ฉีจื่อฟู่รู้สึกผิดเช่นกัน “ท่านพ่อ…ทั้งหมดเป็นความผิดของลูก! ผิดที่ลูกมั่นใจในตัวเองเกินไป ถูกอวี้ม่านหวาหลอก…”ฉีอวิ่นมองเขาปราดหนึ่ง “ความผิดของเจ้ามีแค่เรื่องที่มั่นใจในตัวเองหรือ? ยังมีเรื่องที่เนรคุณ จิตใจโฉดชั่ว และแยกแยะสถานการณ์ไม่ออกด้วย!”“บางครั้งข้าก็สงสัยว่าผลงานที่แคว้นเจาไม่ใช่ของเจ้า เจ้าคงไม่ได้แอบอ้างผลงานของผู้อื่นกระมัง!”ใบหน้าของฉีจื่อฟู่ซีดเขียวไปชั่วครู่ บุรุษล้วนแต่สนใจการยอมรับจากบิดา เขาเองก็ไม่เป็นข้อยกเว้นได้ยินอีกฝ่ายพูดแบบนี้ เขาเองก็เสียใจ “ท่านพ่อ ข้าเพียงแต่เลอะเลือนไปชั่วขณะจริงๆ…”ตอนนี้กาลเวลาผันเปลี่ยน อย่าว่าคนอื่นที่ไม่เข้าใจเขาเลย กระทั่งตัวฉีจื่อฟู่เองก็ยังไม่เข้าใจตัวเองในอดีตเช่นกัน เหตุใดจึงราวกับถูกผีบังตาเช่นนั้น!ฉีอวี่เยียนพูด “พอเถอะ เลิกโต้เถียงกันก่อน ตอนนี้พูดเรื่องพวกนี้ไปก็เท่านั้น มาคิดกันก่อนว่าหลังจากนี้จะทำอย่างไร!”ฉีอวิ่นไม่พูดอะไรอีก เพราะเขารู้ว่าความจริงแล้วตัวเองก็มีส่วนต้องรับผิดชอบกับเรื่องนั้น หากยามที่อยู่ในงานเลี้ยงภายในพระราชวังครานั้น เขายืนเคียงข้างจือจืออย่างมั่นคง เรื่องราวก็คงไม่เป็นแบบนี้ฉีจื่อเสียนห
แตกต่างจากคุณหนู หลังจากที่นางถานตาย อวี้ม่านหวาถูกจับ และเสด็จพี่รองของอีกฝ่ายสิ้นชีพ บัญชีความแค้นระหว่างคุณหนูกับคนเหล่านั้นก็ถือว่าได้รับการชำระแล้วแต่เจาซียังคงชิงชังอวี้ม่านหวามาก ยามที่อยู่สกุลฉี หญิงแพศยานางนี้ทำให้คุณหนูของนางถูกฉีจื่อฟู่ผลักล้มศีรษะแตกหลังจากถูกคุมขังก็ยังไม่หยุด ตัวเองแท้งลูกแล้วยังกล่าวหาคุณหนูของพวกนาง ถึงแม้เรื่องนี้จะไม่ได้มีกระทบอะไรต่อคุณหนู แต่เจาซีก็ยังโกรธอยู่ดี!เจาอู้พูด “ตอนนี้ก็ใกล้ปีใหม่แล้ว ฝ่าบาทคงไม่อยากให้เกิดกาลกิณี มีรับสั่งให้ประหารอวี้ม่านหวาหลังฤดูใบไม้ผลิปีหน้า!”เจาซีปรบมือพูดว่า “เป็นเรื่องที่น่าชื่นใจจริงๆ! ท่านเห็นด้วยหรือไม่เจ้าคะคุณหนู?”หรงจือจือพูดอย่างเรียบนิ่ง “พวกเขาจะดีหรือเลวก็เป็นชะตากรรมของพวกเขาเอง ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกับข้ามานานแล้ว ขอเพียงพวกเขาไม่มาทำให้ข้าขยะแขยงอีกก็พอ”นางถานตายแล้ว สกุลฉีพังพินาศ ความฝันที่จะกอบกู้มาตุภูมิของอวี้ม่านหวาถูกทำลาย การแก้แค้นของนางเป็นอันลุล่วงเจาซีพูด “เช่นนั้นอวี้ม่านหวาตายไปก็ยิ่งดีสินะเจ้าคะ หากวันหน้าจะมาก่อกวนท่านอีกก็คงทำได้แค่สภาพวิญญาณ!”เจาอู้ปวดหัวเล็กน้อย “เ
