บทที่ 8 นี่คงเป็นข้อดีของการเป็นนางเอก
เยว่หรูนั่งรอเวลา... แต่สายตาของเธอก็มองสิ่งต่าง ๆ รอบตัวไปด้วย เธอมองไปทางด้านนอกหน้าต่าง เห็นหลังคาน่าจะเป็นอาคารขนาดใหญ่ แต่เธอมองไม่เห็นทั้งหมดเพราะมีกำแพงกั้นอยู่ หากในยุคนี้มีกำแพงรั้วรอบขอบชิด นั่นหมายถึงสถานที่แห่งนี้น่าจะสำคัญหรือไม่ก็บ้านตระกูลใหญ่ ๆ ส่วนมากคนที่นี่ทำกำแพงบ้านด้วยไม้กันทั้งนั้น แต่เท่าที่ดูก็น่าจะเป็นดินหรือไม่ก็อิฐบล็อก ทุกอย่างที่บอกนั้นเดาล้วน ๆ
ไม่มีอะไรแน่นอนในนิยายเรื่องนี้เลย เดาอีกอย่างกลับเป็นอีกอย่าง อยู่มาเดือนกว่า เรียนรู้มาพอสมควร และจะให้หมอแผนจีนไปมองว่าบ้านนี่ทำด้วยอิฐหรือดินจบเลย เพราะเคยลองแล้ว บ้านทำด้วยอิฐแต่เอาดินมาทาเหมือนฉาบปูนไว้ก็มี อย่าเดาเกี่ยวกับอะไรในนิยายเรื่องนี้เลย...
"นักเรียนทุกคนมาเข้าแถวหน้าห้องก่อน ครูจะได้ตรวจนับและแจกสมุดหนังสือ" ชายสูงวัยที่แทนตัวเองว่าครู เรียกนักเรียนที่อยู่ในห้องทั้งหมดให้ออกไปหน้าห้อง
เยว่หรูลุกขึ้นยืน กระชับกระเป๋าผ้าสะพายบ่าเดินออกไปตามที่ครูเรียก กระเป๋าที่เธอมีนั้นน่าจะมาจากพ่อที่แท้จริงซื้อให้ มันยังดูดีถึงแม้มันจะเก่าแล้ว แล้วเยว่หรูคนเก่าเก็บไว้ในตู้เสื้อผ้าอย่างดี เพราะทุกอย่างที่พ่อจริง ๆ ซื้อให้นั้น... เยว่หรูจะเก็บมันอย่างดี ดูจากกระปุกออมสินไม้ก็เช่นกัน เธอซ่อนมันอย่างดี แต่ที่เยว่หรูคนใหม่รู้เรื่องนี้เพราะในนิยายมีบอกว่า... เยว่หรูนั่งกอดกระปุกออมสินนี้ตลอดทาง ในตอนที่พ่อมารับไปอยู่ด้วย
"แจ้งชื่อแล้วก็มารับหนังสือกันได้เลย" เสียงบอกให้นักเรียนทุกคนรับรู้
เยว่หรูมองทุกคนที่ยืนอยู่ด้านหน้า มีนักเรียนชายแปดคน นักเรียนหญิงสามคน ไม่แน่ใจว่าจะมีมาอีกไหม แต่ตอนนี้มีนักเรียนเท่านี้ เยว่หรูยืนเข้าแถวเพื่อให้คุณครูตรวจเช็กว่าตัวเองขาดอะไรบ้าง จะต้องซื้ออะไรบ้าง ก่อนจะไปแจ้งชื่อเพื่อรับหนังสือ เยว่หรูต้องคอยชะเง้อมองดูว่าเขาทำกันยังไงบ้าง เพื่อที่จะไม่ทำตัวแปลก ๆ ให้คนอื่นสงสัย
"เยว่หรูนี่เก่งขึ้นทุกปีเลยนะ" เสียงครูเอ่ยชมด้วยรอยยิ้ม
ยังไม่ได้บอกชื่อเลย ครูกลับชม!! แต่เดี๋ยวก่อน ครู... ชมเรื่องอะไรบอกก่อน!! จะให้ดีใจก็ดีใจไม่สุด... เพราะไม่รู้เรื่องเลยได้แต่ส่งยิ้มแห้งไปให้
