อวี้หมัวมัวยังอยากจะพูดอะไรหรงจือจือกลับกล่าวเสียงราบเรียบว่า “หมัวมัว ข้ารู้ว่าเจ้าทำเพื่อข้า แล้วเจ้าก็หวังว่าข้าจะมีชีวิตแต่งงานที่ดีในอนาคต และมีคนคอยใส่ใจอยู่ข้างกาย เพื่อที่จะได้ใช้ชีวิตอย่างมีความสุขมากขึ้นในวันข้างหน้า”“แต่เจ้าคิดดูให้ดี ๆ หากแต่งเข้าไปในครอบครัวที่แม่สามีไม่ชอบข้า ข้าจะมีชีวิตที่ดีได้แค่ไหนกันเชียว?”อวี้หมัวมัวกลับไม่เห็นด้วย “คุณหนู หากสามีเป็นคนมีเหตุผล และปกป้องคุณหนูทุกอย่าง เช่นนั้นแม้จะเป็นแม่สามีที่ไร้เหตุผล แต่ก็ยังใช้ชีวิตที่ดีได้”“อย่างฮูหยินแซ่เจียงของเสนาบดีกรมพิธีการคนนั้น มิใช่ตัวอย่างที่ดีที่สุดแล้วหรือเจ้าคะ?”หรงจือจือคิดสักพัก มันก็เป็นเช่นนั้นจริง ๆ เสนาบดีกรมพิธีการมู่หรงเย่า เขามองนางเจียงด้วยความชื่นชม ไม่สนเรื่องที่ก่อนแต่งงานนางเจียงจะเคยชอบมหาราชครูหรง หลังจากแต่งงานก็ยังดูแลนางเป็นอย่างดีแต่เพราะเรื่องที่ก่อนแต่งงานนางเจียงเคยแย่งมหาราชครูหรงกับนางหวัง เลยทำให้แม่สามีของนางไม่พอใจเป็นอย่างมาก แม้นางเจียงจะเป็นองค์หญิงใหญ่ หลังแต่งงานก็ยังคงถูกทำให้ลำบากใจอยู่ดีแต่มู่หรงเย่าคอยปกป้องทุกอย่าง จึงทำให้แม่สามีของนางไม่สามา
เฉินเยี่ยนซูพยายามวางท่าสงบนิ่ง ทว่าในใจกลับสับสนว้าวุ่นไร้ที่พึ่ง กว่าจะเกลี้ยกล่อมให้นางยอมตกลงเรื่องแต่งงานได้สำเร็จ มาบัดนี้กลับเกิดเรื่องพลิกผันขึ้นเสียได้ด้วยนิสัยของนางแล้ว เกรงว่าคงยากที่จะให้อภัยเขาได้เรื่องนี้ทำให้ส่วนลึกในใจของเขาเกิดความรู้สึกโกรธแค้นต่อจวนกั๋วจิ้วเป็นครั้งแรก ความรู้สึกที่ยากจะบรรยาย หรืออาจเรียกได้ว่าเป็นความเกลียดชัง ส่งผลให้แววตาของเขาเย็นเยียบประดุจน้ำแข็ง......เจาซีกลับมายังเรือนอี่เหมยเมื่อเห็นนางนำกล่องใบเล็กนั้นกลับมาด้วย หรงจือจือก็รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อยเจาซีถ่ายทอดคำพูดทั้งหมดของเฉินเยี่ยนซูให้ฟัง หรงจือจือได้แต่นิ่งเงียบ ไม่เอ่ยคำใดอวี้หมัวมัวกล่าวว่า “ท่านเสนาบดีก็ยังนับว่ารู้จักยับยั้งชั่งใจ ไม่ได้มายืนขวางหน้าประตูบ้านไม่ยอมไป จนเป็นที่ครหาของผู้คน ทั้งยังไม่ดึงดันที่จะเข้ามาพบท่านให้ได้ มิเช่นนั้นคงยิ่งทำให้ท่านขุ่นเคืองใจมากขึ้น”“คุณหนูเจ้าคะ บ่าวกลับเห็นว่า เรื่องการแต่งงานครั้งนี้ คุณหนูลองนำกลับไปไตร่ตรองดูอีกครั้งจะดีหรือไม่ แล้วค่อยรอดูว่าหลังจากนี้ท่านเสนาบดีจะมีคำชี้แจงใดให้ท่าน”หรงจือจือพยายามข่มอารมณ์ที่ปั่นป่วนใ
