณไร้ลักษณ์สายหนึ่งลอยปักทะลุเข้ากลางหน้าผาก รวดเร็วจนวิญญาณหลุดออกจากร่าง ยังไม่ทันเห็นด้วยซ้ำว่าเกิดอันใดขึ้นกับตน ยังไม่ทันจะกล่าวสิ่งใดต่อ ขันทีอีกคนผู้โชคร้ายมีนายผิดทำได้เพียงตกตะลึง ขณะนั้นก็มีกระบี่อ่อนสีเงินพุ่งเข้าสู่ลำคอ กระบี่นั้นทรงพลังจนไม่อาจปัดป้องหรือหลบหลีก
ว่านเสียนเฟยเห็นข้ารับใช้ตรงหน้าถูกกระบี่ปักเข้าทะลุลำคอชัดเจน หญิงสาวกรีดร้องในใจอย่างบ้าคลั่ง ยิ่งยามเห็นโลหิตสีแดงสดสาดกระเซ็นมาเปรอะเลอะใบหน้างาม นางก็ยิ่งขวัญผวา เงาร่างสูงใหญ่ของแม่ทัพจ้าวเคลื่อนไหวดุจสายลม ถลาเข้ามาอุ้มร่างเล็กที่ทรุดลงบนพื้นไว้ในอ้อมแขน แล้วเตะเท้าเหินไปยืนเคียงข้างฮูหยินตน
จ้าวเฟยเซียนรับร่างบุตรสาวจากมือสามี ดวงตานางทอประกายดุดัน ในยามนี้สองคนสามีภรรยาคล้ายจะประสานใจกัน หนึ่งปราณพุ่งทะลุใบหน้า อีกหนึ่งกระบี่ปักทะลุลำคอ
ว่านเสียนเฟยเปรียบเหมือนคนจมน้ำ ไม่อาจหายใจได้สะดวกนัก ดวงตาคู่สวยสอดส่ายสายตาเห็นทั้งคู่มองราวกับจะเข้ามาฉีกนางให้เป็นชิ้นๆ ใจยิ่งหวาดหวั่น ก่อนที่นางจะยกยิ้มดีใจ เมื่อมองเห็นพระวรกายสูงในชุดสีทองก้าวมา สีหน้ารีบแปรเปลี่ยนเป็นตื่นตระหนก ส่งเสียงร้องเรียกพระสวามีอย่างน่าสงสาร
“ฝ่าบาท... ฝ่าบาททรงช่วยหม่อมฉันด้วยเพคะ แม่ทัพจ้าวกับฮูหยินคิดจะฆ่าหม่อมฉันเพคะ”
อวี้หลางยืนมองพระสนมรักด้วยสายพระเนตรดุดัน นึกย้อนไปว่าตอนที่จิงหยูพาร่างอันบอบช้ำเต็มไปด้วยโลหิตมากราบทูล พระองค์ยังไม่อยากเชื่อด้วยซ้ำว่าสตรีตรงหน้าจะเหิมเกริมได้ขนาดนี้
“ขอพระราชทานอภัยเพคะ ฝ่าบาท... ทรงช่วยคุณหนูเหมยฮวาด้วย”
สองสามีภรรยาร้อนรนผุดลุกขึ้นยืน เมื่อเห็นนางกำนัลคนที่ให้ดูแลบุตรสาวกลับมาในสภาพเปื้อนโลหิต โดยไม่มีร่างบุตรสาวตนมาด้วย ฮ่องเต้ทอดพระเนตรสภาพนางกำนัล ในใจให้ร้อนดั่งไฟ ทรงตวาดถามทันที
“เกิดอะไรขึ้น ทำไมเจ้าเป็นแบบนี้ แล้วหลานฮวาเอ๋อร์เล่า”
“ทูลฝ่าบาท คุณหนูอยู่ที่ศาลาในอุทยานหลวงเพคะ ตอนนี้พระสนมเสียนเฟยกำลังจะตัดลิ้นคุณหนู...”