“ส่วนจางเปียวเป็นคนอย่างไร ที่ผ่านมามีหน้าที่ทำอะไร คิดว่าเจ้าน่าจะเข้าใจในจุดนี้กระมัง?”ทุกๆ จวนมักจะมีเรื่องที่ไม่อาจแพร่งพรายสู่ภายนอก หน้าที่ของคนแบบจางเปียวก็คือกำจัดพวกคนที่ลงนามในสัญญาขายตัวแบบขายขาดและมีความเสี่ยงที่จะทรยศเจ้านายจ้าวหมัวมัวย่อมเข้าใจในจุดนี้นางหน้าซีดเผือด “เจ้าโกหกข้ากระมัง? ฮูหยินจะโหดร้ายกับข้าขนาดนั้นได้อย่างไร? ข้ารับใช้นางมาตั้งหลายสิบปีนะ!”อวี้หมัวมัว “คุณหนูยังพูดอีกว่า หากเจ้าไม่เชื่อ เช่นนั้นสองสามวันนี้ข้าจะหาโอกาสให้คนมาพาเจ้าออกไปดูด้วยตาตัวเอง ไปดูว่าจางเปียวกำลังตามหาเจ้าให้ทั่วจริงหรือไม่!”อวี้หมัวมัวพูดจบก็หันตัวเดินจากไปจ้าวหมัวมัวเห็นนางมั่นใจขนาดนี้ก็เข่าอ่อน ทิ้งตัวก้นคะมำลงกับพื้น พูดพึมพำว่า “ทำอย่างไรดี ทำอย่างไรดี…”หรือว่านางต้องทรยศฮูหยินจริงๆ หรือ?แต่ฮูหยินกำลังจะเอาชีวิตนาง โหดร้ายต่อนางขนาดนี้ จะให้นางจงรักภักดีต่อฮูหยินต่อไปอย่างนั้นหรือ?นอกจากนี้ ถึงแม้นางจะไม่เป็นห่วงตัวเองแต่ก็ต้องเป็นห่วงน้องชาย คุณหนูใหญ่รับปากแล้วว่าจะจัดการเรื่องของน้องชายนางให้!ภายในใจจ้าวหมัวมัวมีแผนการบางอย่างขอเพียงนางได้เห็นว่าจางเ
อวี้เล่อมองสีหน้าเจ็บปวดทรมานของคุณชายตัวเอง เขาพยายามครุ่นคิดอย่างหนัก แต่ก็ไม่รู้จะปลอบใจอีกฝ่ายอย่างไรดีเพราะเขาคิดว่าหากเป็นตัวเขาเองที่เผชิญเรื่องเหล่านี้ เขาก็คงจะลังเลมากไม่ต่างกันหลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่ง อวี้เล่อก็พูดว่า “คุณชาย มีคำหนึ่งที่ท่านพูดถูก อย่างน้อยท่านก็ใจร้อนกับเรื่องวันนี้เกินไป”“บ่าวมองว่า เกี่ยวกับเรื่องอื่นๆ แล้ว หากท่านยังไม่สามารถทำความเข้าใจก็เลิกคิดไปก่อน แต่กับเรื่องนี้นั้น อย่างไรก็ควรขอโทษคุณหนูใหญ่ก่อน ท่านคิดเห็นอย่างไรขอรับ?”เช่นนี้จะได้ผ่อนปรนความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองฝ่ายได้สักเล็กน้อยหรงซื่อเจ๋อลังเลครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยว่า “ได้ เช่นนั้นก็ทำตามนี้ไปก่อน ข้าจะหาโอกาสที่เหมาะสมในอีกสักสองสามวัน!”เขาไม่ได้ให้อภัยหรงจือจืออย่างแน่นอน เขาเพียงแต่รู้สึกว่าวันนี้ตัวเองทำผิดก็เท่านั้น ใช่ ไม่ได้มีอะไรมากไปกว่านี้!อวี้เล่อมองสีหน้าของคุณชายพลางใคร่ครวญในใจเงียบๆ ดูแล้ววันหน้าเขาคงต้องสุภาพต่อคุณหนูใหญ่เอาไว้หน่อย……หลังจากที่หรงจือจือจากไป ข่าวเรื่องการทะเลาะวิวาทของนางหวางสามแม่ลูกก็ลอยมาถึงหูนางอย่างรวดเร็วเจาซีพูดระบายอารมณ์ “ในที่สุดก