เพียงไม่นานหลังจากที่หรงซื่อเจ๋อได้แสดงอำนาจในฐานะบุตรชายสายตรงของตน ก็ถูกเรียกตัวไปพบมหาราชครูหรง และถูกตำหนิอย่างรุนแรง......เจาซีเดินออกจากเรือนพร้อมกุญแจในมือแล้วก็เห็นเสนาบดีเฉินยืนอยู่หน้าประตูในชุดขุนนาง ดูท่าว่าคงเพิ่งเสร็จจากว่าราชการแล้วรีบมาที่นี่อีกฝ่ายรูปงามโดดเด่น เย็นชาแต่สูงส่ง เฉิดฉายเหนือผู้ใด แถมยังปฏิบัติต่อคุณหนูของตนอย่างดีเยี่ยม ไม่ว่าจะมองอย่างไรก็เป็นว่าที่เขยที่เหมาะสมอย่างหาที่เปรียบมิได้ เพียงแต่...คาดไม่ถึงว่าเรื่องของเขาคล้ายกับสถานการณ์ของจวนอ๋องเฉียนนั่นทำให้ในใจของเจาซีอดรู้สึกเสียดายมิได้เมื่อเห็นกล่องผ้าไหมในมือนาง แววตาเฉินเยี่ยนซู ก็พลันหม่นลงทันที “นางให้เจ้าคืนของสิ่งนี้แก่ข้าหรือ?”เจาซีพยักหน้า และถ่ายทอดถ้อยคำที่หรงจือจือฝากมาให้นางเหล่านั้นพอพูดจบก็อดกลั้นไม่ไหว กล่าวขึ้นด้วยเสียงสั่นเครือว่า “ท่านเสนาบดี คุณหนูของข้านับแต่หย่าขาดจากสามี ก็ถูกคนซุบซิบนินทาเสียๆ หายๆ คำนินทาแสนโหดร้ายแบบไหน นางก็เคยได้ยินมาหมดแล้ว”“บ่าวดูออกว่าเดิมทีคุณหนูไม่ได้คิดจะแต่งงานอีก หากไม่ใช่เพราะท่านแสดงความจริงใจ นางก็คงไม่รับของสิ่งนี้ไว้ด้วยซ้ำ
หรงเจียวเจียวเหมือนยังอยากจะเอ่ยอะไรอีก “ท่านพี่...”แต่หรงซื่อเจ๋อกลับตัดบท “หรือจริงๆ แล้วเจ้ามิได้ทำเพื่อข้า แต่เป็นเพราะเจ้ารู้ว่าตั้งแต่เด็กมา นางก็เก่งกว่าเจ้า เป็นเพราะเจ้าริษยาเรื่องท่านเสนาบดีเฉิน จึงหาเรื่องนางอยู่ร่ำไป แล้วก็อ้างเอาว่าทำเพื่อข้า?”ขณะกล่าว ดวงตาของหรงซื่อเจ๋อก็เพ่งมองนางอย่างพินิจพิจารณาความจริง ความคิดนี้เขาก็เคยแอบสงสัยอยู่หลายครั้ง เพียงแค่ไม่อยากนำมันมาคิดให้มากนักกับน้องสาวผู้เคยช่วยชีวิตเขาไว้ในอดีตจนกระทั่งนางทำเรื่องต่ำช้า ใช้แผนทรมานตัวเองกลั่นแกล้งหรงจือจือ แล้วยังกล้าโยนความผิดให้เขาต่อหน้าบิดา ความเชื่อใจที่เขามีต่อนางก็เริ่มร้าวรานหรงเจียวเจียวถูกทิ่มใจเข้าเต็มๆ แต่ก็รีบกลบเกลื่อน “ท่านพี่ ท่านพูดอะไรอย่างนั้นเล่า!”“ข้าแค่กลัว กลัวว่าท่านพี่จะทำร้ายคนอื่นเพียงเพื่อตัวเองอีก นางทำอย่างนั้นถึงสามครั้งแล้ว ข้าไม่กล้าผูกสัมพันธ์กับคนเช่นนี้ หากวันหน้าเกิดเรื่องขึ้นอีกเล่า?”หรงซื่อเจ๋อเม้มริมฝีปากแน่น ครู่หนึ่งก็พูดไม่ออกใช่ ถึงสามครั้ง! หนแรกเกือบคร่าชีวิตเขา หนที่สองพรากชีวิตพี่หญิงหนานจือ หนที่สามก็คือเรื่องหย่าร้างที่ทำให้น้องสาวร่ว
