หลังจากบ่ายลมพัดแรงโหมกระหน่ำ เมฆครึ้มดำรวมตัวกันบนอากาศในบริเวณตำหนักหลิงเซียว พลอยทำให้คนรู้สึกอึดอัด หายใจไม่ทั่วท้องกุ้ยเฟยปวดหัวอย่างรุนแรง กลับไม่มียาบรรเทาความเจ็บปวดนี้นางนอนบนเตียง ร้องโอดโอยไม่หยุดดีที่ไม่นานนัก นางก็ไม่ปวดหัวแล้ว แต่กลับแน่นหน้าอกอย่างไม่มีสาเหตุ ทรมานอย่างยิ่งนางไม่มีอารมณ์รับชมการแสดงของคณะงิ้วอีกต่อไปแต่เหล่าข้าหลวงกลับรับชมอย่างใจจดใจจ่อเจ้านายได้รับความโปรดปราน เหล่าคนรับใช้ก็สุขสบายณ ตำหนักหย่งเหอ ซุนหมัวมัวเริ่มพร่ำบ่นอีก“คนในตำหนักหลิงเซียวกำลังดูการแสดงงิ้ว แต่เรากลับต้องมาปัดกวาดเช็ดถูอยู่ที่นี่ พูดออกไป ผู้ใดจะเชื่อว่าพวกเราคือข้ารับใช้ในตำหนักของฮองเฮา?”ไม่เพียงแค่ตำหนักหย่งเหอ เหล่านางสนมและคนรับใช้ของแต่ละตำหนัก ต่างก็อิจฉาตำหนักหลิงเซียวกันทั้งนั้นหนิงเฟยมานั่งเล่นพูดคุยกับเสียนเฟย“ท่านพี่เสียนเฟย คนเรานี่วาสนาต่างกันเหลือเกิน ข้าไม่เป็นอะไร แต่ท่านพี่กับกุ้ยเฟย ต่างก็คล้ายคลึงกับหรงเฟย ไฉนไม่เห็นฝ่าบาทโปรดปรานเจ้าเช่นนั้นบ้างล่ะ?”เสียนเฟยไม่คิดเช่นนั้น“ฝ่าบาทจะทรงโปรดปรานใคร ก็ขึ้นอยู่กับความพอใจของฝ่าบาท”หนิงเฟยย
กุ้ยเฟยไม่คิดเลยว่า ฝ่าบาทจะตามสืบเรื่องของนางมาตลอดหลายวันที่ผ่านมา ฝ่าบาทดูโปรดปรานนางมากกว่าเดิมมิใช่หรือ?วันนี้ยังเชิญคณะงิ้วเข้าวังมาแสดงให้นางรับชม“ฝ่าบาท หม่อมฉัน…” กุ้ยเฟยยังอยากพูดอะไรบางอย่าง แต่ก็สะอึกพูดอะไรไม่ออกเพราะสิ่งที่สายตาของนางเห็นในตอนนี้ คือสีหน้าเย็นชาสุดขีดของชายหนุ่มเขาสืบเจอหลักฐานทั้งหมดแล้ว หากนางยังแก้ตัวต่อไปไม่ยอมรับ ก็มีแต่จะทำให้เขาไม่พอใจและผิดหวังมากกว่าเดิมอีกอย่าง เรื่องมันเกิดขึ้นอย่างกะทันหัน นางเหมือนตกจากสวรรค์ลงไปยังก้นเหว ไม่มีเวลาคิดหาวิธีรับมือด้วยซ้ำเฟิ่งจิ่วเหยียนประสานมือคารวะเซียวอวี้“ฝ่าบาท เรื่องที่กุ้ยเฟยร่วมมือกับราชทูต มีหลักฐานครบถ้วนทุกอย่าง“แต่ถึงอย่างไรนางก็เป็นสนมคนโปรดของท่าน หากเรื่องนี้ถูกแพร่ออกไป คงไม่เป็นผลดีแก่ความมั่นคงทางทหาร ดังนั้น หม่อมฉันแนะนำว่า ควรหาข้ออ้างอย่างอื่น นำตัวนางเข้าตำหนักเย็น”ก่อนความจริงของคดีเวยเฉิยจะถูกเปิดเผย นางจะไม่ยอมให้กุ้ยเฟยตายแบบง่าย ๆ แน่นอน อีกอย่างเซียวอวี้ก็น่าจะยังทำใจไม่ได้ดังนั้น สู้นางสร้างบุญคุณให้อีกฝ่ายดีกว่านางต้องการหาบันทึกของจ้าวเฉียนในตำหนักหลิงเซีย