"นี่คือหนังสือ... ส่วนสิ่งนี้เอาไปเบิกที่ร้านค้าของโรงเรียนได้เลย" ครูยื่นสมุดหนังสือรวมกันทั้งหมด 5 เล่มมาให้ ส่วนในกระดาษมีแจ้งชื่อนักเรียนเกี่ยวกับสิ่งของที่จะให้นักเรียนไปเบิกเองที่ร้านค้าของโรงเรียน ก็มีพวกดินสอ อุปกรณ์การเรียนทั้งนั้นที่ต้องเบิก
"หนูต้องซื้ออะไรไหมคะ" แม่ให้เงินมาแล้ว... แต่ไม่รู้ขาดอะไรนี่แหละ หากบอกว่าเป็นผู้ใหญ่แล้วมาเข้าร่างเด็กทำไมไม่รู้อะไร... เยว่หรูอยากให้คนคนนั้นมาเป็นเยว่หรูเหลือเกิน ความทรงจำจากร่างเดิมไม่มี... เรียนอยู่ชั้นไหนยังไม่รู้เลย... ค้นทั้งบ้านก็ไม่มีอะไรบ่งบอกว่าเรียนระดับไหน
สังคมที่นี่กับโลกเดิมแตกต่างกันมาก การเรียนก็เช่นกัน บางอย่างที่ยุค 60 ต้องมี ที่นี่ยังไม่มีเลย หากถามไปคนในบ้านต้องสงสัยแน่นอน ลองนึกภาพตามเลยว่าลูกสาวที่น่ารักมาถามพ่อกับแม่ว่า "ตอนนี้หนูเรียนอยู่ชั้นไหนเหรอคะ" หากเป็นเด็กไม่เกิน 5 ขวบ เป็นคนถามคงไม่มีคนสงสัย แต่นี่แม่นางน้อยเยว่หรูอายุ 14 ปี ถามแบบนั้นมันไม่ได้!!
"ปีนี้ไม่ต้องซื้อเพราะทางโรงเรียนมีให้ทั้งหมดเลย" ครูตอบพร้อมกับมองหน้าเด็กนักเรียนที่ยืนอยู่ตรงหน้า ตัวเล็กที่สุด... และอายุน้อยกว่านักเรียนคนอื่น ๆ อีกด้วย
"ขอบคุณค่ะ" เมื่อเยว่หรูกล่าวขอบคุณแล้ว... ก็หอบสมุดหนังสือเตรียมกลับไปนั่งที่เดิม
"หากสงสัยก็ถามครูได้นะเยว่หรู ไม่เข้าใจตรงไหนก็ถามได้เลย" ครูยังบอกนักเรียนด้วยรอยยิ้ม
เยว่หรูตอบรับครูแล้วก็เดินไปที่โต๊ะเรียน เมื่อถึงโต๊ะเรียน เยว่หรูก็เริ่มเปิดดูสมุดหนังสือทีละเล่ม สมุดเล่มบางจำนวนสามเล่มมีชื่อเธอติดอยู่ แต่ในหนังสือไม่มีชื่อ หนังสือที่ได้มาเป็นหนังสือเก่า แต่เท่าที่ดูทุกคนก็ได้หนังสือสภาพนี้เหมือนกันทั้งนั้น
"หนังสือต้องคืนหลังจบชั้น" เสียงดังมาจากทางด้านหลังของเธอ
"ขอบใจที่บอกนะ... แล้วถามเกี่ยวกับหนังสือและเรื่องเรียนได้ไหม" เมื่อเยว่หรูหันไปมองก็เจอกับเด็กผู้หญิงคนหนึ่งที่นั่งอยู่ด้านหลังถัดจากเธอ เยว่หรูค่อนข้างแปลกใจ เพราะตอนที่เธอเลือกที่นั่งมันคือที่นั่งหลังสุด... แล้วทำไมตอนนี้ถึงมีที่หนึ่งเพิ่มมาได้...