หรงเจียวเจียวถึงกับนิ่งอึ้งไป จ้องมองหรงซื่อเจ๋ออย่างไม่อยากจะเชื่อ “พี่รอง ท่านพูดกับข้าเช่นนี้ได้อย่างไร?”หรงซื่อเจ๋อมองเห็นน้ำตาที่คลออยู่ในดวงตาของนางในใจพลันเกิดความลังเลและเสียใจขึ้นมาชั่วขณะ รู้สึกว่าตนเองอาจพูดแรงเกินไปหรือไม่ แต่แล้วก็พลันคิดบางอย่างขึ้นมาได้นางตวาดเสียงดังยิ่งขึ้นไปอีก “ข้าพูดผิดตรงไหนกัน?! เจ้ารู้หรือไม่ว่าใครคือพี่น้องแท้ๆ ของเจ้า? กลับให้ค่าลูกพี่ลูกน้องมากกว่าพี่สาวที่คลานตามกันมาอีก เจ้าคิดอะไรอยู่ในหัวทั้งวันทั้งคืนกันแน่?!”ในวันปกติจะหาเรื่องหรงจือจือก็แล้วไปเถอะ อย่างไรเสียก็ยังอยู่ในเรือนของตนเองสองลูกพี่ลูกน้องนั่นก็หาใช่คนของมหาราชครูไม่ แล้วหรงเจียวเจียวยังไม่รู้จักปกป้องคนในเรือนตนเองอีก นี่ทำให้หรงซื่อเจ๋อรู้สึกสับสนจนไม่เข้าใจว่าเรื่องมันเป็นอย่างไรกันแน่!หรงเจียวเจียวขอบตาร้อนผ่าว กล่าวออกมาว่า “แต่ว่าท่านพี่เจ้าคะ หากไม่ใช่เพราะขุ่นเคืองใจแทนท่าน ข้าจะเกลียดชังพี่ใหญ่ถึงเพียงนี้ได้อย่างไร…”หรงซื่อเจ๋อเม้มริมฝีปากหลายปีมานี้ หรงเจียวเจียวก็พูดกับตนเช่นนี้มาตลอด ทั้งคำพูดและท่าทีล้วนสื่อความหมายว่า... ที่นางไม่ลงรอยกับพี่ใหญ่ คอ
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อรู้ว่า สาวใช้จ้าวตั้งใจจะพูดความจริง หรงจือจือก็ยิ่งมั่นใจว่า เส้นทางแห่งการล้างแค้นของตนอยู่ไม่ไกลอีกต่อไป นางไม่มีความจำเป็นต้องอดกลั้นอีกแล้ว!เมื่อเรื่องราวทั้งหมดจบสิ้น นางก็จะจากไป หากไม่ได้แต่งงานกับเฉินเยี่ยนซูก็ไม่เป็นไร จะไปยังแคว้นปกครองตนเอง หรือออกตะลอนไปในยุทธภพกับพ่อบุญธรรมก็ดีทั้งนั้นจากนี้ไป คนในตระกูลหรงเหล่านั้นจะไม่มีวันเกี่ยวข้องกับนางอีกแม้แต่น้อย!เมื่อคิดเช่นนั้น นางก็กล่าววาจาเจ็บแสบออกมาคำหนึ่งว่า "ไม่แปลกเลยที่บิดาอยากมีบุตรชายจากอนุภรรยาเพิ่มอีกคน ด้วยสติปัญญาของเจ้าขนาดนี้ หากบิดาไม่กังวล นั่นก็เพราะเขาใจกล้าจนเกินไปแล้ว!"หรงซื่อเจ๋อหน้าเขียวคล้ำ!นี่คือเรื่องที่กระทบกระเทือนจิตใจเขามากที่สุดในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมาหรงเจียวเจียวเองก็เพิ่งเคยเห็นเป็นครั้งแรก ที่หรงจือจือจะแสดงด้านที่ไม่ไว้หน้าใคร และด่าทอคนได้เจ็บแสบถึงเพียงนี้! หรือว่าที่ผ่านมา ที่หรงจือจือไม่ค่อยมีปากเสียงกับพวกเขา ไม่ใช่เพราะนางเถียงสู้ไม่ได้ แต่เป็นเพราะขี้เกียจจะต่อล้อต่อเถียงด้วยต่างหาก?ในตอนนั้นเอง คนเฝ้าประตูก็เดินเข้ามาเขามาหยุดอยู่ตรงหน้าหรงจือจือ