ชุนเหอยืนอยู่นอกห้องทรงพระอักษร เดิมคิดว่าคืนนี้พระนางจะได้ถวายการรับใช้ฝ่าบาท ตัวนางเองย่อมได้รับรางวัลไปด้วย นึกไม่ถึงว่าฝ่าบาทจะมีพระดำรัสสั่งให้ลดตำแหน่งพระนางเป็นกุ้ยเหริน ทั้งยังให้ย้ายออกจากตำหนักหลิงเซียวที่เป็นสัญลักษณ์ของความโปรดปรานอย่างล้นเหลืออีกเหตุใดจึงเป็นเช่นนี้...ชุนเหอที่ยังอยู่ในสภาวะตื่นตระหนกคุกเข่าลงอย่างรีบร้อน หัวหน้าขันทีหลิวซื่อเหลียงเดินออกมาประกาศพระราชดำรัสด้วยเสียงก้องกังวาล“ฝ่าบาทมีรับสั่ง ให้หลิงกุ้ยเหรินย้ายไปพำนักที่ตำหนักชิงซวี ข้าหลวงเดิมของตำหนักหลิงเซียวจะถูดจัดสรรไปยังตำหนักอื่น ไม่อนุญาตให้ติดตามไปด้วย!”ตำหนักชิงซวี?นั่นแทบไม่ต่างอะไรกับการไปตำหนักเย็นเลยเชียวนะ!ครั้นชุนเหอฟังพระประสงค์ของฝ่าบาทเสร็จ สมองของนางก็มืดมิดไปหมดพระนางถูกลงโทษ แม้แต่ข้าหลวงเหล่านี้ก็ยังถูกแยกย้ายกันไปคนละทิศคนละทาง เห็นได้ชัดว่าฮ่องเต้ต้องการตัดแขนขาของพระนาง!อารมณ์ตื่นตระหนก สับสน หวาดกลัว...ความรู้สึกกระวนกระวายใจทุกรูปแบบล้วนผสมปนเปกันไปหมดท้องฟ้ายามราตรีปรากฎฟ้าแล่บฟ้าร้อง พายุฝนพลันซัดโหมลงมาชุนเหอเงยหน้ามองอย่างระมัดระวัง กลับเห็นพระนางนั่งค
คนในตำหนักหลิงเซียวต่างหวาดกลัวนางข้าหลวงหลายคนมาล้อมวงถกเถียงพูดคุยกันด้วยสีหน้าเป็นกังวล“พระนางกลับคืนสู่ตำแหน่งเดิมไม่ได้แล้วจริง ๆ หรือ?”“ดูท่าจะจริง! เมื่อครู่พี่ชุนเหอกลับมาคนเดียว ได้ยินว่าพระนางถูกส่งไปตำหนักชิงซวีโดยไม่ให้นำสิ่งใดติดตัวไปด้วยเลย!”ในขณะเดียวกัน ณ ตำหนักชิงซวีหลังจากหลิงเยี่ยนเอ๋อร์ถูกนำตัวมาส่ง ก็มีข้าหลวงมาคอยปรนนิบัติ ทว่าล้วนไม่ใช่คนที่นางเรียกใช้อยู่เป็นประจำ แม้แต่ชุนเหอก็ไม่อยู่ที่นี่!การที่คนอื่นไม่อาจติดตามนางมาที่ตำหนักชิงซวีได้นั้นเป็นเรื่องปกติ ทว่าชุนเหอเป็นสาวใช้ข้างกายของนาง มีความสัมพันธ์นายบ่าวกับนางอย่างเหนียวแน่น!หลิงเยี่ยนเอ๋อร์รู้สึกกระวนกระวายขึ้นมาทันทีฝ่าบาททรงพิโรธนางแล้วจริง ๆ ทรงส่งคนข้างกายนางทั้งหมดให้แยกย้ายกันไป ทิ้งให้นางอยู่ที่นี่อย่างโดดเดี่ยว ไร้คนให้ใช้งาน...เมื่อตระหนักได้ถึงความรุนแรงของบทลงโทษในครั้งนี้ หลิงเยี่ยนเอ๋อร์สะบัดศีรษะ พุ่งตรงไปข้างประตูพร้อมตะโกนเสียงดัง“ข้าต้องการเข้าเฝ้าฝ่าบาท!“ฝ่าบาท! หม่อมฉันสำนึกผิดแล้วเพคะ”ผ่านไปไม่นาน เสียงของนางก็แหบแห้งแต่นางก็ยังไม่ยอมแพ้ นางพยายามฝ่าออกไปท่าม