"ฉันเรียนไม่เก่ง แต่หากเรื่องทั่วไปก็พอตอบได้" เด็กสาวตอบกลับพร้อมกับจ้องหน้าเธอตาไม่กะพริบ
"เยว่หรู... มานั่งข้างหน้าตรงนี้มา" เสียงเรียกดังขึ้นทำให้เยว่หรูหันกลับไปมองทางที่มาของเสียง เลยยังไม่ได้แนะนำตัวกับเพื่อนใหม่เลย
"ค่ะครู" จากตอนแรกว่าจะนั่งหลังสุดนี่แหละจะได้ดูลาดเลาได้สะดวก แต่พอเจอคุณครูเรียกเท่านั้นแหละ... เลยทำให้เยว่หรูหอบหนังสือแล้วเดินไปที่เก้าอี้ทางด้านหน้า แต่ก่อนไป... เธอก็หันไปมองเด็กสาวที่คุยกับเธอก่อนหน้านี้ แล้วก็ส่งยิ้มให้กัน ก่อนที่เพื่อนใหม่ที่ไม่ได้รู้จักชื่อตามมานั่งด้านหลังเธอเหมือนเดิม
พอนั่งที่เรียบร้อยแล้ว... เธอก็เงยหน้าขึ้นฟังในสิ่งที่ครูเริ่มแนะนำ ทำให้เธอได้รู้ในหลาย ๆ เรื่อง ห้องที่เธออยู่ หากเปรียบเทียบกับโลกเดิม... ก็คือชั้นมัธยมศึกษาตอนปลายนั่นเอง การศึกษาของที่นี่ ชั้นมัธยมปลายมีกำหนดให้นักเรียน เรียนทั้งหมดสองปี
หากเรียนจบชั้นแล้ว สามารถไปเรียนต่อในระดับมหาวิทยาลัยได้ทุกแห่งทั่วประเทศ ส่วนเยว่หรูเพิ่งจะรู้ตัวว่าเธอเรียนเก่งจนสามารถสอบผ่านชั้นมัธยมต้น... จนได้มาเรียนกับรุ่นพี่ระดับมัธยมปลาย เยว่หรูจึงเป็นนักเรียนที่มีอายุน้อยที่สุดในชั้นเรียนนี้ และนี่คงเป็นข้อดีของการเป็นนางเอกของเรื่องนี้ ถึงแม้ว่าจะเป็นแค่นางเองปลอม ๆ ก็ตาม...
บทที่ 53 ตอนพิเศษ"หนิงหนิงต้องเดินตามตา เข้าใจไหมครับ" จางหยวนบอกหลานสาวสุดน่ารักของเขา ที่วันนี้แต่งตัวมาพร้อมเก็บใบชา มีตะกร้าใบเล็กสะพายอยู่ทางด้านหลัง พร้อมทำงานเป็นอย่างมาก"คุณตาเชื่อใจหนิงหนิงได้เลยค่ะ" หานเผยหนิงวัยห้าขวบที่ตอนนี้กลายมาเป็นคนงานเก็บใบชาของคุณตาก็รับปากอย่างแข็งขัน"ยายว่ารอพี่ใหญ่กับพี่รองดีกว่าไหม" ลู่หลินที่มองหลานสาวก็อดเอ็นดูในความน่ารักไม่ได้ หลานสาวของเธอนั้นถอดแบบแม่มาแทบทั้งหมด มีเพียงดวงตาเท่านั้นที่ได้จากคนเป็นพ่อ นั่นยิ่งทำให้หลานสาวของเธอน่ารักน่ามองมากกว่าเดิม"ไม่ได้ค่ะคุณยาย หากพี่ใหญ่พี่รองมา หนิงหนิงก็สู้ไม่ได้" หนิงหนิงต้องเก็บได้เยอะกว่า งานนี้หนิงหนิงต้องชนะ!!"