ประดุจสายฟ้าฟาดลงกลางใจ หมิงหลงแตะปลายเท้าใช้วิชาตัวเบามุ่งหน้าไปยังอุทยานหลวงทันที ตามด้วยเฟยเซียนและอวี้หลาง
เมื่อมาถึงแม่ทัพหนุ่มก็กัดกรามกรอด ภาพที่ปรากฏต่อสายตาคือภาพขันทีสองคนจับบุตรสาวเขากดไว้กับพื้น ในขณะที่นังสนมสารเลวนั่นตบหน้าฮวาเอ๋อร์ของเขา
ยิ่งเห็นบุตรีที่ตนเฝ้าทะนุถนอมมีโลหิตสีแดงฉานเต็มสองมือ ชุดตัวสวยที่นางสวมมีร่องรอยฉีกขาด ดวงตาคู่งามที่เขากับภรรยาเคยเห็นแต่ความสดใสนั้น ยามนี้มีน้ำตาคลออยู่เต็มสองข้าง ปราณบนฝ่ามือแม่ทัพพลันสะบัดออกไป พุ่งปักเป้าหมายกลางหน้าผากขันทีชั่วนั่นทันที
เฟยเซียนที่มักจะเป็นฝ่ายปรามสามี ยามนี้สะบัดกระบี่อ่อนข้างเอวเข้าใส่ขันทีอีกคนที่ถือมีดสั้นหันใส่บุตรสาวอย่างไม่ลังเล แววตาสาดประกายเหี้ยมเกรียม
‘กล้าหันมีดใส่ลูกข้า ต่อให้เจ้าตายสิบชาติก็ไม่พอชดเชย’
ในตอนแรกว่านเสียนเฟยยังหวั่นเกรงสองสามีภรรยา ยามนี้เห็นพระสวามีของตนมาในใจเริ่มยิ้มย่อง พวกมันกล้าสังหารคนของนาง นางจะให้มันสองคนได้ชดเชยอย่างสาสม
“ฝ่าบาท... พระองค์ลองทอดพระเนตรดูสิเพคะ ขนาดต่อหน้าพระพักตร์ พวกเขายังกล้าฆ่าคนได้ไม่เกรงกลัว ปล่อยให้กำเริบเสิบสานเยี่ยงนี้ต่อไปจะไม่ก่อกบฏกันหรือเพคะ”
เพียะ!
“ว้าย!”
ร่างอวบอิ่มของพระสนมว่านเสียนเฟยลงไปนอนกองกับพื้นด้วยแรงจากฝ่ามือโอรสสวรรค์ นางยกมือกุมใบหน้างดงามของตน ดวงตาแดงก่ำสบสายพระเนตรเกรี้ยวกราดดุดัน จนร่างบางถึงกับสั่นสะท้านไม่รู้ตัว
“เจ้ากล้าทำร้ายหลานเรา โดยไม่เห็นแก่หน้าเราแม้แต่น้อย ยังกล้าเอ่ยใส่ความน้องเขยกับน้องสาวเราอีกหรือ”
สุรเสียงทุ้มคำรามก้อง ว่านเสียนเฟยและนางกำนัลสะดุ้งร่างสะท้านเฮือก รีบคุกเข่าหมอบศีรษะร้องกันระงม
“หม่อมฉันผิดไปแล้วเพคะ ฝ่าบาททรงพระเมตตาด้วย หม่อมฉันเป็นผู้เสียหายนะเพคะ” มือขาวนวลจับขาผู้เป็นสวามี ก่อนจะเอ่ยทั้งน้ำตานองหน้า
อวี้หลางนิ่งเงียบขรึมไป
ฝ่ายหนึ่งก็หลานสาวน้องสาวสุดรัก อีกฝ่ายคือพระสนมที่ให้ความโปรดปราน อีกทั้งเบื้องหลังของสตรีนางนี้คือสกุลว่านที่มีหน้ามีตาในราชสำนักมิใช่น้อย
หากพระองค์ตัดสินไม่เป็นธรรมอาจเป็นที่ครหา ทว่าหากไม่ลงโทษสตรีผู้นี้แล้วไซร้ คงยากจะรักษาความสัมพันธ์พี่น้องเอาไว้ให้ดีได้ต่อไป
“ตามหมอหลวงมารักษาหลานฮวาเอ๋อร์ แล้วไปที่ท้องพระโรงหลวง ข้าจะไต่สวนเรื่องนี้เอง!”
