บทที่ 7 วันแรกของการไปเรียน
วันนี้คือวันเปิดเรียนวันแรก โรงเรียนที่เยว่หรูเรียนตั้งอยู่ในเขตตัวเมือง ระยะทางระหว่างหมู่บ้านกับโรงเรียนอยู่ไม่ห่างกันมากนัก ต้องบอกว่าหมู่บ้านแห่งนี้อยู่ใกล้ตัวเมืองก็ว่าได้ และโชคดีที่ว่าสถานที่ตั้งของโรงเรียนนี้อยู่แถวชานเมือง เยว่หรูสามารถเดินเท้าไปเรียนได้ แต่เธอก็ต้องตื่นแต่เช้าเพื่อที่จะได้ไปทันเข้าเรียน
เยว่หรูอยู่ในเครื่องแบบนักเรียนที่ทางโรงเรียนมีให้ ซึ่งอุปกรณ์การเรียนทุกอย่างรวมอยู่ในค่าเทอมทั้งหมดแล้ว พ่อเป็นคนเดินไปเอาชุดนักเรียนมาให้ก่อนเปิดเรียนเพียงไม่กี่วัน หากไม่บอกเรื่องเปิดเรียน เยว่หรูก็ไม่รู้เลย ต้องบอกว่านิยายที่เธออ่านนั้นไม่ได้บอกรายละเอียดขนาดนั้น บทนางเอกปลอม ๆ ของเธอจะมีบทบาทมากขึ้นก็ตอนที่เธอย้ายไปอยู่กับพ่อที่แท้จริงนั่นแหละ
ช่วงเวลาที่เยว่หรูอยู่กับแม่นั้นจึงไม่มีรายละเอียดมากนัก บอกแค่อยู่อย่างยากลำบาก เยว่หรูเป็นคนที่ต้องการและโหยหาความรัก และคิดว่าการที่แม่แต่งงานใหม่จะทำให้แม่รักเธอน้อยลง จะโทษเยว่หรูทั้งหมดก็ไม่ได้เพราะไม่มีใครพูดให้เธอรู้และเข้าใจ แล้วเด็กที่เคยอยู่อย่างสุขสบาย แต่ต้องมาอยู่อย่างยากลำบาก มันเลยง่ายที่จะทำให้เด็กคนหนึ่งเข้าใจไปแบบนั้น
"เดี๋ยวพ่อเดินไปส่ง" จางหยวนพูดขึ้นหลังจากที่เห็นลูกสาวกินมื้อเช้าเสร็จแล้ว
"ไปส่งหนูแค่วันนี้ก็พอค่ะ วันหลังหนูไปเองได้ พ่อจะได้ไม่ต้องเดินไปเดินกลับให้เหนื่อย" ที่ให้พ่อไปส่งเพราะเธอไปไม่ถูก และที่ต้องพูดอธิบายให้พ่อเข้าใจนั้นเพื่อที่จะได้ไม่คิดว่าลูกสาวรังเกียจไม่อยากให้พ่อไปส่ง ลูกสาวอายคนอื่นหรือเปล่าที่มีพ่อจน... สารพัดที่พ่อคนนี้จะคิดได้ เยว่หรูเลยเลือกที่จะพูดทุกอย่างออกไป เพื่อแก้ปัญหาเรื่องที่ชอบคิดไปเอง
"ได้ ๆ แต่หากวันไหนอยากให้พ่อไปส่ง บอกได้เลย... พ่อไม่เหนื่อย" จางหยวนหัวเราะที่เห็นลูกสาวที่ตอนนี้ชอบพูดชอบคุยบอกเล่าทุกเรื่อง จากแต่ก่อนไม่ค่อยคุย ในตอนแรกจางหยวนเริ่มคิดว่าเพราะอะไรลูกถึงไม่อยากให้ไปส่ง แต่พอลูกสาวพูดออกมาก็ทำให้เขาดีใจที่ลูกสาวเป็นห่วงกลัวเหนื่อยแค่นั้นเอง ไม่ได้รังเกียจพ่ออย่างเขา ลูกสาวของเขาเปลี่ยนไปแล้วจริง ๆ