หากแม่มาเจอ โดนดุอย่าหาว่ายายไม่เตือน" ลู่หลินแกล้งขู่หลานสาวตัวน้อยที่ดูจะกลัวแม่มากกว่ากลัวพ่อ"ไม่ค่ะคุณยาย วันนี้คุณแม่มีงานที่โรงพยาบาล และตอนบ่ายคุณพ่อจะรับไปโรงงานค่ะ หนิงหนิงปลอดภัยแน่นอนค่ะ" หนิงหนิงรีบบอกคุณยายทันที เธอจำได้ ก้นเธอไม่เจ็บแน่นอนเพราะคุณแม่ไม่อยู่"ถ้าอย่างนั้นไปกันเลย" จางหยวนผู้ที่ตามใจหลานมากกว่าตามใจลูก มีหรือที่จะขัดใจหนิงหนิงตัวน้อยได้ เจอหลานออดอ้อนนิ
บทที่ 52 บทส่งท้าย ครอบครัววันเวลาผ่านไปเรื่อย ๆ จากเคยนับวันว่ามาอยู่ที่นี่นานแล้วหรือยัง กลายเป็นว่าเลิกนับวันเวลาแล้ว ตอนนี้ที่นับคืออายุของลูก ๆ ของเธอที่กำลังโต ช่วงระยะเวลาที่ผ่านมานั้นต้องบอกว่ายุ่งกับการทำงานและการเลี้ยงลูก ยังดีที่พ่อกับแม่ของเธอมาช่วยเลี้ยง ไม่อย่างนั้นบอกเลยว่าเธอกับสามีไม่น่าจะเลี้ยงแฝดสามได้ และด้วยความที่แทบไม่มีเวลาพัก สามีของเธอบอกเลยว่า... พอแล้ว... มีสามคนก็พอแล้ว ไม่เอาอีกแล้ว ไม่รู้ว่าเข็ดที่ลูกซนหรือว่ายังไงเยว่หรูทำงานที่โรงพยาบาลและทำงานที่บ้านด้วย ที่ตอนนี้ขยับขยายให้เป็นโรงงานขนาดเล็กผลิตยาสมุนไพรส่งทางสาธารณสุข โดยมีสามีของเธอเป็นคนดูแลตรงนี้ ส่วนในเรื่องของโรงงานตระกูลหานนั้นก็จัดแบ่งให้คนสนิทมาช่วยงาน แต่เขาก็ยังเป็นคนตัดสินใจในทุกเรื่อง ดีที่ได้สามีของพี่เหมยมาช่วยงาน ทำให้ทุกอย่างไม่ยุ่งยากมากนักในส่วนเรื่องของพระเอกที่เยว่หรูกลัวนั้น ก็ยังได้ข่าวเขาบ้างบางครั้งจากอาจารย์หม่า หรือบางทีเขาก็มาหาสามีเธอ แต่ก็ยังไม่เห็นจะแต่งงานสักที เยว่หรูกับพี่เหมยลุ้นอยู่ว่าคนไหนคือนางเอกตัวจริงของนิยายเรื่องนี้ แต่จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่เห็นนางเอกเลยในส
บทที่ 51 วันที่รอคอย"คุณหมอคะ ไม่ต้องตื่นเต้นนะคะ" ลู่จิวหรือพี่เหมยเดินเข้ามาให้กำลังใจคุณหมอถึงหน้าห้องคลอดเลยทีเดียว"พี่เหมย... หมอกลัว" เยว่หรูบอกไปตามตรง เนื่องจากเธอท้องแฝด การคลอดเลยต้องผ่าคลอด และคนที่ติดต่อหมอต่างชาติให้มาทำคลอดให้เธอนั้นก็คืออาจารย์หม่านั่นเอง "อย่างน้อยก็ยังสามารถผ่าคลอดได้" ลู่จิวรู้ดีว่าคุณหมอกังวลเป็นอย่างมากเพราะทางการแพทย์ในสมัยนี้ยังไม่ก้าวหน้าเท่ายุคที่จากมา อุปกรณ์ต่าง ๆ ไม่พร้อม