เหลียนซวงนำพระราชเสาวนีย์ไปยังตำหนักหลิงเซียว ชุนเหอนำกลุ่มข้าหลวงมารับ แสร้งแสดงท่าทีเคารพนบนอบ ทว่าในใจกลับตรงกันข้ามพวกเขาส่วนใหญ่คิดว่ากุ้ยเฟยได้รับความโปรดปรานจากฝ่าบาทอย่างลึกซึ้ง ถึงแม้จะถูกลงโทษให้ไปอยู่ตำหนักเย็น อีกไม่นานย่อมสามารถกลับมาอยู่ตำแหน่งสูงส่งเช่นเดิมได้ฮองเฮาทำพฤติกรรมคอยซ้ำเติมเช่นนี้ ไม่เหลือทางถอยให้ตนเองเอาเสียเลยเหลียนซวงไม่สนใจว่าพวกเขาจะคิดยังไง นางแสดงมาดอย่างที่นางข้าหลวงข้างกายฮองเฮาควรจะมี แล้วออกคำสั่ง“ฮองเฮาทรงมีพระราชเสาวนีย์ ช่วงนี้มีคดีลักเล็กขโมยน้อยในวังอยู่บ่อยครั้ง ตำหนักหลิงเซียวเกิดเรื่องบ่อยที่สุด ทรงรับสั่งให้ย้ายพวกเจ้าทั้งหมดไปยังกรมราชทัณฑ์ ไม่อนุญาตให้พกสิ่งของใดติดตัวไปทั้งสิ้น! นอกจากนี้หากแจ้งเบาะแสจะมีรางวัลให้!”กรมราชทัณฑ์?นั่นเป็นที่ไต่สวนข้าหลวงที่ทำความผิดร้ายแรง!พวกเขาทำอะไรผิดกัน?กุ้ยเฟยเพิ่งจะถูกลงโทษไป ฮองเฮาก็ตามมาสร้างความลำบากให้กับข้ารับใช้อย่างพวกเขาเสียแล้ว ไม่มีมาดของมารดาแผ่นดินแม้แต่น้อย กลับเห็นได้ชัดว่าเป็นเพียงกิ้งก่าได้ทองเท่านั้น!เหล่าข้าหลวงต่างมองไปที่ชุนเหอเมื่อพระนางไม่อยู่ ชุนเหอก็เป็นใ
เฟิ่งจิ่วเหยียนคว้าตัวเหลียนซวงไว้ แววตาคมกริบฉายแววอันตราย“อย่าส่งเสียง”“แต่ว่านี่...นี่ท่านถูกคนวางยาพิษชัด ๆ นี่เพคะ!” เหลียนซวงตกใจกลัวจนสติเตลิดเปิดเปิงนี่ไม่ควรเรียกหมอหลวงมาหรือไร?เฟิ่งจิ่วเหยียนใช้ผ้าเช็ดหน้าเช็ดคราบเลือดบริเวณข้างริมฝีปาก สายตาลึกล้ำ“ไม่ถึงตายหรอก ข้ารู้ตัวเองดี”พิษที่นางโดนนี้คือ‘พิษแดนฝัน’ที่เซียวอวี้เป็นคนวางหากเรียกหมอหลวงมาย่อมมีความเสี่ยงที่จะเป็นการเปิดเผยร่องรอยออกไปปกติพิษนี้จะกำเริบทุกสิบวันครั้งนี้ยังไม่ถึงสิบวันก็กำเริบแล้ว ต้องเป็นเพราะก่อนหน้านี้ที่นางใช้ยาถอนพิษในปริมาณน้อยเกินไปเป็นแน่สายตานิ่งลึกของเฟิ่งจิ่วเหยียนมองไปยังข้างหน้าต่างไม่รู้ว่าซ่งหลีปรุงยาถอนพิษสำเร็จหรือไม่...ณ สนามม้าหลวงขณะที่เซียวอวี้และรุ่ยอ๋องกำลังขี่ม้ายิงธนูกันอยู่นั้น หลิวซื่อเหลียงก็เดินมาด้านหน้า“ฝ่าบาท คนของทางตำหนักชิงซวีมาบอกว่า กุ้ย... หลิงกุ้ยเหรินอดอาหารประท้วง ตะโกนลั่นว่าจะขอเข้าเฝ้าฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ”รุ่ยอ๋องหันไปมองฮ่องเต้ที่ทรงประทับอยู่ข้าง ๆ เห็นเพียงสีหน้าที่เต็มไปด้วยความทะมึนมืดของเขาเซียวอวี้ง้างสายคันธนูในมือจนสุด สีหน้าท