"หนูไปก่อนนะแม่... วันแรกหนูไม่รู้เขาจะให้เลิกตอนไหน" เยว่หรูมองหน้าแม่พร้อมกับขมวดคิ้ว เอาจริง ๆ แล้วก็สงสัยหลายอย่างแต่ก็ปล่อยไปก่อน ถึงเยว่หรูจะบอกว่าเพราะครอบครัวนี้มีอะไรไม่พูดตรง ๆ เลยทำให้มีปัญหา แต่เยว่หรูก็ยังเก็บบางเรื่องเอาไว้ไม่พูดออกไป เพราะถ้าพูดหรือถามออกไปอาจทำให้พวกเขาสงสัยได้... อย่างเช่นชุดนักเรียนของเก่าไปไหนหมด หากถามไปนี่งานเข้าแน่ ๆ
"ดูซื้อสิ่งของที่ต้องใช้... หากพ่อกับแม่กลับมาบ้านแล้วยังไม่เห็นลูกกลับมา แม่จะให้พ่อไปรับ" ลู่หลินยื่นเงินสามหยวนให้ลูกสาว ตอนนี้เธอก็เริ่มที่จะพูดคุยบอกกล่าวมากกว่าเดิม อาจเพราะเห็นว่าลูกสาวชอบคุยชอบพูดเลยทำให้เธอกล้าที่จะพูดเหมือนกัน
"ขอบคุณค่ะ... ไปกันพ่อ" เยว่หรูรับเงินจากมารดามาเก็บแล้วหันไปเรียกพ่อ แล้วพากันออกจากบ้านทันที
ลู่หลินมองตามลูกสาวและสามีด้วยใบหน้าที่เปื้อนไปด้วยรอยยิ้ม เหมือนตอนนี้ทุกอย่างเริ่มดีขึ้น ลูกสาวเริ่มเปิดใจพูดคุยกับเธอมากขึ้น จากแต่ก่อนที่ลูกสาวจะนิ่งเงียบกับทุกคนเลย ตอนนี้พูดกับครอบครัวบ่อยขึ้น แต่กับคนอื่นก็ยังเหมือนเดิม ไม่ค่อยคุย แต่ก่อนพอโดนญาติสามีต่อว่าหรือพูดจาถากถาง เยว่หรูจะโต้กลับบ้างเป็นบางครั้ง แต่ตอนนี้ลูกสาวของเธอจะเฉยมากกว่า
ใบหน้าขาว ๆ เล็ก ๆ จิ้มลิ้ม ปากนิด จมูกหน่อย ของลูกสาวชวนมองมากกว่าเดิม เวลาที่มีรอยยิ้มสดใสประดับอยู่บนใบหน้า ใครเห็นก็ต้องยิ้มตามทั้งนั้น ต้องบอกว่าลูกสาวของเธอเป็นคนที่น่ารักมาก ๆ หากโตไปก็ต้องสวยมากแน่ ๆ ผิวขาวสวยทั้งที่ไม่ต้องทำอะไร ส่วนนี้ได้มาจากพ่อที่แท้จริงของเยว่หรู ไม่ว่าลูกสาวจะตากแดดนานแค่ไหนก็ไม่มีรอยดำด่าง ลู่หลินกลัวว่าสักวันหนึ่งสามีจะอยากรับลูกสาวไปอยู่ด้วย เพราะจากนิสัยของเขาแล้ว... มีความเป็นไปได้สูงว่าต้องกลับมาพาลูกสาวไปอยู่ด้วยเพื่อใช้ประโยชน์จากความสวย ความน่ารักของลูก เพื่อช่วยให้หน้าที่การงานของเขาก้าวหน้าและมั่นคงแน่ ๆ เพราะคนคนนั้นไม่รู้จักพอ... พอคิดแบบนั้นแล้วลู่หลินก็ได้แต่ถอนหายใจ