เมื่อนึกถึงเรื่องพวกนี้ เส้นเลือดบนหน้าผากของหรงซื่อเจ๋อก็เต้นตุบ ๆ อย่างห้ามไม่อยู่!ครานี้นางหวังรู้สึกตกใจเล็กน้อย จึงดึงหรงเจียวเจียวขึ้นมา “พวกเรากลับกันก่อน แล้วปล่อยให้พี่ชายเจ้าใจเย็นลงเสียหน่อย!”หรงเจียวเจียว “เจ้าค่ะ ท่านแม่!”ก่อนจะจากไปนางหวังยังไม่วางใจ ขณะที่มองหรงซื่อเจ๋อก็กล่าวอีกว่า “เจ้าก็อย่าเพิ่งใจร้อน สุดท้ายพวกเราต่างหากที่อยู่ฝ่ายเดียวกัน รอให้เจ้าได้สติขึ้นมาแล้ว พวกเราค่อยมาปรึกษากันว่าควรจะทำอย่างไรต่อไป ถึงอย่างไรบ้านหลังนี้จะปล่อยให้บุตรชายสายรองยึดครองไปไม่ได้เด็ดขาด!”หรงซื่อเจ๋อไม่สนใจนางรอให้เขาได้สติแล้วค่อยมาปรึกษากันงั้นหรือ? เขารู้สึกว่าทั้งชีวิตนี้ของตนเอง ไม่มีช่วงไหนที่มีสติดีเท่าตอนนี้อีกแล้ว!คนที่ไม่มีสติที่แท้จริงคือผู้ใด? คือท่านแม่ของเขาต่างหาก!นางหวังเห็นว่าเขาไม่สนใจตนเอง ก็ไม่พูดอะไรมาก แล้วพาหรงเจียวเจียวจากไประหว่างทางกลับ หรงเจียวเจียวก็ถามนางหวังอย่างไม่สบายใจว่า “ท่านแม่ ต่อไปพี่ชายคงจะไม่ห่างเหินกับพวกเราอีกกระมังเจ้าคะ?”นางหวังคิดดูแล้ว เมื่อก่อนหรงซื่อเจ๋อห่างเหินกับพวกนางแม่ลูก ในใจก็มีเพียงพี่สาวอย่างหรงจือจือคนเดี
เห็นหรงซื่อเจ๋อจ้องมองตนเองเช่นนี้ นางหวังก็กล่าวอย่างไม่สบอารมณ์ “เจ้าจ้องข้าเช่นนี้ทำไม? หรือว่าข้าพูดอะไรผิดไปงั้นหรือ?”หรงซื่อเจ๋อเงียบไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็เอ่ยปาก “ท่านแม่ ท่านเคยคิดบ้างหรือไม่ เรื่องในวันนี้ ท่านควรจะถามเจียวเจียวก่อน ว่าตกลงนางคิดอย่างไร เหตุใดนางถึงต้องทำเช่นนี้? แล้วการทำแบบนี้ตกลงมันถูกต้องแล้วหรือไม่ขอรับ?”บางทีการที่ท่านพ่อผิดหวังในตัวเขาก็ถูกต้องแล้วท่านแม่ไม่มีความคิดจะลงโทษเจียวเจียวเลยแม้แต่น้อย แล้วตนเองยังจะยอมรับผิดแทนอีก ท่านพ่อจึงไม่สามารถลงโทษได้ ในอนาคตเกรงว่าเจียวเจียวจะยิ่งไม่มีความยำเกรงต่อสิ่งใดมากขึ้นแล้ว!นางหวังกล่าวด้วยความโกรธจัด “มีอะไรน่าถาม ทั้งหมดเป็นเพราะหรงจือจือแย่งงานแต่งของน้องสาวเจ้า จนทำให้น้องสาวเจ้าไม่มีความสุข จึงก่อเรื่องวุ่นวายเหล่านี้ออกมามิใช่หรือ?”หรงซื่อเจ๋อเงียบ เขาไม่อยากจะพูดแล้วเพราะไม่พอใจต่อเรื่องนี้ เจียวเจียวจึงไปด่าหรงจือจือทุกวัน หรงซื่อเจ๋อสามารถเข้าใจได้ แต่การใส่ร้ายพี่สาว เขาไม่อาจเข้าใจมันได้จริง ๆ!เมื่อเห็นบุตรชายมีสีหน้าที่เหนื่อยล้า ราวกับอยากจะแยกห่างจากตนเอง นางหวังก็ยิ่งหงุดหงิด “ท่าท