งานเลี้ยงใกล้จบลงแล้ว เฟยเซียนกับจ้าวเหมยฮวาเตรียมจะขอตัวกลับ ด้วยสะใจที่หักหน้าคนแก่ได้สำเร็จไทเฮามองคนทั้งสองด้วยสายตาวาววับ พระนางไม่ยอมเป็นฝ่ายพ่ายแพ้เช่นนี้แน่ จึงได้ตรัสขึ้น “เหตุใดเจ้าจึงไม่ดีดพิณเหมือนคนอื่น แต่เลือกที่จะเป่าเซียวแทนเล่าคุณหนูจ้าว” จ้าวเหมยฮวายังคงมีรอยยิ้มน่าเอ็นดู แม้ในใจจะคิดระแวงอีกฝ่ายไม่น้อย หากนางอ้างว่าเพราะไม่อยากเล่นซ้ำให้จำเจ ไทเฮาก็คงยังจะหาเหตุมาให้ดีดอยู่ดี“ทูลไทเฮา หม่อมฉันนั้นไม่สันทัดการดีดพิณเพคะ จึงเกรงว่าคงทำได้ไม่ดีพอ หม่อมฉันจึงเปลี่ยนตามความถนัด” ไทเฮาคลี่ยิ้มเหยียด ก่อนจะเอ่ยต่อเสียงดังขึ้นอีก“ช่างน่าแปลกนัก เจ้าเป็นสตรีแต่กลับไม่ถนัดพิณ แล้วเจ้าเรียนรู้สิ่งใดมาจากอาจารย์เจ้าบ้างเล่า” “ทูลไทเฮา อาจารย์ของหม่อมฉันคือบิดากับมารดาเพคะแม้จะรู้ว่าอีกฝ่ายต้องการตีแผ่ตัวตนของนางให้ทุกคนคิดว่านางนั้นไร้การศึกษา แบบคุณหนูลูกผู้ดีที่อยู่ในเมืองหลวงเหล่านี้ แต่เด็กหญิงยังคงตอบด้วยรอยยิ้มและความมั่นใจบิดากับมารดาสั่งสอนอบรมนางมาอย่างดี และจ้าวเหมยฮวาก็มั่นใจว่าทุกสิ่งที่สืบทอดมา จะไม่แพ้ผู้ใดแน่นอนไทเฮากับเยว่จินหมิงปรากฏรอยยิ้มเหยียดหยามบ
งานเลี้ยงดำเนินมาระยะหนึ่งแล้ว บรรยากาศเต็มไปด้วยความครื้นเครง จู่ๆ ไทเฮาก็เอ่ยขึ้นด้วยสุ้มเสียงดุจจะโอ้อวด“จินหมิง คุณหนูไป๋ ได้ยินว่าพวกเจ้าร่ำเรียนการดีดพิณมา สามารถบรรเลงเพลงได้ไพเราะจับใจนัก พอจะแสดงให้ยายแก่คนนี้ได้เปิดหูเปิดตาบ้างได้หรือไม่” เยว่จินหมิงยิ้มเอียงอายน้อยๆ ทว่าใบหน้ามีความภูมิใจยิ่ง นางมั่นใจในฝีมือตนเองมาก แม้แต่อาจารย์ที่มาสอนต่างก็ชมเป็นเสียงเดียวกัน ว่านางมีฝีมือเป็นหนึ่งในบรรดาเด็กรุ่นเดียวกัน“หากเสด็จย่าไม่รังเกียจฝีมืออันต่ำต้อย จินหมิงก็ยินดีเพคะ” ไทเฮาพยักหน้ายิ้มน้อยๆ อย่างพอใจในคำตอบ ก่อนจะหันมาตรัสถามต่อ “แล้วคุณหนูไป๋กับคุณหนูจ้าวล่ะ” จ้าวเหมยฮวาคลี่ยิ้มบางบนใบหน้า ในใจนั้นรู้ดีกว่าใคร ไทเฮาทรงต้องการจะเปรียบเทียบให้ผู้คนดูว่านางนั้นด้อยกว่าเยว่จินหมิงสินะ“ได้เพคะ” พอไป๋หลินอิงกับจ้าวเหมยฮวารับคำ นางกำนัลคนสนิทไทเฮาก็ยกพิณสีดำตัวยาวมาตั้งกลางเวทีทันที คล้ายจะรอท่าอยู่แล้วกระนั้นเยว่จินหมิงก้าวไปนั่งหน้าเวทีอย่างเรียบร้อย เด็กหญิงยกมือขึ้นกรีดนิ้วบรรเลงเพลงไปตามสาย เกิดเสียงกังวานหวานปนเศร้าไปทั่วบริเวณ“อา... นี่มันเพลง ‘ความฝันของผีเสื้อ’ นี่