ทางด้านสองพ่อลูกที่เดินมาด้วยกันก็พูดคุยหัวเราะกันตลอดทาง เยว่หรูต้องจดจำเส้นทางให้ดีเพราะเธอต้องเดินทางมาเองในวันต่อ ๆ ไป และชวนพ่อคุยเรื่องราวต่าง ๆ เพื่อที่จะสอบถามเกี่ยวกับเรื่องราวของที่นี่ แต่ดูเหมือนพ่อก็ไม่รู้อะไรมากนัก รู้แต่เรื่องปลูกข้าว ปลูกผัก และเรื่องในไร่และนาเพียงเท่านั้น
"พ่อมีอะไรจะพูดกับหนูหรือเปล่าคะ" เยว่หรูถามพ่อออกไป เพราะดูเหมือนเขาอยากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ยังอ้ำอึ้งอยู่
"หากลูกอยากนั่งรถไปกลับ พ่อจะไปคุยกับหัวหน้าหมู่บ้านให้" เพราะต้องเดินไกล ลูกสาวเขาตัวเล็กนิดเดียว แล้วเวลาเลิกเรียนกลับบ้านก็ต้องเดินตากแดดกลับอีก
"พ่อบอกเองว่ามันไม่ไกล" ดูจากท่าทางของพ่อแล้ว การไปคุยก็ต้องมีสินน้ำใจหรือค่าใช้จ่ายด้วยนั่นแหละ เงินก็ใช่ว่าจะมีเยอะแยะ ที่แม่ให้มานี่ก็น่าจะไม่เหลือแล้ว อยู่มาเดือนกว่าแล้วรู้เลยว่าบ้านเธอยากจนมาก
"สำหรับพ่อมันไม่ไกล... แต่สำหรับลูกมันไกล" จางหยวนก้มมองหน้าน้อย ๆ แดง ๆ ของลูกสาว ตอนเช้าอากาศเย็นจัด กลางวันแดดแรง โรงเรียนมีเรียนเพียงครึ่งวัน ช่วงเวลาที่เลิกเรียนนั้นแดดแรงยิ่งกว่าเวลาอื่นเสียอีก
"พ่อบอกว่าเรามาทางลัด เดินลัดท้องนาไม่ใช่เหรอ" เยว่หรูพูดพร้อมกับกระตุกแขนเสื้อให้พ่อพาเดินต่อ แต่ก่อนเยว่หรูคงนั่งรถมาเรียนแน่ ๆ เพราะพ่อพูดเหมือนเธอเพิ่งเดินมาเรียนเป็นครั้งแรก
เส้นทางที่ใช้เดินมานั้นลัดเลาะมาตามท้องนา ต้องบอกว่าสถานที่แห่งนี้มีอากาศที่ทำให้สดชื่นมาก ถึงแม้ว่าอากาศจะหนาวแต่มันก็สดชื่น สองข้างทางเต็มไปด้วยท้องนาที่ต้นกล้าเริ่มงอกออกมา อากาศแบบนี้เยว่หรูชอบมากเพราะเธอเป็นคนขี้ร้อน นิดหน่อยเหงื่อก็ออก พอมาอยู่เมืองหนาวแล้ว... รู้สึกสวยโดยไม่ต้องทำอะไรเลย...