ยังดีที่อาจารย์หม่าคอยช่วยเหลือ ไม่อย่างนั้นเธอจะกังวลหนักมากกว่านี้แล้ว"แล้วพี่มาอยู่นี่ใครดูลูกชาย อย่าบอกนะว่าไปทำงานกับพ่ออีกแล้ว ลูกชายพี่ยังไม่สามเดือนเลยนะ" เยว่หรูถามหาหลานชายที่มีอายุเพียงสองเดือนกว่าพี่เหมยคลอดลูกในวันที่เยว่หรูจบการศึกษา ซึ่งได้ดั่งใจที่สามีพี่เหมยอยากได้ นั่นคือลูกชายตัวอ้วนกลมจ้ำม่ำ พี่ห่าวซวนนั้นหลงลูกมาก บางวันต้องหอบพาลูกไปทำงานที่โรงงานด้วย ตอนนี้พี่ห่าวซวนคือคนที่เข้าไปดูแลโรงงานของตระกูลหานแทนสามีของเยว่หรู เนื่องจากสามีของเยว่หรูต้องคอยดูแลเธอและดูแลโรงงานผลิตยาสมุนไพรส่งสาธารณสุขด้วย ทุกคนเลยต้องแบ่งงานกันทำ"สามีจะรออยู่ตรงนี้ ไม่
บทที่ 50 เรียนจบวันนี้คือวันที่ทางสมาพันธ์จะมอบใบประกาศสำเร็จการศึกษาให้แก่เยว่หรู ซึ่งเร็วกว่าที่กำหนดไว้ เพราะตอนที่อาจารย์หม่าเคยแจ้งนั้นบอกว่าหลังกลับจากค่ายแรงงานประมาณสามเดือน แต่นี่เพิ่งจะสองเดือนก็มีหนังสือรับรองออกมาแล้ว จึงทำให้วันนี้ครอบครัวเยว่หรูทุกคนมารวมตัวกันอยู่ที่สมาพันธ์วันนี้แม่ของเยว่หรูอยู่ในชุดกี่เพ้าสีเหลือง ทำให้ขับผิวขาว ๆ ของแม่ดูสวยดูดีจนพ่อนั่งยิ้มอย่างภาคภูมิใจ ส่วนพ่อเลี้ยงนั้นอยู่ในชุดเสื้อเชิ้ตและกางเกงขากระบอก รองเท้าหนังอย่างดี ทุกอย่างที่ใส่มานั้นเป็นเยว่หรูจัดเตรียมไว้ให้ น้อยคนนักที่จะได้ใส่แบบนี้ ยิ่งทำให้พ่อเลี้ยงนั้นแทบไม่กล้าเดินไปไหนเลยทีเดียวส่วนสามีของเยว่หรูนั้นไม่ต้องจัดให้ เขาก็สามารถแต่งตัวให้ออกมาดูดีอยู่แล้ว วันนี้อาจารย์หมิงเว่ยมาร่วมแสดงความยินดีด้วย ซึ่งเยว่หรูนับถืออาจารย์หมิงเว่ยมาก เขาคือคนที่คอยช่วยเหลือตั้งแต่ที่เธอยังไม่ค่อยรู้อะไรมากนักส่วนพี่สาวหลิงฟางก็มีเพียงจดหมายส่งหากันเท่านั้น เพราะพี่สาวหลิงฟางย้ายไปอยู่เมืองอื่น เยว่หรูทำได้เพียงส่งยาสมุนไพรและสิ่งของไปให้ ยังไม่มีโอกาสได้ไปเยี่ยมเลย ต้องบอกว่าเยว่หรูตอบแทนทุกค