ถึงแม้จะเคยมาแค่ครั้งเดียว แต่มองแค่แว่บเดียวเฟิ่งจิ่วเหยียนก็จำได้แล้ว ที่นี่คือสถานที่ที่นางประมือกับเซียวอวี้เป็นครั้งที่สอง ห้องลับใต้ดินของตำหนักหวาชิง!เตียงหยกหลังนั้นยังอยู่ที่นี่ยามนั้นเซียวอวี้นั่งขับพิษอยู่บนเตียงหยกหลังนี้แม้กระทั่งบนกำแพงยังมีร่องรอยจากตอนที่พวกเขาต่อสู้กันทิ้งเอาไว้ดังนั้นไม่ผิดแน่ที่นี่ก็คือตำหนักหวาชิง!เฟิ่งจิ่วเหยียนขมวดคิ้วแน่น ทว่าเหตุใดตำหนักหลิงเซียวถึงได้มีทางเชื่อมทะลุถึงตำหนักหวาชิงได้?ถึงแม้นางจะสงสัยเรื่องนี้ แต่เรื่องที่สำคัญที่สุดยังคงเป็นการหาบันทึกของจ้าวเฉียนให้เจอด้วยเหตุนี้นางจึงรีบออกจากที่นี่ โดยเดินย้อนกลับไปทางเดิมตำแหน่งที่จ้าวเฉียนซ่อนบันทึกอำพรางไว้ได้ดีมากจนถึงยามนี้ยังไม่เจอเบาะแสเลยแม้แต่น้อย ราวกับการงมเข็มในมหาสมุทรเลยทีเดียวทว่าเฟิ่งจิ่วเหยียนเป็นใครกัน?ไม่ว่าความหวังจะเลือนรางขนาดไหนก็ต้องค้นหาต่อไป ไม่มีทางยอมแพ้ง่าย ๆ โดยเด็ดขาดหลังจากผ่านไปสี่คืน ในที่สุดนางก็เจอบันทึกอยู่ใต้แผ่นอิฐแผ่นหนึ่งที่กองฟืนมุมหนึ่งในห้องครัวเล็กในบันทึกฉบับนี้จดเรื่องที่จ้าวเฉียนทำงานให้หลิงเยี่ยนเอ๋อร์ตลอดหลายปีมานี
เฟิ่งจิ่วเหยียนออกจากตำหนักชิงซวี ตรงไปที่กรมราชทัณฑ์ ห้องทรมานของกรมราชทัณฑ์ทั้งมืดและชื้น พวกหนูชื่นชอบนัก มวลอากาศอวลกลิ่นเหม็นเน่าและคาวโลหิต ชุนเหอและพวกข้าหลวงแม้ถูกจองจำ ทว่าไร้การถูกสอบสวนใด ๆ แม้วันนี้ถูกกุมตัวสู่ห้องทรมาน ใจนางก็มิสั่นสะท้าน เสมือนรู้ชัดว่าไม่มีผู้ใดกล้าทำร้ายตน เพียงได้เห็นหน้าของฮองเฮา สีหน้าของนางพลันแปรเปลี่ยน “บ่าวถวายบังคมฮองเฮา!” ชุนเหอโค้งคำนับ รักษากิริยาแบบสาวใช้ในตำหนักหลิงเซียว ไม่นอบน้อมหรือเย่อหยิ่ง ในห้องทรมานนี้มีเพียงนางสองคน เฟิ่งจิ่วเหยียนยืนในเงามืด ใบหน้ามืดครึ้มยากประเมิน นางโยนสำเนาบันทึกของจ้าวเฉียนใส่ชุนเหอ “ดูเอง” ชุนเหอไม่ทราบเหตุผล แต่เปิดมันด้วยความระแวดระวัง หลังจากอ่านเนื้อหาของสำเนาบันทึกจบ สีหน้าของชุนเหอเปลี่ยนไปอีกครา จ้าวเฉียนบันทึกเรื่องเหล่านี้ไว้ตั้งแต่เมื่อใด! เขาต้องการกระทำสิ่งใด! อีกทั้ง สิ่งนี้ไปอยู่ในมือฮองเฮาได้อย่างไร... ชุนเหอวางตัวอึดอัด เงยหน้าจับจ้องไปที่เฟิ่งจิ่วเหยียน “ฮองเฮา บ่าว บ่าวไม่รู้ว่ามันคืออะไร”
กล่าวถึงทางด้านรุ่ยอ๋อง เมื่อได้รับข่าวของเฟิ่งจิ่วเหยียน ก็รีบร้อนจะมุ่งหน้าไปที่เป่ยเยี่ยนโดยเร็วหร่วนฝูอวี้มาพบกับเขากลางทาง ก็เอ่ยตัดพ้อกับเขา“ตอนที่ข้ากลับไปถึงหนานเจียง อาการป่วยของอาจารย์ก็ไม่มีปัญหาแล้ว อาจารย์ท่านก็คิดแต่จะให้ข้าสืบทอดวิชา ต้องการให้ข้าอยู่ที่นั่น“โชคดีที่คนของเจ้ามา มิเช่นนั้นข้าคงไปไหนไม่ได้จริง ๆ“ใช่แล้ว ฮ่องเต้ฉีทรงถูกจับไปที่เป่ยเยี่นจริงหรือ?”สีหน้าของรุ่ยอ๋องดูคร่ำเคร่ง“ตามที่ได้ยินมาเป็นเช่นนั้น”หร่วนฝูอวี้แค่นเสียงเย้ยหยัน“เขามิใช่อวดอ้างว่าตนมีวิทยายุทธ์สูงส่งหรอกหรือ ข้างกายก็มีองครักษ์คุ้มกันตั้งมากมาย เหตุใดถึงตกไปอยู่ในมือของชาวเป่ยเยี่ยนได้เล่า?”หากอ่อนแอเพียงนี้ แล้วจะปกป้องซูฮ่วนได้อย่างไร?กลับกลายเป็นซูฮ่วนต้องปกป้องเขาแล้วทว่านางก็รู้ว่ารุ่ยอ๋องมีความสัมพันธ์และมิตรภาพที่ลึกซึ้งต่อฮ่องเต้ จึงเอ่ยปลอบเขา: “วางใจเถอะ ในเมื่อซูฮ่วนไปถึงเป่ยเยี่ยนแล้ว ก็คงไม่มีปัญหาใหญ่เกิดขึ้นเป็นแน่”รุ่ยอ๋องพยักหน้า ทว่าความกังวลที่ปรากฏบนหว่างคิ้ว แทบจะกลืนกินความสงบนิ่งอันน้อยนิดของเขาไปหมดขณะที่หร่วนฝูอวี้กำลังลำบากใจไม่รู้ควรเอ่ยสิ
การลังเลของอาจือ หาใช่ว่ายังคงต้องการจะเป็นสนมของฮ่องเต้ฉีจริง ๆน้ำเสียงของนางสั่นเครือ เอ่ยอย่างยากลำบาก“บ่าว...บ่าวไม่ต้องการเป็นสาวใช้”ขณะที่เฟิ่งจิ่วเหยียนคิดจะเอ่ยบางอย่าง เซียวอวี้ก็เอ่ยออกมาอย่างเด็ดขาด“เราจะให้คนส่งเจ้าไปหนานฉี พร้อมกับจะมอบเงินให้เจ้าหนึ่งหมื่นตำลึง”เมื่อคำพูดนี้เอ่ยออกมา ก็เท่ากับไม่ให้นางเข้าวังอีกต่อไปถึงแม้อาจือจะรู้สึกผิดหวังอยู่บ้าง ทว่านี่ก็เป็นผลประโยชน์ที่ดีที่สุดที่สามารถไขว่คว้าได้นางรู้ดีว่า หากปรารถนาจะได้มากกว่านี้ จุดจบของนางจะน่าเศร้าอย่างมาก“เพคะ บ่าวขอบพระทัย...”จู่ ๆ เฟิ่งจิ่วเหยียนก็เอ่ยเสริมอีกประโยคหนึ่ง“เงินหนึ่งหมื่นตำลึง ทั้งเป็นการตอบแทนบุญคุณ และยังเป็นค่าปิดปากด้วย”แววตาของนางดูเหมือนสงบไร้คลื่น แท้จริงแล้วกลับซ่อนความเฉียบคมหลังจากอาจือประสานกับสายตานั้น ก็เข้าใจความหมายของการเตือนในนั้นทันทีก็จริงผู้นำแคว้นหนึ่งถูกจับตัวไป ก็คงไม่ต้องการให้ผู้อื่นรู้เรื่องนี้ โดยเฉพาะรายละเอียดของเหตุการณ์ เพราะนี่จะทำลายเกียรติของจักรพรรดิ“เพคะ บ่าวจะต้องปิดปากสนิทอย่างแน่นอน”ภายนอกห้องหยิ่นลิ่วดึงตัวอู๋ไป๋มาและถา
เฟิ่งจิ่วเหยียนรู้เพียงว่าเซียวอวี้ถูกจับตัวมาที่เป่ยเยี่ยน ทว่าไม่รู้ชัดเจนว่าเขาพบเจอสิ่งใดบ้าง โดยเฉพาะการตามรังควานขององค์หญิงเซี่ยนอี๋ ตอนนี้ยังมีสาวใช้อาจือโผล่มาอีก นางจึงอดคิดมากไม่ได้“คนผู้นี้เป็นใคร?” นางถามเซียวอวี้ตรง ๆเซียวอวี้มีสีหน้าเคร่งขรึม มองไปข้างหน้า“ตอนเราถูกขังอยู่ที่จวนองค์หญิง โชคดีที่ได้นางช่วยเหลือ”เฟิ่งจิ่วเหยียนนึกถึงพู่หยกนั่น จึงถามต่อ: “พู่หยกนั่น ก็คงเป็นนางที่ขายไปกระมัง”เซียวอวี้มิได้ปฏิเสธขณะเดียวกันก็รู้สึกประหลาดใจ นึกไม่ถึงว่านางจะเห็นพู่หยกนั่นจริง ๆมิน่าเล่านางถึงมาที่จวนองค์หญิงได้ทันเวลาเฟิ่งจิ่วเหยียนมิใช่คนใจคอคับแคบ นางจึงเสนอความเห็นออกมาตรง ๆ“ไปพบนางเถิด หม่อมฉันจะไปกับท่าน”นางคิดจะไปขอบใจด้วยตัวเองเซียวอวี้กลับลังเลไม่กล้าเอ่ย“เราไปคนเดียว...