“ฮูหยินจ้าวกับคุณหนูจ้าวมาถึงแล้ว” เสียงร้องประกาศดังกังวาน ทุกคนต่างพร้อมใจกันหันไปมอง เพราะคุณหนูตระกูลจ้าวนั้นต่างก็รู้ดีว่านางไม่เคยปรากฏตัวต่อหน้าผู้ใด แม้แต่ในงานเลี้ยงของฮ่องเต้ครั้งก่อนๆ แม่ทัพก็ไม่เคยพาบุตรีไปด้วย อาจเพราะความอัปลักษณ์ของนางกระมัง ทำให้บิดาอับอายจนไม่กล้าให้ออกมาพบปะผู้คนเรือนร่างระหงของเฟยเซียนในชุดสีม่วงเข้มขับเน้นทรวดทรงอรชรเดินเข้ามาในงานอย่างสง่าผ่าเผย ก่อนจะเดินไปยังโต๊ะที่ฮ่องเต้กับไทเฮาประทับ“ถวายพระพรฝ่าบาท ถวายพระพรไทเฮาเพคะ” อวี้หลางเห็นน้องสาวก้าวเข้ามาย่อกายทำความเคารพก็มีรอยยิ้มในพระพักตร์กว้าง ก่อนจะรีบมาพยุงร่างอรชรให้ลุกนั่ง“ไม่ต้องมากพิธีไป แค่เจ้ามาพี่ก็ดีใจแล้ว” ฮ่องเต้ตรัสสุรเสียงยินดี แตกต่างจากไทเฮาที่นั่งพระพักตร์ตึงด้วยความไม่พอใจ ที่เห็นคนตรงหน้าทำความเคารพพระนางคล้ายจะให้ผ่านๆ ไปทว่าแม้จะกริ้วอีกฝ่ายเพียงใดก็ไม่สามารถทำอะไรสตรีนางนี้ได้ ไทเฮาจึงได้แต่เก็บความไม่พอใจไว้ในใจ รอเวลาเอาคืนในภายหลัง“ไหนเล่าบุตรีเจ้า ฮูหยินจ้าว” ไทเฮาแสร้งตรัสขึ้นเมื่อไม่เห็นบุตรสาวของอีกฝ่ายในสายตา ในใจมั่นใจว่านางคงไม่กล้าให้บุตรสาวมาปรากฏตัวในง
ยามเช้าตรู่ในวันงานเลี้ยงต้อนรับไทเฮาเสด็จกลับวังจ้าวเหมยฮวาถูกผู้เป็นมารดาลากมาขัดสีฉวีวรรณแต่เช้า ด้วยเหตุผลที่ว่าชื่อเสียงของตระกูลจ้าวนั้นย่ำแย่มาตลอด เพราะข่าวลือที่บิดาปล่อยเกี่ยวกับตัวนาง ดังนั้นในฐานะที่นางเป็นลูกหลานของตระกูลนี้ จึงควรกอบกู้ชื่อเสียงที่เสียไปกลับคืนมา ลบคำเล่าลือเสียหายเหล่านั้นเสียให้หมดสิ้น แน่นอนว่าผู้เป็นบิดาย่อมไม่เห็นด้วย และพยายามขัดขวางอย่างสุดชีวิตแล้วเพื่อไม่ให้สามีมาขัดขวางนางกับบุตรสาวได้ ผู้เป็นฮูหยินจึงจับกรอกยาสามทิวาใส่ปากอีกฝ่าย คาดว่ากว่าจะตื่นก็คงอีกสามวันโน่นแหละอา... แม่ทัพไร้พ่าย บิดาผู้น่าสงสาร แม้แต่ยามนอนเขาก็ยังต้องรบกับองค์ชายสามในความฝันตลอดเวลาตอนเช้าถูกลากไปแช่น้ำยาสมุนไพรสูตรเด็ดที่มารดาเป็นผู้ปรุงเองกับมือ ยามสายต้องมานอนให้จิงหยูนวดน้ำมันหอมให้ โดยน้ำมันหอมนี้มารดาก็เป็นผู้ปรุงเอง จากสมุนไพรทั้งหลายแหล่ที่คัดสรรมาอย่างดี หลังเสร็จกระบวนการเหล่านั้น ก็ถูกจับสวมชุดอลังการงานสร้าง โดยชุดที่มารดาเลือกให้นางเป็นชุดผ้านุ่มเบาสบายสีขาวสะอาดตา ปักลวดลายเหมยฮวาสีแดงสดถักถอขอบดิ้นด้วยด้ายสีทอง ทำให้ดูน่ารักงดงามและหรูหรายิ่งจ้าวเฟย