บทที่ 49 จุดไต้ตำตอเยว่หรูอยู่ค่ายจนถึงวันทำงานวันสุดท้าย ซึ่งเป็นที่แน่นอนแล้วว่าสามีไม่ได้ตามมาอย่างที่เคยบอกไว้ เยว่หรูคิดว่าเขาคงจัดการเรื่องงานไม่เรียบร้อย ซึ่งมันดี... เพราะเยว่หรูไม่อยากให้เขาตามมาสักเท่าไหร่"ทำเหมือนคนนอนไม่พอเลยนะเยว่หรู" อาจารย์หม่าถือชามอาหารมานั่งข้าง ๆ ลูกศิษย์"เมื่อคืนหนูฝันค่ะ เลยทำให้ตื่นกลางดึก พอตื่นแล้วนอนไม่ค่อยหลับเลยค่ะ" เยว่หรูบอกไปตามความจริง"หากวันนี้ไม่ไหวก็ไม่ต้องทำอะไรมากเข้าใจไหม" วันนี้ไม่ค่อยมีอะไรมากนักเพราะเป็นวันสุดท้ายของการเรียนรู้แล้ว"แล้วเรื่องที่อาจารย์รักษาคุณโจวละคะ ยังต้องทำต่อเนื่องไหม" เยว่หรูถามเรื่องการบำบัดคนที่เครียดสะสมอย่างพระเอก ในตอนแรกอาจารย์บอกให้เธอลองรักษาด้วยตัวเอง แต่เธอไม่อยากทำก็อ้างว่าโน่นนี่นั่นไม่ค่อยสะดวกมากนัก ซึ่งอาจารย์หม่าก็ไม่ว่าอะไร"เยว่เยว่" เสียงเรียกดังมาจากทางประตู ทำให้เยว่หรูต้องหันไปมองทันที"อาจารย์บอกแล้ว เขามาแน่... ไม่ช้าก็เร็ว" อาจารย์หม่าบอกลูกศิษย์ตัวน้อยที่กำลังนั่งกลอกตาไปมา"พรุ่งนี้ก็กลับแล้วนะคะ" ความหมายของเธอชัดเจนคือ ...จะมาทำไม..."ไม่เจอกันตั้งหลายวัน พูดแบบนี้กับสามีได
บทที่ 48 เปลี่ยนศัตรูให้เป็นมิตรเยว่หรูเรียนรู้แล้วว่าคนที่อยู่ที่นี่ส่วนมากจะมีภาวะหยินหยางไม่สมดุล พอไม่สมดุลก็นำพาไปสู่การเจ็บป่วยได้ง่าย เยว่หรูทำงานร่วมกับอาจารย์หม่าและมีหมอเท้าเปล่าที่คอยแนะนำสิ่งต่าง ๆ "เยว่หรูไปพักก่อนก็ได้" อาจารย์ที่รับปากครอบครัวของลูกศิษย์ก็รู้สึกว่ามันไม่ใช่อย่างที่ตัวเองรับปากแล้ว เพราะเยว่หรูนั้นทำงานทุกอย่าง ช่วยทุกคนที่สามารถเข้าไปช่วยได้ ทำงานหนักกว่านักศึกษาคนอื่นเสียอีกทั้งที่ตัวเองท้องอยู่"ยังทำไหวค่ะอาจารย์ ไม่ได้เหนื่อยอะไร" เยว่หรูบอกไปตามความจริง ความรู้ทั้งนั้น เรียนรู้ไว้ไม่เสียหาย "ทำเท่าที่ไหว เข้าใจไหม" หากเป็นอะไรขึ้นมาแล้วรับรองเลยว่าไม่ใช่เรื่องเล็ก ๆ อย่างแน่นอนเยว่หรูทำงานจนเรียบร้อยทั้งหมด พอถึงเวลาที่เธอเองออกมานั่งพักผ่อนมองดูผู้คนที่อยู่ในค่าย มีทั้งทหารและยังมีนักโทษที่มาใช้แรงงานกำลังทยอยกลับค่ายกัน กลุ่มคนชุดนี้จะถูกตรวจสุขภาพในวันพรุ่งนี้ ต้องถือว่าค่ายแห่งนี้ถูกดูแลอย่างนี้ ไม่ได้กดขี่มากนัก แม้ว่าคนพวกนั้นจะเป็นนักโทษ ต้องบอกว่าสถานที่กักกันหรือค่ายแรงงานจะแบ่งแยกนักโทษ "เป็นยังไงบ้างคุณหมอ" เสียงเรียกถามทำให้เยว่หร