"ไม่ให้พ่อมารับจริง ๆ เหรอ" จางหยวนส่งลูกสาวถึงห้องเรียนเลยทีเดียว ประโยคที่ถามลูกสาวนั้นค่อนข้างเบาหวิว เนื่องจากครั้งแรกที่เขามีโอกาสมาส่งลูกสาวถึงห้องเรียน และสายตาของเด็กทุกคนมองมาที่เขาและลูกสาวอย่างไม่กะพริบตาเลยทีเดียว
"ไม่เป็นไรค่ะพ่อ หนูกลับได้" เยว่หรูพูดพร้อมกับยิ้มจนแก้มทั้งสองข้างเกิดรอยบุ๋ม ลักยิ้มทั้งสองข้างยิ่งทำให้น่ามองยิ่งขึ้น เรื่องนี้อีกเรื่องที่ต้องรีบแก้ พวกเขาคิดว่าเธอยังเด็กหรือยังไงถึงต้องมารับมาส่ง...
"พ่อกลับก่อน ตั้งใจเรียนนะลูก" จางหยวนพูดพร้อมกับยิ้มตามลูกสาวทันที รอยยิ้มแบบนี้ใครเห็นก็ต้องยิ้มตาม
"พ่อกลับดี ๆ นะคะ" เยว่หรูโบกมือลาพ่อ ก่อนที่จะเข้าไปเลือกนั่งเก้าอี้ภายในห้องที่ตอนนี้มีนักเรียนบางคนเริ่มจับจองที่นั่งแล้ว
วันแรกของการเปิดเรียนไม่รู้ต้องเรียนอะไร และที่สำคัญเธออยู่ชั้นไหนยังไม่รู้เลย ต้องปั้นหน้านิ่งเพราะกลัวคนอื่นมาถาม หน้าห้องก็ไม่มีป้ายติดบอกระดับชั้นเลย... จะถามพ่อก็กลัวพ่อสงสัย หากเทียบอายุกับโลกเดิมก็ต้องเรียนอยู่ประมาณมัธยมศึกษาตอนต้น แต่นี่คือโลกนิยายที่ใช้การอ้างอิงเพียงเท่านั้น เลยไม่รู้ว่าตอนนี้เธอเรียนอยู่ชั้นอะไร...
บทที่ 53 ตอนพิเศษ"หนิงหนิงต้องเดินตามตา เข้าใจไหมครับ" จางหยวนบอกหลานสาวสุดน่ารักของเขา ที่วันนี้แต่งตัวมาพร้อมเก็บใบชา มีตะกร้าใบเล็กสะพายอยู่ทางด้านหลัง พร้อมทำงานเป็นอย่างมาก"คุณตาเชื่อใจหนิงหนิงได้เลยค่ะ" หานเผยหนิงวัยห้าขวบที่ตอนนี้กลายมาเป็นคนงานเก็บใบชาของคุณตาก็รับปากอย่างแข็งขัน"ยายว่ารอพี่ใหญ่กับพี่รองดีกว่าไหม" ลู่หลินที่มองหลานสาวก็อดเอ็นดูในความน่ารักไม่ได้ หลานสาวของเธอนั้นถอดแบบแม่มาแทบทั้งหมด มีเพียงดวงตาเท่านั้นที่ได้จากคนเป็นพ่อ นั่นยิ่งทำให้หลานสาวของเธอน่ารักน่ามองมากกว่าเดิม"ไม่ได้ค่ะคุณยาย หากพี่ใหญ่พี่รองมา หนิงหนิงก็สู้ไม่ได้" หนิงหนิงต้องเก็บได้เยอะกว่า งานนี้หนิงหนิงต้องชนะ!!"หากแม่มาเจอ โดนดุอย่าหาว่ายายไม่เตือน" ลู่หลินแกล้งขู่หลานสาวตัวน้อยที่ดูจะกลัวแม่มากกว่ากลัวพ่อ"ไม่ค่ะคุณยาย วันนี้คุณแม่มีงานที่โรงพยาบาล และตอนบ่ายคุณพ่อจะรับไปโรงงานค่ะ หนิงหนิงปลอดภัยแน่นอนค่ะ" หนิงหนิงรีบบอกคุณยายทันที เธอจำได้ ก้นเธอไม่เจ็บแน่นอนเพราะคุณแม่ไม่อยู่"ถ้าอย่างนั้นไปกันเลย" จางหยวนผู้ที่ตามใจหลานมากกว่าตามใจลูก มีหรือที่จะขัดใจหนิงหนิงตัวน้อยได้ เจอหลานออดอ้อนนิ