ช่างเถอะ พวกเราไปด้วยกัน”เฟิ่งจิ่วเหยียนสังเกตเห็นท่าทีเปลี่ยนไปเล็กน้อยของเขา จึงมองเขาอย่างจริงจัง พลางเอ่ยกึ่งหยอกล้อ: “ทำไมเพคะ มีสิ่งใดปิดบังหม่อมฉันหรือ?”หลังจากเซียวอวี้รีรออยู่ครู่หนึ่ง ดูเหมือนจะปล่อยเลยตามเลย พร้อมเอ่ยเบา ๆ “เพื่อให้สาวใช้ผู้นั้นรับปากที่จะช่ว
องค์ชายสี่มองไปที่เซียวอวี้อย่างงวยงง เขาหลุดปากถามโดยไม่ทันคิด “เป็นไปได้อย่างไร...พวกเจ้า...มีทหารเพียงสามพันนายมิใช่หรือ...และพวกเจ้ารู้ได้อย่างไรว่า ฮ่องเต้ฉีถูกคุมขังอยู่ใน...” เขามองเฟิ่งจิ่วเหยียนอย่างร้อนรน ราวกับนางได้ทรยศต่อตนเอง เฟิ่งจิ่วเหยียนเอ่ยอย่างไม่แสดงสีหน้าใด ๆ “ข้าไม่เคยบอกว่านำคนมาเพียงสามพัน เป็นองค์ชายที่เข้าใจผิดเอง” ที่ปรึกษาข้างกายขององค์ชายสี่เป็นคนแรกที่ตอบสนอง รีบลดเสียงเอ่ยเตือน “องค์ชาย จักปล่อยพวกเขาไปไม่ได้พ่ะย่ะค่ะ” องค์ชายสี่ได้เตรียมการไว้แล้วเช่นกัน เขาจึงออกคำสั่งทันที ก็มีทหารกลุ่มหนึ่งเคลื่อนตัวออกมา คนเหล่านี้ เป็นกลุ่มคนที่ถูกเขายุยงให้ก่อกบฏไว้ก่อนหน้านี้ เดิมก็ใช้เพื่อสังหารหลังจากหมดประโยชน์ เมื่อบังคับให้ฮ่องเต้สละบัลลังก์สำเร็จก็ให้จับกุมชาวฉีเหล่านี้ทันที องค์ชายสี่ยังคิดว่าตนถือไพ่เหนือกว่า “ช่วยฮ่องเต้ฉีได้แล้วอย่างไร! เมื่อเดินเข้าสู่พระราชวังเป่ยเยี่ยน พวกเจ้าไม่มีทางออกไปได้! ทหาร รีบจับพวกมันไว้!” ช่วงเวลาต่อมา หยิ่นเอ้อร์ไม่ต่างจากวิญญาณ ที่โผล่มาอยู่ทางด้านหลังขององค์ชาย
ฉับ! ศีรษะร่วงลงบนพื้น ฮ่องเต้ในรัชสมัยหนึ่ง สิ้นพระชนม์ด้วยน้ำมือของพระโอรสแท้ ๆ องค์ชายสี่ลงมือสังหารด้วยดวงตาแดงก่ำ มือถือดาบใหญ่ หายใจหอบถี่ แฮกแฮก—— หน้าอกของเขากระเพื่อมอย่างแรง หัวใจเต้นแรงแทบจะหลุดออกมา เขา สังหารเสด็จพ่อ เขาสังหารเสด็จพ่อที่ลำเอียงพระองค์นั้น! ตาเฒ่าคนนี้ ในที่สุดก็ตายแล้ว! มือของเขายังไม่หายสั่น ขณะเดียวกัน เขาคิดว่าตนเองแข็งแกร่งกว่าเสด็จพี่รอง เสด็จพี่รองคนนั้นยังใจอ่อนนัก และเขา...ไม่โหดเหี้ยมไม่นับเป็นชายชาตรี! “ถ่ายทอดราชโองการ เสด็จพ่อสิ้นพระชนม์อย่างกะทันหัน!” “พ่ะย่ะค่ะ!” ยามนี้ องค์หญิงเซี่ยนอี๋รู้สึกหวาดกลัวนัก นางล้มลงกับพื้น โดยไม่เชื่อเลยว่า เสด็จพี่สี่จะโหดเหี้ยมถึงเพียงนี้! ไม่สิ ไม่ถูกต้อง ล้วนแต่เกิดจากการยุยงของนังสารเลวเฟิ่งจิ่วเหยียนนั่น! ที่ผ่านมาเสด็จพี่สี่เป็นคนดีมาก! เฟิ่งจิ่วเหยียน ล้วนเป็นเพราะเฟิ่งจิ่วเหยียน! องค์หญิงเซี่ยนอี๋พยายามจะลุกขึ้น คิดอยากจะหนีออกไปจากที่แห่งนี้ นางหวาดกลัวนัก ทว่า บัลลังก์ที่องค์ชายสี่ได้ครอบครองอย่างผิดวิธี