ณ จวนไร้พ่ายแห่งสกุลจ้าวจ้าวเฟยเซียนนอนเอกเขนกอยู่บนเตียงนอน อิริยาบถล้วนเต็มไปด้วยความเกียจคร้าน ในมือนางถือเทียบเชิญของฮองเฮาอยู่ใบหน้างดงามนั้นมีรอยยิ้มฉายอยู่ไม่ขาด ทว่าแววตากลับครุ่นคิด ไทเฮาทรงมีแผนอะไรอีกไม่อาจรู้ได้ แต่คิดว่าคงไม่ใช่เรื่องดีสำหรับนางแน่นอน“ฮวาเอ๋อร์ เดี๋ยวเราต้องไปร่วมงานเลี้ยงต้อนรับที่ไทเฮาเสด็จกลับวังกันนะลูก” นางหันไปบอกบุตรี จ้าวเหมยฮวาละสายตาจากตำราสมุนไพรในมือ พยักหน้ารับคำมารดาเสียงใส“เจ้าค่ะ” ‘ไทเฮาหรือ นางยังไม่เคยเจอไทเฮากับฮองเฮาเลย ไม่รู้ว่าจะเป็นคนตลกเหมือนเสด็จลุงหรือไม่นะ’ “เจ้าคือจินหมิงงั้นหรือ อือ... โตขึ้นมากเลยทีเดียว” ไทเฮามองสำรวจเด็กหญิงตรงหน้าอยู่เนิ่นนานพลางเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน“จินหมิง ถวายพระพรไทเฮาเพคะ” น้ำเสียงใสกล่าวอย่างแช่มช้อย ร่างเล็กนั้นย่อกายทำความเคารพได้งดงามตามแบบแผน จนดูแล้วไม่น่าเชื่อว่าจะอายุเพียงเก้าขวบ“ลุกขึ้นๆ ไทเฮาอะไรกัน อีกไม่กี่หนาวเจ้าก็จะได้เป็นชายารัชทายาทแล้ว ต้องเรียกเสด็จย่าสิถึงจะถูก” ผู้สูงวัยเอื้อมมือไปพยุงอีกฝ่าย กล่าวด้วยน้ำเสียงเอ็นดูไม่น้อย นี่สิถึงจะคู่ควรกับหลานชายของพระองค์ สาย
วังหลวงในวันนี้คึกคักยิ่ง เหตุเพราะเป็นวันที่ไทเฮากับฮองเฮาจะเสด็จกลับจากการไปถือศีลกินเจที่อารามหลวงเฉินซานทุกคนล้วนเตรียมตัวต้อนรับเสด็จไม่ให้ขาดตกบกพร่อง เนื่องจากไทเฮานั้นเป็นคนเข้มงวดยิ่ง จึงไม่มีใครอยากให้เกิดสิ่งผิดพลาดขึ้นไม่เว้นแม้แต่อวี้หลางฮ่องเต้ ที่ยามนี้คืนสติแล้วจากผงสามทิวาของผู้เป็นน้องสาว พระองค์จึงมายืนรอรับพระมารดาอยู่ลานด้านหน้าครั้นถึงเวลา ผู้คนก็เห็นขบวนรถม้าแล่นเข้ามาจากประตูวังด้านหน้า รถม้าคันใหญ่ตกแต่งหรูหรางดงามสมฐานะเคลื่อนเข้ามาจอดอย่างนิ่มนวล ก่อนที่คนในรถม้าจะแหวกม่าน ผู้ที่ออกมานั้นเป็นสตรีร่างบางระหง ดวงหน้างามสวยสะคราญตา รอยยิ้มบางแต่งแต้มบนใบหน้า ทำให้นางแลดูอบอุ่น ทว่าท่วงท่าสง่างามสูงศักดิ์เหนือสตรีใดนางคือเยว่ฮองเฮา ฮองเฮาแห่งแคว้นต้าเฉิน มารดาขององค์ชายสามนั่นเอง ร่างระหงหันกายไปทางรถม้า ก่อนจะยื่นมือขาวดุจหยวกกล้วยให้คนในรถม้าจับ มือขาวที่มีรอยย่นบ่งบอกถึงอายุเจ้าของยื่นออกมาจากในรถม้า ก่อนเจ้าของร่างจะปรากฏกายร่างสง่าแม้เลยวัยสาวของไทเฮาก้าวลงมายืนข้างร่างระหงของเยว่ฮองเฮา ดวงตาคมกริบแบบคนผ่านโลกมามากกวาดมองไปรอบด้าน ก่อนที่เสียงแสดงความเ