บทที่ 52 บทส่งท้าย ครอบครัววันเวลาผ่านไปเรื่อย ๆ จากเคยนับวันว่ามาอยู่ที่นี่นานแล้วหรือยัง กลายเป็นว่าเลิกนับวันเวลาแล้ว ตอนนี้ที่นับคืออายุของลูก ๆ ของเธอที่กำลังโต ช่วงระยะเวลาที่ผ่านมานั้นต้องบอกว่ายุ่งกับการทำงานและการเลี้ยงลูก ยังดีที่พ่อกับแม่ของเธอมาช่วยเลี้ยง ไม่อย่างนั้นบอกเลยว่าเธอกับสามีไม่น่าจะเลี้ยงแฝดสามได้ และด้วยความที่แทบไม่มีเวลาพัก สามีของเธอบอกเลยว่า... พอแล้ว... มีสามคนก็พอแล้ว ไม่เอาอีกแล้ว ไม่รู้ว่าเข็ดที่ลูกซนหรือว่ายังไงเยว่หรูทำงานที่โรงพยาบาลและทำงานที่บ้านด้วย ที่ตอนนี้ขยับขยายให้เป็นโรงงานขนาดเล็กผลิตยาสมุนไพรส่งทางสาธารณสุข โดยมีสามีของเธอเป็นคนดูแลตรงนี้ ส่วนในเรื่องของโรงงานตระกูลหานนั้นก็จัดแบ่งให้คนสนิทมาช่วยงาน แต่เขาก็ยังเป็นคนตัดสินใจในทุกเรื่อง ดีที่ได้สามีของพี่เหมยมาช่วยงาน ทำให้ทุกอย่างไม่ยุ่งยากมากนักในส่วนเรื่องของพระเอกที่เยว่หรูกลัวนั้น ก็ยังได้ข่าวเขาบ้างบางครั้งจากอาจารย์หม่า หรือบางทีเขาก็มาหาสามีเธอ แต่ก็ยังไม่เห็นจะแต่งงานสักที เยว่หรูกับพี่เหมยลุ้นอยู่ว่าคนไหนคือนางเอกตัวจริงของนิยายเรื่องนี้ แต่จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่เห็นนางเอกเลยในส
บทที่ 51 วันที่รอคอย"คุณหมอคะ ไม่ต้องตื่นเต้นนะคะ" ลู่จิวหรือพี่เหมยเดินเข้ามาให้กำลังใจคุณหมอถึงหน้าห้องคลอดเลยทีเดียว"พี่เหมย... หมอกลัว" เยว่หรูบอกไปตามตรง เนื่องจากเธอท้องแฝด การคลอดเลยต้องผ่าคลอด และคนที่ติดต่อหมอต่างชาติให้มาทำคลอดให้เธอนั้นก็คืออาจารย์หม่านั่นเอง "อย่างน้อยก็ยังสามารถผ่าคลอดได้" ลู่จิวรู้ดีว่าคุณหมอกังวลเป็นอย่างมากเพราะทางการแพทย์ในสมัยนี้ยังไม่ก้าวหน้าเท่ายุคที่จากมา อุปกรณ์ต่าง ๆ ไม่พร้อม ยังดีที่อาจารย์หม่าคอยช่วยเหลือ ไม่อย่างนั้นเธอจะกังวลหนักมากกว่านี้แล้ว"แล้วพี่มาอยู่นี่ใครดูลูกชาย อย่าบอกนะว่าไปทำงานกับพ่ออีกแล้ว ลูกชายพี่ยังไม่สามเดือนเลยนะ" เยว่หรูถามหาหลานชายที่มีอายุเพียงสองเดือนกว่าพี่เหมยคลอดลูกในวันที่เยว่หรูจบการศึกษา ซึ่งได้ดั่งใจที่สามีพี่เหมยอยากได้ นั่นคือลูกชายตัวอ้วนกลมจ้ำม่ำ พี่ห่าวซวนนั้นหลงลูกมาก บางวันต้องหอบพาลูกไปทำงานที่โรงงานด้วย ตอนนี้พี่ห่าวซวนคือคนที่เข้าไปดูแลโรงงานของตระกูลหานแทนสามีของเยว่หรู เนื่องจากสามีของเยว่หรูต้องคอยดูแลเธอและดูแลโรงงานผลิตยาสมุนไพรส่งสาธารณสุขด้วย ทุกคนเลยต้องแบ่งงานกันทำ"สามีจะรออยู่ตรงนี้ ไม่
บทที่ 50 เรียนจบวันนี้คือวันที่ทางสมาพันธ์จะมอบใบประกาศสำเร็จการศึกษาให้แก่เยว่หรู ซึ่งเร็วกว่าที่กำหนดไว้ เพราะตอนที่อาจารย์หม่าเคยแจ้งนั้นบอกว่าหลังกลับจากค่ายแรงงานประมาณสามเดือน แต่นี่เพิ่งจะสองเดือนก็มีหนังสือรับรองออกมาแล้ว จึงทำให้วันนี้ครอบครัวเยว่หรูทุกคนมารวมตัวกันอยู่ที่สมาพันธ์วันนี้แม่ของเยว่หรูอยู่ในชุดกี่เพ้าสีเหลือง ทำให้ขับผิวขาว ๆ ของแม่ดูสวยดูดีจนพ่อนั่งยิ้มอย่างภาคภูมิใจ ส่วนพ่อเลี้ยงนั้นอยู่ในชุดเสื้อเชิ้ตและกางเกงขากระบอก รองเท้าหนังอย่างดี ทุกอย่างที่ใส่มานั้นเป็นเยว่หรูจัดเตรียมไว้ให้ น้อยคนนักที่จะได้ใส่แบบนี้ ยิ่งทำให้พ่อเลี้ยงนั้นแทบไม่กล้าเดินไปไหนเลยทีเดียวส่วนสามีของเยว่หรูนั้นไม่ต้องจัดให้ เขาก็สามารถแต่งตัวให้ออกมาดูดีอยู่แล้ว วันนี้อาจารย์หมิงเว่ยมาร่วมแสดงความยินดีด้วย ซึ่งเยว่หรูนับถืออาจารย์หมิงเว่ยมาก เขาคือคนที่คอยช่วยเหลือตั้งแต่ที่เธอยังไม่ค่อยรู้อะไรมากนักส่วนพี่สาวหลิงฟางก็มีเพียงจดหมายส่งหากันเท่านั้น เพราะพี่สาวหลิงฟางย้ายไปอยู่เมืองอื่น เยว่หรูทำได้เพียงส่งยาสมุนไพรและสิ่งของไปให้ ยังไม่มีโอกาสได้ไปเยี่ยมเลย ต้องบอกว่าเยว่หรูตอบแทนทุกค