เมื่อเทียบกับถูกพระโอรสบังคับให้สละราชบัลลังก์ ฮ่องเต้เยี่ยนมิอาจทนต่อการสมคบร่วมคิดกับศัตรูต่างแคว้นมากกว่า! เดิมคิดว่าเจ้าสี่มีความฉลาดขึ้นบ้างแล้ว ใช้ทหารเพียงสามพันนายบังคับฮ่องเต้ให้สละราชบัลลังก์สำเร็จ พอมีความสามารถอยู่บ้าง ผู้ใดจะรู้... ผู้ใดจะรู้ว่าเป็นเฟิ่งจิ่วเหยียนที่บงการอยู่เบื้องหลัง! ฮ่องเต้เยี่ยนโกรธจนเจ็บหัวใจ เขาถลันกายลุกขึ้นยืน ชี้นิ้วไปที่องค์ชายสี่พลางด่าทอ “เจ้าโง่สมองมีแต่หนอง! “เราให้กำเนิดคนโง่เช่นเจ้าได้อย่างไร! “สารเลว! ไอ้สารเลว!! “เจ้าโง่ถึงขนาดที่ยอมร่วมมือกับชาวฉี เจ้า เจ้ามัน...” ฮ่องเต้เยี่ยนโกรธเกรี้ยวอย่างหนัก จนกระอักโลหิต “พรวด” เต็มปาก “เสด็จพ่อ!” องค์หญิงเซี่ยนอี๋ได้แต่ยืนมอง และร้องไห้อย่างช่วยไม่ได้ นางก็ถูกลูกธนูยิงเช่นกัน ใครจะมาช่วยนางได้! “เสด็จพี่สี่! ท่านจะเป็นอย่างไร ก็มิควรร่วมมือกับชาวฉี!” องค์ชายสี่หาได้สนใจไม่ พ่อและลูกสาวคู่นี้ช่างไร้สมอง พวกเขาหารู้ไม่ว่า เขาเพียงหลอกใช้ชาวฉีเท่านั้น เฟิ่งจิ่วเหยียนตามหาฮ่องเต้ฉีไม่พบ ย่อมจะถูกเขาควบคุม ถึง
องค์หญิงเซี่ยนอี๋คงไม่เข้าใจ เฟิ่งจิ่วเหยียนผู้นี้เป็นบ้าอะไร ถึงได้รนหาที่ตายเองเช่นนี้นังสารเลวนี่ หลังจากช่วยฮ่องเต้ฉีได้ ไม่คิดที่จะเผ่นหนี กลับคิดที่จะเข้าไปในวังแทน!แถมยังพาองค์หญิงเช่นนางร่วมทางไปด้วย!เซียวอวี้เองก็แปลกใจเช่นเดียวกันทว่า เขาเชื่อมั่นในทุกการตัดสินใจของนางเมื่อมาถึงประตูวัง องค์หญิงเซี่ยนอี๋ก็ร้องขอความช่วยเหลือเสียงดัง“ข้าอยู่นี้! รีบมาจับพวกเขาซะ!”ทว่า เหล่าองครักษ์ที่เฝ้าประตูวังอยู่ไม่สนใจนาง กลับหันไปทำความเคารพเฟิ่งจิ่วเหยียนกับเซียวอวี้แทน“ถวายบังคมฝ่าบาทและฮองเฮา!”องค์หญิงเซี่ยนอี๋ตกตะลึง“พวกเจ้า…พวกเจ้าเรียกพวกเขาว่าอะไรนะ? นี่พวกเจ้าบ้าไปแล้วหรือไร!”หรือว่านางกำลังฝัน? ทุกอย่างดูแปลกไปหมด!เซียวอวี้จำได้ ในบรรดาองครักษ์ที่เฝ้าประตูวัง มีคนคุ้นหน้าคุ้นตาอยู่ผู้หนึ่งคนผู้นี้ก็คืออู๋ไป๋อู๋ไป๋ใส่เครื่องแบบของชาวเป่ยเยี่ยน ดูกลมกลืนอย่างมากความจริงแล้ว องครักษ์คนอื่นล้วนเป็นกองทัพอินทรีเหินของเฟิ่งจิ่วเหยียนเช่นเดียวกัน ดังนั้นพวกเขาจึงทำหูทวนลมกับเสียงร้องขอความช่วยเหลือขององค์หญิงเซี่ยนอี๋องค์หญิงเซี่ยนอี๋ไม่เข้าใจเรื่องรา