บทที่ 49 จุดไต้ตำตอเยว่หรูอยู่ค่ายจนถึงวันทำงานวันสุดท้าย ซึ่งเป็นที่แน่นอนแล้วว่าสามีไม่ได้ตามมาอย่างที่เคยบอกไว้ เยว่หรูคิดว่าเขาคงจัดการเรื่องงานไม่เรียบร้อย ซึ่งมันดี... เพราะเยว่หรูไม่อยากให้เขาตามมาสักเท่าไหร่"ทำเหมือนคนนอนไม่พอเลยนะเยว่หรู" อาจารย์หม่าถือชามอาหารมานั่งข้าง ๆ ลูกศิษย์"เมื่อคืนหนูฝันค่ะ เลยทำให้ตื่นกลางดึก พอตื่นแล้วนอนไม่ค่อยหลับเลยค่ะ" เยว่หรูบอกไปตามความจริง"หากวันนี้ไม่ไหวก็ไม่ต้องทำอะไรมากเข้าใจไหม" วันนี้ไม่ค่อยมีอะไรมากนักเพราะเป็นวันสุดท้ายของการเรียนรู้แล้ว"แล้วเรื่องที่อาจารย์รักษาคุณโจวละคะ ยังต้องทำต่อเนื่องไหม" เยว่หรูถามเรื่องการบำบัดคนที่เครียดสะสมอย่างพระเอก ในตอนแรกอาจารย์บอกให้เธอลองรักษาด้วยตัวเอง แต่เธอไม่อยากทำก็อ้างว่าโน่นนี่นั่นไม่ค่อยสะดวกมากนัก ซึ่งอาจารย์หม่าก็ไม่ว่าอะไร"เยว่เยว่" เสียงเรียกดังมาจากทางประตู ทำให้เยว่หรูต้องหันไปมองทันที"อาจารย์บอกแล้ว เขามาแน่... ไม่ช้าก็เร็ว" อาจารย์หม่าบอกลูกศิษย์ตัวน้อยที่กำลังนั่งกลอกตาไปมา"พรุ่งนี้ก็กลับแล้วนะคะ" ความหมายของเธอชัดเจนคือ ...จะมาทำไม..."ไม่เจอกันตั้งหลายวัน พูดแบบนี้กับสามีได
บทที่ 48 เปลี่ยนศัตรูให้เป็นมิตรเยว่หรูเรียนรู้แล้วว่าคนที่อยู่ที่นี่ส่วนมากจะมีภาวะหยินหยางไม่สมดุล พอไม่สมดุลก็นำพาไปสู่การเจ็บป่วยได้ง่าย เยว่หรูทำงานร่วมกับอาจารย์หม่าและมีหมอเท้าเปล่าที่คอยแนะนำสิ่งต่าง ๆ "เยว่หรูไปพักก่อนก็ได้" อาจารย์ที่รับปากครอบครัวของลูกศิษย์ก็รู้สึกว่ามันไม่ใช่อย่างที่ตัวเองรับปากแล้ว เพราะเยว่หรูนั้นทำงานทุกอย่าง ช่วยทุกคนที่สามารถเข้าไปช่วยได้ ทำงานหนักกว่านักศึกษาคนอื่นเสียอีกทั้งที่ตัวเองท้องอยู่"ยังทำไหวค่ะอาจารย์ ไม่ได้เหนื่อยอะไร" เยว่หรูบอกไปตามความจริง ความรู้ทั้งนั้น เรียนรู้ไว้ไม่เสียหาย "ทำเท่าที่ไหว เข้าใจไหม" หากเป็นอะไรขึ้นมาแล้วรับรองเลยว่าไม่ใช่เรื่องเล็ก ๆ อย่างแน่นอนเยว่หรูทำงานจนเรียบร้อยทั้งหมด พอถึงเวลาที่เธอเองออกมานั่งพักผ่อนมองดูผู้คนที่อยู่ในค่าย มีทั้งทหารและยังมีนักโทษที่มาใช้แรงงานกำลังทยอยกลับค่ายกัน กลุ่มคนชุดนี้จะถูกตรวจสุขภาพในวันพรุ่งนี้ ต้องถือว่าค่ายแห่งนี้ถูกดูแลอย่างนี้ ไม่ได้กดขี่มากนัก แม้ว่าคนพวกนั้นจะเป็นนักโทษ ต้องบอกว่าสถานที่กักกันหรือค่ายแรงงานจะแบ่งแยกนักโทษ "เป็นยังไงบ้างคุณหมอ" เสียงเรียกถามทำให้เยว่หร