กำลังคนที่เฟิ่งจิ่วเหยียนพามาด้วยมีมากพอ ด้วยเหตุนี้นางจึงไร้กังวลในขณะนี้ในที่สุดนางก็ตามหาเซียวอวี้เจอภายใต้ชายคา นางกอดเซียวอวี้ไว้แนบแน่น มีเพียงความรู้สึกแท้จริงเช่นนี้ นางจึงสามารถดึงตัวเองออกมาจากความหวาดหวั่นได้“ลูกอยู่ที่วัง รอเรากลับไปหา” นางเสียงแหบพร่าเซียวอวี้ถอนหายใจอย่างโล่งอกการที่พวกนางสองแม่ลูกปลอดภัย คือความปรารถนาอันสูงสุดของเขา มีค่ามากกว่าความเป็นความตายของตัวเขาเองด้วยซ้ำน่าเสียดาย ที่ไม่สามารถไปเจอลูกในทันทีได้เขาไม่ได้ซักถามสิ่งใดมากมาย เพียงตกอยู่ในภวังค์แห่งความดีใจในการพบเจอกันอีกครั้ง จึงยกแขนข้างที่ไม่ได้รับบาดเจ็บ กอดตอบเฟิ่งจิ่วเหยียนกลับไปได้กลับมาเจอเขาอีกครั้ง เฟิ่งจิ่วเหยียนตื้นตันเป็นอย่างมากเพียงแต่ว่า นิสัยเดิมย่อมแก้ยาก ด้วยความที่นางเป็นคนไม่อ่อนไหวกับสิ่งใดง่าย ๆ แม้นในใจจะมีมวลคลื่นก่อตัวรุนแรงเพียงใด เบื้องหน้ายังคงควบคุมอาการไว้ได้ตามสัญชาตญาณกล่าวให้ถูกต้องคือ นางที่ไม่ค่อยแสดงสีหน้า ขณะอยากใช้กล้ามเนื้อบนใบหน้า จึงค่อนข้างดูฝืนสีหน้าของนางในตอนนี้เหมือนร้องไห้ก็ไม่ใช่ยิ้มให้ก็ไม่เชิงเดิมทีก็เป็นเช่นนี้อยู่แล้ว พอมาเ
เหล่าองครักษ์ลับตามมาช่วยได้ทัน ล้อมเซียวอวี้ไว้ในพื้นที่ที่ปลอดภัย“คุ้มกันฝ่าบาทกลับไปก่อน!”พวกเขามีเพียงไม่กี่คน ไม่สามารถจัดการกับคนเป่ยเยี่ยนเหล่านี้ได้ขณะนี้เอง หยิ่นเอ้อร์ที่จับองค์หญิงเซี่ยนอี๋เป็นตัวประกันไว้ก็กล่าวด้วยเสียงเยือกเย็น “บอกให้พวกเขาหยุดซะ”องค์หญิงเซี่ยนอี๋ไม่รู้ว่าคนผู้นี้คือใคร ทว่านางมั่นใจ ต้องเป็นคนของแคว้นหนานฉี ที่มาช่วยฮ่องเต้ฉีเป็นแน่นางกัดริมฝีปาก“พวกเจ้าจะจับข้าไปก็ไร้ประโยชน์! การสังหารเขา คือคำสั่งของเสด็จพ่อข้า!”นางพูดความจริงแววตาของหยิ่นเอ้อร์พลันเย็นชาจากนั้น เขาก็ลากองค์หญิงเซี่ยนอี๋มาที่ลานกว้าง ให้นางปรากฏตัวท่ามกลางอันตรายเหล่ามือธนูเห็นเช่นนั้น จึงลังเลหากยิงองค์หญิงตาย โทษของพวกเขาก็คงหนักทว่าขณะนี้เอง หัวหน้ามือธนูก็ส่งเสียงอย่างเด็ดขาด“ยิงต่อไป! ห้ามหยุด!”เขามองไปยังองค์หญิงเซี่ยนอี๋ด้วยแววตาไร้ความรู้สึกองค์หญิงแล้วอย่างไร ต่อให้เป็นองค์ชาย ก็ไม่สามารถมาขัดขวางการจับตัวฮ่องเต้ฉีไปได้ยิ่งไปกว่านั้น เพราะคำพูดเพียงไม่กี่ประโยคขององค์หญิงเซี่ยนอี๋ ก็ทำให้ฝ่าบาททรงฆ่าองครักษ์ไปหลายคนแล้วในเมื่อคิดว่าชีวิตของพ